ผมเป็นอีกคนนึงที่ยืนยันว่าDigital Interface/Deviceทั้งหลายยังคงมีผลต่อเสียง โดยส่วนมากปัจจัยจะมาจาก 1.คุณภาพไฟฟ้า 2.ตัวนำไฟฟ้า 3.Timing 4.Noise
ส่วนประเด็นเรื่องที่ถามว่าเราท์เตอร์มีผลกับเสียงเพลงไหม แม้จะเชื่อมต่อWireless ผมก็ต้องบอกว่า"มี" ถ้าอยากรู้ว่าการกระทำด้วยวิธีการใดๆกับRounter เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนั้น จะส่งผลต่อเสียงเพลงที่ฟังผ่านอินเตอร์เน็ตหรือไม่ ผมก็จะขอแนะนำวิธีที่ต่างออกไปอีกอย่างนึง แม้จะเป็นคนละเรื่องการการโมRouter แต่วิธีนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า การที่เราท์เตอร์ดีขึ้นมันก็มีผลจริงดีต่อการฟังเพลงผ่านอินเตอร์เน็ต
สำหรับใครที่มีAudioquest Jitterbug FMJหรือ iFi Isilencer+ อย่างใดอย่างนึง"อย่างน้อย3ตัว" และมี "Lan CardแบบUSB" ให้ทำตามนี้
1.ใช้ JitterbugหรือIsilencer+เสียบลงบนช่องUSBของเมนบอร์ด แล้วก็เสียบตัวLan Cardเข้ากับJitterbugหรือIsilencer+อีกที เพื่อทำหน้าที่เป็นUSB Filter
2.ส่วนอีก2ตัวที่เหลือ ให้เสียบเข้ากับช่องUSBของตัวเราท์เตอร์ไปเลยเพื่อทำหน้าที่เป็นNoise Eliminate โดยให้เสียบซ้อนกัน2ตัว เพื่อจะได้สร้างความชัดเจนขึ้นมากขึ้น
ถ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์ฟังจริงๆ ผมมั่นใจว่าจะฟังออกครับ
- สำหรับตัวIsilencer+ นั้นจะได้ผลลัพฑ์ออกไปทางเสียงที่คมกริบขึ้นอย่างชัดเจนและใสสะอาดมาก (โดยปกติไม่แนะนำให้ใช้เยอะขนาดนี้ เพราะเสียงแข็งและใสเกินไป และเนื้อเสียบจะดูลีบบาง แม้ว่าจะได้ความคมกริบก็ตาม)
- สำหรับตัวJitterbug ตัวนี้จะให้ผลแบบเดียวกับIsilencer+ แต่ของAQเสียงจะติดอุ่นและหนากว่าแบบฟังออก และมีเนื้อที่หนากว่า จะไม่ฟังรู้สึกว่าเสียงบาง
อันนี้ขอเป็นคนที่มีประสบการณ์ฟังจริงๆนะครับ คืออย่างน้อยต้องแยกเสียงOpampออก เพราะว่าถ้าแยกเสียงOpampไม่ออก เช่น แยก5532กับLME49720ไม่ออก การเทสแบบนี้ก็จะไม่มีประโยชน์แต่แรกแล้ว แต่ว่าถ้าใครมีอยู่ตัวนึงหรือ2ตัว ก็อาจลองเสียบที่เราท์เตอร์เล่นดูก่อนก็ได้ มันก็ต่างเช่นกัน แต่มันเหมาะกับคนที่ฟังจับผิดได้เก่ง (แต่ถ้าใช้3ตัวแบบที่ผมบอกมันจะชัดเจนกว่า)
ในเรื่องประเด็นการBlind Test ผมว่ามันไม่เหมาะกับการทดสอบเรื่องเสียง เพราะเรื่องเสียงจริงๆต้องเป็นA/B Testครับ
- Blind Test ในมุมมองผมเป็นเกมส์วัดความจำ
- A/B Test อันนี้ถึงเป็นการทดสอบเพื่อเทียบความต่างอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
สมองมนุษย์เราไม่ได้มีความจำได้ยาวนานนักกับการเปรียบเทียบสิ่ง2สิ่งที่ไม่ได้ต่างกันแบบสุดขั้ว ดังนั้นการA/B Testเพื่อใช้การการเทียบความต่างในเวลาสั้นๆ ระหว่างสิ่งAและBจึงเป็นวิธีที่ดีกว่า อย่างเช่นในคลิปนี้
ส่วนBlind Testผมมองว่ามันเป็นเกมส์วัดความจำเท่านั้น แต่มันนำมาใช้ตัดสินเพื่อเทียบความต่างไม่ได้ อย่างสมมุติจอMonitorผมปรับค่าแกมม่าได้5ค่าคือ 1.8/2.0/2.0/2.4/2.6 ถ้าผมปรับสลับไปมาให้ดูต่อหน้าต่อตาทุกคน ทุกคนย่อมแยกความต่างได้หมด แต่ถ้าผมให้ทุกคนออกไปจากห้องสัก10นาที แล้วผมสุ่มค่าแกมม่ามา1ค่า แล้วถามว่าคือค่าอะไร ก็คงไม่มีใครสามารถตอบได้อย่างมั่นใจอีกต่อไป เว้นแต่จะเป็นแกมม่า1.8ที่สว่างสุด หรือแกมม่า2.6ที่มืดสุด เหตุผลก็เพราะว่าความจำคนเราไม่ได้แม่นยำขนาดนั้น ต่างน้อยจะจำได้ไม่นาน...ถ้าต่างมากถึงจำได้นาน (แต่ถึงจำไม่ได้)ก็ไม่ได้แปลว่าคนๆนั้นแยกความต่างไม่ออก เพราะการแยกออกมันเป็นคนละเรื่องกับความจำ
จะยกอีกตัวอย่าง สมมุติผมมีแก้วน้ำเปล่า2แก้วคือแก้วAและB โดยผมหยดสีแดงลงไปในแก้วAจำนวน2หยด และหยดสีแดงลงในแก้วBจำนวน4หยด ถ้าหากเรานำแก้วทั้ง2มาวางคู่กัน เราทุกคนย่อมแยกความต่างได้ นี่คือการA/B Test
แต่ถ้าให้ออกจากห้องไปสัก10นาทีเพื่อล้างความจำ แล้วสุ่มแก้วมา1แก้ว เพื่อถามว่านี่คือแก้วAหรือB คราวนี้หละจะเริ่มลังเลที่จะตอบแล้ว เพราะความจำจะเริ่มจางหาย อะไรที่ไม่ใช่ความต่างกันแบบสุดขั้วจริงๆมันเป็นปกติที่คนเราจะลืมได้ง่าย ดังนั้นA/B Testจึงเป็นวิธีดทียบที่มีประสิทธิภาพที่สุด
การใช้Blind Testแล้วตอบพลาดสำหรับผมไม่ใช่สิ่งแปลก เพราะต่อให้เป็นการชิมอาหาร, การเทียบความต่างด้วยสายตา, การเทียบด้วยประสาทสัมผัส เช่น ให้จับแก้วน้ำเย็น10องศากับ0องศา แล้วอีก10นาทีให้กลับมาจับใหม่แล้วถามว่านี่แก้วกี่องศา พวกนี้ก็อยู่บนหลักการเดียวกันหมด A/Bย่อมเทียบง่าย ส่วนBlindคือเกมส์วัดความจำ
อันนี้เผื่อใครยังไม่เก็ทวิธีเสียบตัวIsilencer+
ให้ทำตามรูปผม เสียบสัก2 Stageแบบนี้ไปเลยที่ช่องUSBของเราท์เตอร์เพื่อให้มันเป็นตัวNoise Eliminate เสียงจะคมกริบ, ใส, ชัดขึ้นแบบฟังออก มันต่างจากไม่เสียบจริงๆ อันนี้ผมแค่จะทดสอบให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในส่วนเราท์เตอร์ มันมีผลต่อเสียงที่เปลี่ยนไปในการฟังเพลงจากอินเตอร์เน็ตจริง