ใครบางคนอาจจะเคยได้ยินวลีดังกล่าว ใครบางคนไม่งงเพราะความสันทัดส่วนตัว แต่ใครบางคน คงเคยสงสัยว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร ผมใคร่ขอถือวิสาสะในการเล่าขาน เพื่อบันทึกเป็นตำนานสืบทอดเสียเอง คำคำนี้มันเป็นคำเต็มของนักการขายในยุคอดีตแถบตลาดนัดสนามหลวงเมื่อครั้งกึ่งพุทธกาล มันเป็นคำเรียกร้องเชิญชวนให้คนอุดหนุนสื่อลามกของตนเอง โดยคำเต็มนั้นประมาณว่า "รับภาพยนตร์หรือวารสารโป๊เปลือยซักเรื่องไหมขอรับคุณพี่" ยุคสมัยผันเปลี่ยนตามความไฮเทคของเทคโนโลยี ภาษาไทยได้ปรับเปลี่ยนให้ทันยุคเข้ากับปัจจุสมัย จนกระชับเหลือแค่ว่า..."โป๊ไม๊เพ่"
แล้วคำว่า"เพ่"ล่ะ มันเป็นคำอะไร มันเป็นคำสรรพนามชนิดไหนกันแน่ เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็ไม่เคยได้ยิน คำว่า"เพ่" เป็นคำสรรพนามแทน"พี่"ของวัยรุ่นยุคมิลลิเนียม "เพ่"เป็นคำให้เกียรติกับคนที่ถูกเรียก โดยคนถูกเรียกว่า"เพ่" กลับรู้สึกไม่ได้รับเกียรติอันนั้น ทางตรงกันข้าม คนที่กล่าวคำว่า"เพ่" ออกจากปาก มันเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเก๋า ช่ำชอง เจนจัด ชำนาญการ กร้านโลก กร้านชีวิต... แต่ผมรวมถึงชายไทยคนอื่น คงไม่ชอบใจนักหากเมียตัวเองมายืนตรงหน้าแล้วร้องบอกกับเราว่า "เพ่ เพ่ มากินข้าวเย็นได้แล้ว ลูกลูกนั่งรอครบแล้วเพ่"
แล้วหนังสือโป๊ก็ค่อยค่อยจางหาย มันกลับถูกแทนที่ด้วยสื่อที่สมัยขึ้น ซึ่งก็คือแผ่นดีวีดีนั่นเอง ผมเป็นคนหนึ่งที่รังเกียจสื่อบันทึก ในรูปแผ่นดีวีดีโป๊ ผมว่ามันเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ มันเป็นเครื่องมอมเมาเยาวชน มอมเมาบรรดาชราชน มันทำให้สังคมเสื่อมโทรม ทำให้จิตใจคนเราตกต่ำหมกมุ่น ครุ่นคิดว่าวันวันจะทำอะไรดีกับภาพที่เห็นตรงหน้า ดีวีดีโป๊ทำให้คนเกียจคร้าน ไม่เป็นอันทำงานทำการ มุ่งแต่แสวงหาว่าเมื่อไหร่ แผ่นใหม่ เรื่องใหม่ จะวางออกสู่ท้องตลาดเสียที มันเป็นความรู้สึกลึกลึกในมโนธรรมของผม ซึ่งมิใช่จริตที่พยายามดัด ให้ดูดีแต่อย่างใด....
ตัดภาพมาที่บุคลิกภาพของคนเล่า ผมเป็นชายหน้าตาขี้ริ้ว เรียกว่าถ้าเลยขีดวัดค่าไปอีกนิดเดียวก็คงใช้คำว่าอัปลักษณ์โดยไม่ขัดเขินแต่อย่างใด ใบหน้า ลำตัว เสื้อ กางเกง รองเท้า กระเป๋า เมื่อโขลกรวมและประกอบเป็นร่างมนุษย์ มันทำให้ผมแลดูมิใช่คนไทย เวลาผมเดินไปไหนมาไหน ผมมักจะได้รับการโค้งคำนับ และได้รับการทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นย่านถนนข้าวสารหรือแถบสีลม สุรวงศ์ ผมกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ที่ใครใครเข้าใจผิด ผมมักจะไม่พูดและสงบปาก เมื่อบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทักทายเชิญชวน มันเป็นความรู้สึกซุกซน และขำที่ทำให้คนไทยด้วยกันเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนต่างชาติ...
ผมเคยเอ่ยปากถามเมีย โดยให้ตอบตามความเป็นจริง ว่าผมนั้นมองคล้ายชาวญี่ปุ่น หรือชาวต่างชาติมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เมียผมสยบฝันของผม หากเป็นคนอื่นมองอาจจะใช่ แต่หากให้ตอบตามจริง หล่อนบอกว่า ผมน่าจะเป็นพวกแก๊งลักเด็กหรือขโมยเด็กเพื่อการส่งออกเสียมากกว่า.. เอาล่ะไม่เป็นไร ถึงอย่างไรความจริงก็คือความจริง หลายต่อหลายคนก็มองผมเป็นชาวญี่ปุ่นอยู่ดีนั่นเอง คราหนึ่งผมเคยไปธุระซื้อของย่านพัฒน์พงษ์กับเมีย เราเดินด้วยกันผ่านซอยที่มีบาร์อะโกโก้ หญิงงามบาร์เบียร์หลายคนมองค้อนเมียผม เป็นทำนองว่าโชคดีเหลือเกินนะยะหล่อน หิ้วแขกญี่ปุ่นได้ตั้งแต่หัวค่ำ!!
ตัดภาพมาที่ห้างไอทีใหญ่ใจกลางเมือง มันเป็นแหล่งหนึ่งที่บรรดานักขายดีวีดีระดับแนวหน้าจะมารวมตัวกัน การรวมตัวนั้นเป็นการรวมตัวมากกว่า 5 คน มากกว่าที่ พรก.ฉุกเฉิน กำหนดไว้ เค้าไม่ได้มารวมตัวกันในเรื่องการเมือง แต่เขามารวมตัวเพื่อเรื่องกามเมืองต่างหาก ห้างไอทีใหญ่แห่งนี้ มันเป็นเวทีที่มีสองมิติในตัวของมัน ซีกหนึ่งมันเป็นห้างที่ขายเทคโนโลยีอันทันสมัยสุดติ่ง เป็นดรรชนีวัดความเจริญของคนในประเทศ แต่ในอีกมิติหนึ่งก็มีการอนุรักษ์ของเก่า ของเก่านั่นก็คือหนังโป๊เปลือยนั่นเอง ความไฮเทคสูงสุดเมื่อผสมกับของเก่าอย่างหนังโป๊ ผลลัพธ์คือความถูกใจของลูกผู้ชายไฮเทคทั้งหลาย....
ผมเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายในห้างไอทีใหญ่ มันเหมือนการเดินหลงทางในเขาวงกต ผมหลงผ่านเข้าไปในดงจำหน่ายสินค้าดีวีดีโป๊ ผมจำได้ว่ามันเป็นทางเดินผอมยาว กว้างประมาณ 5 เมตร และน่าจะเป็นทางยาวประมาณถึง 50 เมตร มีชายฉกรรจ์จำนวนมากหลายสิบ ถือซองกระดาษพิมพ์สี่สีหุ้มด้วยพลาสติกบางใส ผมเดาเอาว่าข้างในคงเป็นดีวีดีโป๊อย่างแน่แท้ ชายเหล่านี้ถือแผ่นดีวีดีไว้ในมือซ้าย ส่วนมือขวาก็คอยโบกทักทาย คอยดึง คอยสะกิด ปากก็ร้องเรียกเสนอขายสินค้า มันเป็นอากัปกิริยาอันปกติ ใครเดินผ่านซอยนี้ ทุกคนก็ต้องเห็นภาพอย่างนี้ เสียงร้องเชิญดังขรมซอย "โป๊เพ่..โป๊ไม๊เพ่"
แล้วผมก็เป็นผู้หนึ่งที่โดนเสนอในรูปแบบการขายตรง แต่เนื่องจากกริยาท่าทางของผมนั้นมิใช่คนไทย ทำให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นเปลี่ยนการเจรจามาเป็นภาษาอังกฤษ "ยู ยู ดีวีดี มูหวี เซ็กซี่ มูหวี" ผมเดินเอื่อย ไม่พูด เพราะผมมั่นใจว่านักขายเหล่านี้คงเข้าใจว่าผมเป็นชาวญี่ปุ่น ยังไงก็คงไว้เกียรติให้คนต่างชาติบ้างล่ะ ผมโดนสะกิดแขน โดนดึงชายเสื้อ โดนกั้นทาง เขาทำราวกับผมเป็นเจ้าบ่าวที่กำลังจะเดินผ่านประตูเงินประตูทองเพื่อไปรับตัวเจ้าสาว ไม่เป็นไรไม่ว่ากัน ผมฝืนยิ้มมุมปาก ผมไม่พูด การที่ผมไม่พูด..แต่ยิ้ม คือการปฏิเสธแบบนุ่มนวลที่สุดเท่าที่ผมจะคิดได้ในเวลานั้น
ก่อนที่ผมจะสิ้นสุดการเดินผ่านด่านนรกภูมิ ที่มีระยะทางยาว 50 เมตรนั้น อีก 5 เมตรสุดท้ายก่อนที่ผมจะก้าวผ่านด่านไป จู่จู่ก็มีไอ้หนุ่มผิวคล้ำ คิ้วดำเข้มเป็นปื้น ฟันซี่หน้าหลอแต่ทะลึ่งใส่เหล็กดัดฟัน แก้มตอบ สิวเขรอะเต็มใบหน้า นุ่งกางเกงขาลีบ แต่ดันไว้จอนผมแหลมแบบเกาหลีนิยม ปรี่เข้ามาหาผมแล้วคว้าข้อมือผมทันที "ยู ยู ดีวีดี มูหวี" ผมส่ายหน้า บ่ายเบี่ยง พยายามกลั้นใจเดินให้ถึงเส้นชัย ไอ้หนุ่มหน้าสิวไม่สนใจผม กลับคว้ามือผมและออกแรงดึง พร้อมกับส่งเสียงต่ออีกว่า "ยู ยู ดีวีดี มูหวี"
ผมหมดความอดทนแล้ว มันริดรอนเสรีภาพกันแบบซึ่งหน้า ผมตะโกน เสียงตะโกนน่าจะดังกว่าพ่อของหมีแพนด้าที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ผมตะโกนดังลั่น "กูคนไทยโว้ย ไม่ซื้อโว้ย ไม่ซื้อดีวีดีโป๊โว้ย ไม่ซื้อ ไม่ซื้อ ได้ยินไม๊ !!!" โลกหยุดหมุนไปราวครึ่งนาที คนร่วมสองร้อยหันขวับมองเป็นตาเดียวมาที่ผม ผมยืนผงาดประจัญหน้ากับไอ้หนุ่มหน้าสิวคนนั้น ต่างคนต่างกลั้นหายใจ คนทั้งห้างมองมาที่ผมตาไม่กระพริบ ไอ้หนุ่มหน้าสิวทำหน้างวยงงเพียงแค่ชั่วอึดใจ แล้วก็พูดกับผมเป็นภาษาไทยว่า "โทษเพ่ ผมนึกว่าคนญี่ปุ่น" แล้วไอ้สิวก็พูดต่ออีก "คนไทยต้องแผ่นบลูเรย์ดิส ความละเอียดคมชัดสูงเพ่"......
ผมยืนสะกดอารมณ์โกรธ ชิงชัง ผมจำไม่ได้ว่า ณ วินาทีนั้นผมทำอะไรรุนแรงลงไปบ้าง แต่ผมคงไม่ได้ลงมือโต้ตอบไอ้หนุ่มหน้าสิวจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะหากกระทำการแบบนั้น ผมคงไม่ได้กลับมาเล่าเรื่องนี้ที่ตรงนี้ อ๋อใช่แล้ว ผมจำได้แล้ว หลังจากที่ผมข่มไฟโมหะโทสะในใจได้สำเร็จ ดูเหมือนว่าผมจะตอบไอ้หนุ่มหน้าสิวด้วยน้ำเสียงกระซิบที่เขินอาย...
"งั้นเพ่เอาแผ่นบลูเรย์ดิส 3 แผ่น ขอชัดชัด"
เรื่องสั้นเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แผ่นบลูเรย์ดิสชัดกว่าแผ่นดีวีดี...
จบ