Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

ตะเพิด

10/07/2021 13:28:31

พอดีได้ไปดูคลิปในยูทูปที่น่าสนใจเกี่ยวกับไฟล์ mqa เลยเอามาสรุปให้ได้อ่านกันครับ

- ทางช่องยูทูป GoldenSound ได้ทำการปล่อยเพลงขึ้นไปใน Deezer และ Tidal ( และถูกนำออกจาก Tidal ในภายหลังโดยดุลพินิจของบรรณาธิการ (editorial discretion) )

- GoldenSound ได้เอาไฟล์ทั้งสองนั้นมาเทียบกับไฟล์ Mastering ผ่านโปรแกรม DeltaWave
- พบว่าไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสแบบ MQA จาก Tidal ที่ได้นำมาเทียบกันนั้นดันไม่ใช่ Bit Perfect ซึ่งต่างจาก Deezer ที่เป็น Bit Perfect 100%
- GoldenSound จึงได้เอาไฟล์จาก Tidal มาวิเคราะห์ waveform

สรุปแบบลวกๆ
1. MQA ไม่ใช่ lossless
2. ไฟล์มีการ clipping
3. ในย่านความถี่สูงๆ มี noise ถูกเพิ่มเข้ามาเยอะมาก
4. Dynamic range ลดลง
5. Pulse response เพี้ยนไปจากต้นฉบับ
6. เสียงในบางช่วงมีความดังกว่าไฟล์ต้นฉบับซะงั้น
7. deluxe file

Deezer ( 88.2 khz downsampling-> 44.1 khz ) ถูก downsampling ได้ดีมาก pulse response เหมือนต้นฉบับ ไม่มี noise ถูกเพิ่มเข้ามาแม้แต่นิดเดียว 10 ดาวไปเลย 

Tidal ( 88.2 khz ถูกพับ( folded )-> 44.1 khz ) 10เหมือนกัน แต่เป็น 10 กะโหลก noise ถูกเพิ่มเข้ามาเยอะมาก เสียงที่อยู่มากกว่า 20.5 khz ถูก aliased ( ? ศัพท์เทคนิคอันนี้ผมไม่เข้าใจแฮะ )

คร่าวๆประมาณ พึ่งเคยเขียนอะไรเป็นการเป็นงานยาวๆแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย สําบัดสํานวนอาจดูขัดๆ ไม่ไหลลื่นยังไงขออภัยล่วงหน้านะครับผม

ที่มา
Part 1: MQA มันคือของหลอกเด็ก

https://www.youtube.com/watch?v=pRjsu9-Vznc

Part 2: การตอบกลับจาก MQA

https://www.youtube.com/watch?v=NHkqWZ9jzA0

ให้กำลังใจ 1
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

ผมว่านะ

10/07/2021 13:35:23
เยี่ยมเลยครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

Thanaka

12/07/2021 05:43:52
4
หรือว่าหา DAC ดูแค่เล่นได้ 16bit/44/88 ก็พอครับ ที่เหลือมันการตลาด
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

ตามนั้น

12/07/2021 10:11:41
เท่าที่ฟังคิดว่า mqa น่าจะมีการปรุงแต่งเสียง แต่เอาจริงๆนะอย่าไปคิดอะไรมากเลย ฟังอย่างมีความสุขดีกว่าไปนั่งจับผิด เลือกเอาที่เราสะดวกดีกว่า 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

JNI

12/07/2021 10:41:33
ผมเห็นด้วยครับว่า mqa น่าจะมีการแต่งเสียงตอนที่แกะไฟล์ เสียงไม่เหมือนกับ flac ที่ออกจาก source เดียวกัน

แต่เราจะด่วนสรุปแบบนั้นก็ไม่ได้เพราะ Tidal วิ่งตามสายมาจากนอกบ้าน ผ่าน lan cable ในบ้าน เข้า router ก่อนจะเข้าเครื่อง ทำให้มันได้รับบุคลิคเสียงของสายระหว่างทางมามากเลย

ส่วน flac ที่เล่นจากเครื่องเดียวกัน ก็ยิงตรงจาก music server ไป dac เลย (ในกรณีที่ music server เราเล่น tidal ได้ในตัวนะครับถึงจะเทียบได้ชัดเจน)

ไม่แนะนำให้เทียบ flac กับ mqa version ตรงจาก tidal ยังไงเสียงก็ไม่เหมือนกันครับเพราะ mqa มันแกะมาได้ไฟล์ที่มีตัวเลข hires กว่า


ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

ตามนั้น

12/07/2021 11:26:50
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 4 - JNI

ผมเห็นด้วยครับว่า mqa น่าจะมีการแต่งเสียงตอนที่แกะไฟล์ เสียงไม่เหมือนกับ flac ที่ออกจาก source เดียวกัน

แต่เราจะด่วนสรุปแบบนั้นก็ไม่ได้เพราะ Tidal วิ่งตามสายมาจากนอกบ้าน ผ่าน lan cable ในบ้าน เข้า router ก่อนจะเข้าเครื่อง ทำให้มันได้รับบุคลิคเสียงของสายระหว่างทางมามากเลย

ส่วน flac ที่เล่นจากเครื่องเดียวกัน ก็ยิงตรงจาก music server ไป dac เลย (ในกรณีที่ music server เราเล่น tidal ได้ในตัวนะครับถึงจะเทียบได้ชัดเจน)

ไม่แนะนำให้เทียบ flac กับ mqa version ตรงจาก tidal ยังไงเสียงก็ไม่เหมือนกันครับเพราะ mqa มันแกะมาได้ไฟล์ที่มีตัวเลข hires กว่า


ใช่ครับ mqa ที่มาจาก tidal ตัวแปรทำให้เสียงแปรเปลี่ยนมีเยอะมาก บางที่เราด่วนสรุปไม่ได้ว่าสาเหตุมาจากอะไร มองอีกมุมนึงก็เพราะแบบนี้ถึงได้เกิดของเล่นมากมายสำหรับสตรีมมิ่ง จะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่จะคิด ขอมีสติในการเล่นกันด้วยก็พอ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

ตะเพิด

12/07/2021 12:25:26
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 2 - Thanaka
หรือว่าหา DAC ดูแค่เล่นได้ 16bit/44/88 ก็พอครับ ที่เหลือมันการตลาด
ตามทฤษฎี จำนวนบิตยิ่งสูงยิ่งเข้าใกล้ความเป็นอนาล็อคครับ ส่วน sampling rate ต้องเป็น 2 เท่าของความถี่สูงสุด ( Nyquist Frequency )
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

ตะเพิด

12/07/2021 12:32:43
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 4 - JNI
ผมเห็นด้วยครับว่า mqa น่าจะมีการแต่งเสียงตอนที่แกะไฟล์ เสียงไม่เหมือนกับ flac ที่ออกจาก source เดียวกัน

แต่เราจะด่วนสรุปแบบนั้นก็ไม่ได้เพราะ Tidal วิ่งตามสายมาจากนอกบ้าน ผ่าน lan cable ในบ้าน เข้า router ก่อนจะเข้าเครื่อง ทำให้มันได้รับบุคลิคเสียงของสายระหว่างทางมามากเลย

ส่วน flac ที่เล่นจากเครื่องเดียวกัน ก็ยิงตรงจาก music server ไป dac เลย (ในกรณีที่ music server เราเล่น tidal ได้ในตัวนะครับถึงจะเทียบได้ชัดเจน)

ไม่แนะนำให้เทียบ flac กับ mqa version ตรงจาก tidal ยังไงเสียงก็ไม่เหมือนกันครับเพราะ mqa มันแกะมาได้ไฟล์ที่มีตัวเลข hires กว่า


mqa เป็นการเข้ารหัสครับ แล้วนำมาเก็บใน flac อีกที ไม่เกี่ยวกับการแกะไฟล์

ส่วน tidal บุคลิกเสียงเปลี่ยนเพราะวิ่งผ่านสาย cable นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะสัญญาณ digital มีการ checksum ที่ต้นทางปลายทางอยู่แล้ว ถ้าแบรนด์ระดับโลกอย่าง tidal ไม่มีการ checksum ผมว่าหนักแล้วล่ะ ถ้าสัญญาณ digital จะเพี้ยนผมคิดออกอย่างเดียวคือ schmitt trigger ในวงจร dac แค่นั้น

deezer ก็เป็น streaming platform เหมือนกัน แต่เจ้านั้นยัง bit perfect 100% กับต้นฉบับได้เลย ไม่มีเพี้ยนแม้แต่นิดเดียว

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

เฟี้ยว

12/07/2021 13:55:09
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 4 - JNI
ผมเห็นด้วยครับว่า mqa น่าจะมีการแต่งเสียงตอนที่แกะไฟล์ เสียงไม่เหมือนกับ flac ที่ออกจาก source เดียวกัน

แต่เราจะด่วนสรุปแบบนั้นก็ไม่ได้เพราะ Tidal วิ่งตามสายมาจากนอกบ้าน ผ่าน lan cable ในบ้าน เข้า router ก่อนจะเข้าเครื่อง ทำให้มันได้รับบุคลิคเสียงของสายระหว่างทางมามากเลย

ส่วน flac ที่เล่นจากเครื่องเดียวกัน ก็ยิงตรงจาก music server ไป dac เลย (ในกรณีที่ music server เราเล่น tidal ได้ในตัวนะครับถึงจะเทียบได้ชัดเจน)

ไม่แนะนำให้เทียบ flac กับ mqa version ตรงจาก tidal ยังไงเสียงก็ไม่เหมือนกันครับเพราะ mqa มันแกะมาได้ไฟล์ที่มีตัวเลข hires กว่า


งั้นเวลาทำงานเพลงอัดที่ไทยแต่คนมิกซ์อยู่เมกาคนผมคงต้องต้องบินไปเมกาเพื่อเอา Source ไปส่งให้คนมิกซ์ด้วยมือตัวเอง เพราะว่าการที่ไฟล์มันถูกส่งผ่านดาวเทียม ผ่านสายเน็ต ผ่าน Router แล้วมันทำให้สัญญาณ Loss หรือ Distort 55555 ดูยุ่งยากลำบากดีเนอะ ไม่รู้จะมีเทคโนโลยีไว้ทำไมไร้ประโยชน์สิ้นดีว่ามั้ยครับ กลับไปยุค Analog เถอะครับดีที่สุดแล้ว
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

JNI

12/07/2021 16:38:15
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 8 - เฟี้ยว
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 4 - JNI
ผมเห็นด้วยครับว่า mqa น่าจะมีการแต่งเสียงตอนที่แกะไฟล์ เสียงไม่เหมือนกับ flac ที่ออกจาก source เดียวกัน

แต่เราจะด่วนสรุปแบบนั้นก็ไม่ได้เพราะ Tidal วิ่งตามสายมาจากนอกบ้าน ผ่าน lan cable ในบ้าน เข้า router ก่อนจะเข้าเครื่อง ทำให้มันได้รับบุคลิคเสียงของสายระหว่างทางมามากเลย

ส่วน flac ที่เล่นจากเครื่องเดียวกัน ก็ยิงตรงจาก music server ไป dac เลย (ในกรณีที่ music server เราเล่น tidal ได้ในตัวนะครับถึงจะเทียบได้ชัดเจน)

ไม่แนะนำให้เทียบ flac กับ mqa version ตรงจาก tidal ยังไงเสียงก็ไม่เหมือนกันครับเพราะ mqa มันแกะมาได้ไฟล์ที่มีตัวเลข hires กว่า


งั้นเวลาทำงานเพลงอัดที่ไทยแต่คนมิกซ์อยู่เมกาคนผมคงต้องต้องบินไปเมกาเพื่อเอา Source ไปส่งให้คนมิกซ์ด้วยมือตัวเอง เพราะว่าการที่ไฟล์มันถูกส่งผ่านดาวเทียม ผ่านสายเน็ต ผ่าน Router แล้วมันทำให้สัญญาณ Loss หรือ Distort 55555 ดูยุ่งยากลำบากดีเนอะ ไม่รู้จะมีเทคโนโลยีไว้ทำไมไร้ประโยชน์สิ้นดีว่ามั้ยครับ กลับไปยุค Analog เถอะครับดีที่สุดแล้ว
5555 เป็นคนมีบุญนะครับฟังพวกสาย พวก source ไม่ออก ประหยัดเงินไปได้เยอะครับ โลกของเสียง 0 กับ 1 ใช้ไม่ได้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

เฟี้ยว

12/07/2021 17:56:10
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 9 - JNI
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 8 - เฟี้ยว
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 4 - JNI
ผมเห็นด้วยครับว่า mqa น่าจะมีการแต่งเสียงตอนที่แกะไฟล์ เสียงไม่เหมือนกับ flac ที่ออกจาก source เดียวกัน

แต่เราจะด่วนสรุปแบบนั้นก็ไม่ได้เพราะ Tidal วิ่งตามสายมาจากนอกบ้าน ผ่าน lan cable ในบ้าน เข้า router ก่อนจะเข้าเครื่อง ทำให้มันได้รับบุคลิคเสียงของสายระหว่างทางมามากเลย

ส่วน flac ที่เล่นจากเครื่องเดียวกัน ก็ยิงตรงจาก music server ไป dac เลย (ในกรณีที่ music server เราเล่น tidal ได้ในตัวนะครับถึงจะเทียบได้ชัดเจน)

ไม่แนะนำให้เทียบ flac กับ mqa version ตรงจาก tidal ยังไงเสียงก็ไม่เหมือนกันครับเพราะ mqa มันแกะมาได้ไฟล์ที่มีตัวเลข hires กว่า


งั้นเวลาทำงานเพลงอัดที่ไทยแต่คนมิกซ์อยู่เมกาคนผมคงต้องต้องบินไปเมกาเพื่อเอา Source ไปส่งให้คนมิกซ์ด้วยมือตัวเอง เพราะว่าการที่ไฟล์มันถูกส่งผ่านดาวเทียม ผ่านสายเน็ต ผ่าน Router แล้วมันทำให้สัญญาณ Loss หรือ Distort 55555 ดูยุ่งยากลำบากดีเนอะ ไม่รู้จะมีเทคโนโลยีไว้ทำไมไร้ประโยชน์สิ้นดีว่ามั้ยครับ กลับไปยุค Analog เถอะครับดีที่สุดแล้ว
5555 เป็นคนมีบุญนะครับฟังพวกสาย พวก source ไม่ออก ประหยัดเงินไปได้เยอะครับ โลกของเสียง 0 กับ 1 ใช้ไม่ได้ครับ
ที่ฟังไม่ออกเพราะเสียงมันเหมือนกันไงครับ หูคนเราเชื่อไม่ได้หรอกแต่เครื่องมือทางวิทยศาสตร์ พวกตัวเลขสมการต่างๆมันไม่เคยโกหกครับ ลองเอาไฟล์เดียวกันไปส่งผ่านเน็ตเวิร์คอินเตอร์เน็ตสายแลนอะไรก็แล้วแต่ที่มันไม่ใช่สายแบบ Analog กับแบบไม่ผ่านอะไรเลยเอามากลับ Phase แล้วฟังยังไงก็เงียบ 100% เพราะในโลกของ Digital Audio คือ 0 กับ 1 ดังนั้นทุกข้อมูลที่ส่งไปมันย่อมต้องเหมือนเดิม เพราะถ้าเกิด Bit Error ระบบมันไม่เล่นครับ มันจะถูก Skip ไปจนเสียงกระตุก ขาดช่วง มันจึงต้องมี Algorithm ที่เรียกว่า Error Correction ครับ ดังนั้นจะ Tranmission อย่างไรมันก็ไม่มี Loss ไม่มี Distort ไม่ได้รับบุคคลิกจากอะไรมาทั้งสิ้นครับ เรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องของภาค Analog ครับ ถ้าภาค Digital เพียวๆยังไงก็ไม่มีทางเป็นแบบที่คุณว่าหรอก

ตังน่ะผมเสียครับ แต่ผมไม่เสียไปกับพวกของไร้สาระบิดเบือนข้อมูลเพื่อการตลาดหรอกครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 11

ลองดูครับ

12/07/2021 20:45:34
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 10 - เฟี้ยว

ที่ฟังไม่ออกเพราะเสียงมันเหมือนกันไงครับ หูคนเราเชื่อไม่ได้หรอกแต่เครื่องมือทางวิทยศาสตร์ พวกตัวเลขสมการต่างๆมันไม่เคยโกหกครับ ลองเอาไฟล์เดียวกันไปส่งผ่านเน็ตเวิร์คอินเตอร์เน็ตสายแลนอะไรก็แล้วแต่ที่มันไม่ใช่สายแบบ Analog กับแบบไม่ผ่านอะไรเลยเอามากลับ Phase แล้วฟังยังไงก็เงียบ 100% เพราะในโลกของ Digital Audio คือ 0 กับ 1 ดังนั้นทุกข้อมูลที่ส่งไปมันย่อมต้องเหมือนเดิม เพราะถ้าเกิด Bit Error ระบบมันไม่เล่นครับ มันจะถูก Skip ไปจนเสียงกระตุก ขาดช่วง มันจึงต้องมี Algorithm ที่เรียกว่า Error Correction ครับ ดังนั้นจะ Tranmission อย่างไรมันก็ไม่มี Loss ไม่มี Distort ไม่ได้รับบุคคลิกจากอะไรมาทั้งสิ้นครับ เรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องของภาค Analog ครับ ถ้าภาค Digital เพียวๆยังไงก็ไม่มีทางเป็นแบบที่คุณว่าหรอก

ตังน่ะผมเสียครับ แต่ผมไม่เสียไปกับพวกของไร้สาระบิดเบือนข้อมูลเพื่อการตลาดหรอกครับ

https://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=203596
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

เฟี้ยว

12/07/2021 23:24:08
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 11 - ลองดูครับ
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 10 - เฟี้ยว

ที่ฟังไม่ออกเพราะเสียงมันเหมือนกันไงครับ หูคนเราเชื่อไม่ได้หรอกแต่เครื่องมือทางวิทยศาสตร์ พวกตัวเลขสมการต่างๆมันไม่เคยโกหกครับ ลองเอาไฟล์เดียวกันไปส่งผ่านเน็ตเวิร์คอินเตอร์เน็ตสายแลนอะไรก็แล้วแต่ที่มันไม่ใช่สายแบบ Analog กับแบบไม่ผ่านอะไรเลยเอามากลับ Phase แล้วฟังยังไงก็เงียบ 100% เพราะในโลกของ Digital Audio คือ 0 กับ 1 ดังนั้นทุกข้อมูลที่ส่งไปมันย่อมต้องเหมือนเดิม เพราะถ้าเกิด Bit Error ระบบมันไม่เล่นครับ มันจะถูก Skip ไปจนเสียงกระตุก ขาดช่วง มันจึงต้องมี Algorithm ที่เรียกว่า Error Correction ครับ ดังนั้นจะ Tranmission อย่างไรมันก็ไม่มี Loss ไม่มี Distort ไม่ได้รับบุคคลิกจากอะไรมาทั้งสิ้นครับ เรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องของภาค Analog ครับ ถ้าภาค Digital เพียวๆยังไงก็ไม่มีทางเป็นแบบที่คุณว่าหรอก

ตังน่ะผมเสียครับ แต่ผมไม่เสียไปกับพวกของไร้สาระบิดเบือนข้อมูลเพื่อการตลาดหรอกครับ

https://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=203596


ดูนี่ซะนะครับจะได้ตาสว่าง ให้นายกโง่คนเดียวก็พอแล้ว

https://drive.google.com/file/d/1lpy-ERo_gfhV4asyErZt2KFF33jb4qiA/view?usp=sharing

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

torhifi

15/07/2021 01:51:50
219
สายDigitalไม่ได้ทำให้ส่วนข้อมูลเพี้ยน แต่ไฟฟ้ามันส่งผลต่อบุคลิคเสียงครับ แม้ว่าไฟล์เพลงจะเข้ารหัสมาให้เราได้ยินเสียงนก, แมว, ไก่อะไรก็ตาม แต่ถ้ามันเป็นไฟฟ้าที่วิ่งผ่านตัวนำต่างๆ มันก็จะเกิดบุคลิคขึ้นแน่นอน
การทดสอบว่าสายสัญญาณDigital เช่นสายUSBทั้ง2เส้นมีผลทำให้เสียงเพลงต่างกันหรือไม่ ก็ต้องทดสอบโดยบันทึกเสียงจากภาคLine-OutของDAC เพื่อเทียบว่าสายUSBทั้ง2เส้นนั้น ทำให้รูปคลื่นออกมาต่างกันชัดเจนหรือไม่ เอาเข้าโปรแกรมเสียงเทียบ อันนี้น่าจะทางการและง่ายต่อการเข้าใจของคนทั่วไปมากที่สุด 
จริงๆแล้วผมไม่ค่อยอยากใช้คำว่าสัญญาณDigitalนัก เพราะมองว่ายิ่งทำให้คนทั่วไปเข้าใจเรื่องนี้ยากขึ้น เพราะจริงๆคำว่าสัญญาณDigitalเราเรียกกันเพื่อความสะดวกเท่านั้น แต่จริงๆแล้วถ้าจะให้นิยามให้ถูกต้องเรียกว่า"Analogที่ถูกจัดการด้วยวิธีการแบบLogicเสียมากกว่า" เพราะจริงๆแล้วในโลกนี้ไม่มีสัญญาณDigital จริงๆDigitalเป็นเพียงชื่อเรียกของหลักการLogicเท่านั้น มันไม่มีตัวตนกายหยายอะไรบนโลกนี้ และการจะนำหลักLogicมาใช้งานได้ สุดท้ายก็ต้องอาศัยพาหะที่เป็นAnalogเหมือนเดิม (Analogก็คือทุกอย่างที่เป็นความจริงบนโลกนี้ อะไรก็ได้..ได้หมด) ซึ่งคำว่าAnalogนี่เองคือคำตอบว่าทำไมสายที่เรียกกันว่าDigitalยังมีผลต่อเสียง เหตุผลเพราะจริงๆมันก็คือสายAnalogวันยังค่ำ สิ่งที่วิ่งผ่านก็คือไฟฟ้าเหมือนเดิม เพียงแต่ต่างกันแค่รูปแบบการส่งสัญญาณเท่านั้นเอง
ไฟฟ้าLowหรือHigh--->ก็คือ0หรือ1 จะเห็นว่าสุดท้ายข้อมูลก็คือไฟฟ้า และไม่ว่ามันจะถูกส่งไปแบบไหนเช่น00011011101  แต่ไฟฟ้ามันไม่สนใจว่าข้อมูลจะเป็นอะไร เพราะบุคลิคเสียงมันก็คือบุคลิคเสียงของมัน ถ้ามันวิ่งผ่านเงิน, ทองแดงหรืออะไรก็แล้วแต่มันก็จะติดบุคลิคแน่นอน ส่วนสัญญาณข้อมูลเองสุดท้ายจะแปลงให้เป็นเสียงนก, หนู, แมวอะไรก็เป็นอีกเรื่องนึง แต่บุคลิคเสียงมันจะไม่เปลี่ยนในส่วนของไฟฟ้า
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 14

JNI

15/07/2021 02:13:42
ไปตอบยาวๆว่าเสียงไม่เหมือนกันแบบนี้ ระวังโดนด่าเหมือนเม้นบนนะครับ 55555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 15

ผมว่านะ

15/07/2021 09:14:09
คห.13 เยี่ยมเลยครับ วันนี้ผมได้ความรู้เยอะเลย และหวังว่าคนบางคนที่เอาแต่พูดเป็นนกแก้วนกขุนทองว่า digital มันก็แค่เลข 0 กับเลข 1 จะได้ตาสว่างซะที
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 16

สมัครเล่น

15/07/2021 12:21:37
412
จาก คห.13
แสดงว่า decoder ไม่ได้รับแปลงโค้ดที่รับกลับเป็นสัญญานอย่างเดียว
แต่รับคุณลักษณะทางไฟฟ้าที่ได้ด้วย
เช่น สปีดทางไฟฟ้า ความแรงทางไฟฟ้า ที่มีผลมาจากตัวนำด้วย
แบบนี้ด้วยใช่ไหมครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 17

Shumiq

15/07/2021 14:48:31
4
ผมเข้าใจนะว่าท้ายที่สุดแล้วยังไงอุปกรณ์ Digital มันก็ต้องสื่อสารผ่านสัญญาณ Analog อยู่ดี เพราะงั้นมันมีโอกาสโดนรบกวนจากภายนอกได้เสมอ

เพราะเหตุงั้นการส่งสัญญาณจากอุปกรณ์ Digital ไปยังอุปกรณ์ Analog (ก็คือตั้งแต่อุปกรณ์ที่มี DAC ไปจนถึงลำโพงหรือหูฟัง) ทุกอย่างมันส่งผลต่อเสียงได้หมด ไม่เว้นแม้แต่แหล่งจ่ายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าชิ้นอื่นที่อยู่รอบๆด้วย (รวมไปถึง HDD ด้วย)

แต่ในกรณีส่งสัญญาณจากอุปกรณ์ Digital ไปยังอุปกรณ์ Digital ด้วยกันเอง มันมี Protocol ต่างๆนานาทำให้ถึงแม้สัญญาณจะโดนรบกวนบิดเบือนระหว่างส่งมันก็จะส่งถึงปลายทางได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ ไม่ว่าจะส่งผ่าน medium ไหน ถ้าปลายทางเป็นอุปกรณ์ Digital มันจะได้ไฟล์เดียวกันครับ

ต้องเข้าใจว่าอุปกรณ์ Digital มันไม่ได้เอาสัญญาณที่ได้รับมาไปใช้เลยทันที แต่มันเอามาแปลงกลับเป็นข้อมูล Digital ก่อนแล้วค่อยนำไปใช้ครับ เพราะงั้นสัญญาณรบกวนต่างๆนานาที่มากับสัญญาณมันก็ถูกกำจัดออกไปด้วย (แน่นอนว่ามันก็มีโอกาสที่กำจัดไปแล้วมันจะผิดเพี้ยน แต่มันมีเทคนิคในการตรวจสอบอยู่ครับว่าผิดเพี้ยนไปจากเดิมหรือไม่)

สรุปก็คือไม่ว่าเราจะรับไฟล์มาจาก Wifi หรือ LAN หรือเล่นไฟล์เองในเครื่อง แอปเล่นเพลงในเครื่องมันก็จะเล่นเพลงจากไฟล์เดียวกันอยู่ดีครับ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะอ่านไฟล์เดียวกัน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเสียงจะออกมาเหมือนกัน อย่างที่บอกว่ายังไงสุดท้ายตอนมันแปลงเป็น Analog และส่งไปยังลำโพง/หูฟังมันก็สามารถเกิดการรบกวนสัญญาณได้ ซึ่งการที่อุปกรณ์รับสัญญาณ Wifi และประมวลผลอย่างต่อเนื่องมันอาจจะรบกวนสัญญาณภายในอุปกรณ์นั้นๆเองทำให้เสียงออกมาไม่เหมือนกับการเล่นเพลงผ่านไฟล์ในเครื่องโดยตรงก็เป็นได้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 18

ผมว่านะ

15/07/2021 15:24:02
ดิจิตอลคือ นามธรรม แต่ รูปธรรม คือสัญญาณไฟฟ้า ไหนครับเลข 0 กับเลข 1 เอาเครื่องมืออะไรก็ได้วัดให้ผมเห็นตัวเลขหน่อย ผมเห็นแต่สัญญาณไฟฟ้า Square wave วิ่งในสาย ไม่เชื่อเอา osiloscope วัดรูปคลื่นดูสิเครื่องมือวิทยาศาสตร์ไม่เคยหลอกลวงใคร ในเมื่อเป็นสัญญาณไฟฟ้าก็ย่อมมีการรบกวนทางไฟฟ้าซึ่งมันก็มีผลกับเสียงทั้งนั้น
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 19

เฟี้ยว

15/07/2021 16:04:04
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 13 - torhifi
สายDigitalไม่ได้ทำให้ส่วนข้อมูลเพี้ยน แต่ไฟฟ้ามันส่งผลต่อบุคลิคเสียงครับ แม้ว่าไฟล์เพลงจะเข้ารหัสมาให้เราได้ยินเสียงนก, แมว, ไก่อะไรก็ตาม แต่ถ้ามันเป็นไฟฟ้าที่วิ่งผ่านตัวนำต่างๆ มันก็จะเกิดบุคลิคขึ้นแน่นอน
การทดสอบว่าสายสัญญาณDigital เช่นสายUSBทั้ง2เส้นมีผลทำให้เสียงเพลงต่างกันหรือไม่ ก็ต้องทดสอบโดยบันทึกเสียงจากภาคLine-OutของDAC เพื่อเทียบว่าสายUSBทั้ง2เส้นนั้น ทำให้รูปคลื่นออกมาต่างกันชัดเจนหรือไม่ เอาเข้าโปรแกรมเสียงเทียบ อันนี้น่าจะทางการและง่ายต่อการเข้าใจของคนทั่วไปมากที่สุด 
จริงๆแล้วผมไม่ค่อยอยากใช้คำว่าสัญญาณDigitalนัก เพราะมองว่ายิ่งทำให้คนทั่วไปเข้าใจเรื่องนี้ยากขึ้น เพราะจริงๆคำว่าสัญญาณDigitalเราเรียกกันเพื่อความสะดวกเท่านั้น แต่จริงๆแล้วถ้าจะให้นิยามให้ถูกต้องเรียกว่า"Analogที่ถูกจัดการด้วยวิธีการแบบLogicเสียมากกว่า" เพราะจริงๆแล้วในโลกนี้ไม่มีสัญญาณDigital จริงๆDigitalเป็นเพียงชื่อเรียกของหลักการLogicเท่านั้น มันไม่มีตัวตนกายหยายอะไรบนโลกนี้ และการจะนำหลักLogicมาใช้งานได้ สุดท้ายก็ต้องอาศัยพาหะที่เป็นAnalogเหมือนเดิม (Analogก็คือทุกอย่างที่เป็นความจริงบนโลกนี้ อะไรก็ได้..ได้หมด) ซึ่งคำว่าAnalogนี่เองคือคำตอบว่าทำไมสายที่เรียกกันว่าDigitalยังมีผลต่อเสียง เหตุผลเพราะจริงๆมันก็คือสายAnalogวันยังค่ำ สิ่งที่วิ่งผ่านก็คือไฟฟ้าเหมือนเดิม เพียงแต่ต่างกันแค่รูปแบบการส่งสัญญาณเท่านั้นเอง
ไฟฟ้าLowหรือHigh--->ก็คือ0หรือ1 จะเห็นว่าสุดท้ายข้อมูลก็คือไฟฟ้า และไม่ว่ามันจะถูกส่งไปแบบไหนเช่น00011011101  แต่ไฟฟ้ามันไม่สนใจว่าข้อมูลจะเป็นอะไร เพราะบุคลิคเสียงมันก็คือบุคลิคเสียงของมัน ถ้ามันวิ่งผ่านเงิน, ทองแดงหรืออะไรก็แล้วแต่มันก็จะติดบุคลิคแน่นอน ส่วนสัญญาณข้อมูลเองสุดท้ายจะแปลงให้เป็นเสียงนก, หนู, แมวอะไรก็เป็นอีกเรื่องนึง แต่บุคลิคเสียงมันจะไม่เปลี่ยนในส่วนของไฟฟ้า
ที่ผมทำคลิปพิสูจน์ข้อเท็จจริง ก็มีตัวหนึ่งนะครับที่วิ่งผ่าน HD ส่งข้อมูลผ่านสาย USB แถมเป็นสาย USB กากๆไม่ได้เคลือบเงินเคลือบทองราคาเป็นหมื่นเป็นแสน ผลที่ได้คือกลับ Phase เงียบ 100% แม้แต่ดู Analyzer ทุกรูปแบบที่เช็คทุกสัญญาณ ผลที่ได้สัญญาณ Output คือ -Inf ซึ่งนั่นก็คือหักล้างกันแบบ 100% คุณสามารถหาคำอธิบายเรื่องนี้ได้หรือไม่ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 20

เฟี้ยว

15/07/2021 16:54:59
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 18 - ผมว่านะ
ดิจิตอลคือ นามธรรม แต่ รูปธรรม คือสัญญาณไฟฟ้า ไหนครับเลข 0 กับเลข 1 เอาเครื่องมืออะไรก็ได้วัดให้ผมเห็นตัวเลขหน่อย ผมเห็นแต่สัญญาณไฟฟ้า Square wave วิ่งในสาย ไม่เชื่อเอา osiloscope วัดรูปคลื่นดูสิเครื่องมือวิทยาศาสตร์ไม่เคยหลอกลวงใคร ในเมื่อเป็นสัญญาณไฟฟ้าก็ย่อมมีการรบกวนทางไฟฟ้าซึ่งมันก็มีผลกับเสียงทั้งนั้น
แน่นอนครับว่ามันย่อมเป็นอย่างนั้นถ้าคุณมองแค่สาย แต่ระบบ PCM มันซับซ้อนกว่ามันไม่ได้เป็นแค่ทำเป็นสัญญาณไฟฟ้าแล้วส่งไปเสร็จแล้วก็แปลงปุ๊ปแบบ Analog 

Medium --> Reproduction Demodulation --> Error Correction --> Demultiplexer ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้คือเรื่องของภาคข้อมูลภาษาคอมพิวเตอร์ล้วนๆ ส่วนภาคที่แปลงจากภาษาคอมพิวเตอร์เป็น Voltage เริ่มตั้งแต่ DAC --> Output Sample and Hold --> Output Anit-Aliasing Filter --> Line Amp --> Speaker ตรงส่วนหลังนี่แหละที่มันจะมีบุคคลิกทางเสียงเพราะมันได้รับผลโดยตรง แต่ก่อนหน้านี้ซึ่งมันยังเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ถึงแม้จะส่งเป็นไฟฟ้า แต่ไฟฟ้าที่ส่งนั้นมันเป็นเพียงแค่ตัวแทน เลข 0 กับ 1 ซึ่งก็คือ 0v และ 5v อาจจะมีการถูกรบกวนได้ ใช่ครับถูก แต่การถูกรบกวนนั้นสุดท้ายแล้วก็จะถูกแก้ไขโดย Algorithm ที่ชื่อว่า Error Correction แก้กลับมาให้เหมือนเดิมอยู่ดี เพราะถ้ามันไม่เหมือนเดิมระบบมันไม่ยอมเล่นครับ คือเสียงขาดไปเลย ก็คล้ายอาการแบบแผ่นซีดีเป็นรอยขีดข่วนเยอะๆนั่นแหละครับ 

สรุปนะครับคือคุณจะวัดแบบยิงสัญญาณ Analog แล้วเอา Oscilloscope มาส่องอย่างเดียวมันไม่ได้ครับ เพราะอย่างนั้นเอาไปทำกับสายสัญญาณเส้นไหนบนโลกผลลัพธ์มันก็ออกมาเป็นแบบนี้อยู่ดีแหละ ถ้าจะวัดกันจริงๆมันต้องวัดจากผลลัพธ์จากทั้งระบบครับ ซึ่งก็ทำได้ไม่ยากหรอกครับ ก็แค่เอาผลลัพธ์ที่ได้มากลับ Phase แล้วเปิดพร้อมกับไฟล์ต้นตำหนับเพื่อเช็ค Phase Cancellation ว่ามันมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ถ้า Output มันยังมีสัญญาณอยู่ก็แปลว่าเสียงมันต่างกัน มีผลต่อเสียง แต่ถ้ามันเงียบสนิท 100% ก็แปลว่าไม่ต่าง ไม่มีผลต่อเสียง ซึ่งผมก็ได้ทำไปแล้วผลลัพธ์มันออกมาเป็นยังไงก็ไปดูเอาเองละกันครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 21

ตามนั้น

15/07/2021 18:53:25
ผมฟังจากคลิปแล้ว สรุปสั้นๆ ว่าต้นฉบับ กับ ext-HDD ผมแยกไม่ออกเลย แต่ฟังจากเน็ตรู้สึกว่าเสีงจะด้อยกว่าทั้ง 2 แตยังไม่ปักใจเชื่อหูตัวเอง 100% เอาแบบนี้ไหมครับช่วยทำคลิ๊ปเสียง มา 3 คลิป แล้วไม่ต้องบอกว่ามาจากแหล่งไหน แล้วให้คนมาโหมดว่าชอบอันไหนมากที่สุดหรือฟังออกไหม แล้วค่อยเฉลยตอน้าย ผมว่าน่าสนุกดีนะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 22

ตามนั้น

15/07/2021 19:01:55
เอาเป็นคลิปแบบเห็นภาพบนจอแบบเดิมให้เห็นว่ามจากคนละแหล่งจริงแต่ไม่ต้องบอกว่าอันไหนคืออะไร 3 คลิป ฟังตั้งแต่เริ่มต้นเพลงเหมือนกันทั้ง 3 คลิป ความยาวเท่ากันอย่าง้อย 1 นาที
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 23

เฟี้ยว

15/07/2021 19:47:27
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 21 - ตามนั้น
ผมฟังจากคลิปแล้ว สรุปสั้นๆ ว่าต้นฉบับ กับ ext-HDD ผมแยกไม่ออกเลย แต่ฟังจากเน็ตรู้สึกว่าเสีงจะด้อยกว่าทั้ง 2 แตยังไม่ปักใจเชื่อหูตัวเอง 100% เอาแบบนี้ไหมครับช่วยทำคลิ๊ปเสียง มา 3 คลิป แล้วไม่ต้องบอกว่ามาจากแหล่งไหน แล้วให้คนมาโหมดว่าชอบอันไหนมากที่สุดหรือฟังออกไหม แล้วค่อยเฉลยตอน้าย ผมว่าน่าสนุกดีนะครับ

จุดประสงค์ที่แท้จริงของการทำคลิปก็เพราะว่าหูคนเรามันเชื่อถือไม่ได้ 100% นี่แหละครับ บางคนได้ยินแบบนี้ บางคนก็ได้ยินไปแบบโน้น บางคนได้ยินมาก บางคนได้ยินน้อย อยู่กับปัจจัยสภาพร่างกายที่แตกต่างกันไป รวมถึงช่วงอายุของคนเราด้วย แต่ที่ทำนี้ให้ดูตรงมาตรวัด ให้ดูตรงตัวเลขครับ ว่าผลลัพธ์มันออกมาเป็นอย่างไร เพราะ Meter มาตรวัด Analyzer เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มันไม่เคยโกหกครับ ที่แสดงให้ดูคือเช็คให้ดูถึงค่า Phase Cancellation ตามทฎษฎีเรื่อง Phase Relationship ที่ว่ากันด้วยเรื่องความต่างของเวลาที่มีผลต่อการตำแหน่งการจัดเรียง Phase ของเสียงโดยถ้า Phase ของทั้งสองเสียงจัดเรียงกันในตำแหน่งเดียวกันมันก็จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Phase Construction ทำให้เสียงที่ดังขึ้นแม้ไม่ได้เพิ่ม Amplitude Level โดยตรงแต่ถ้าของทั้งสองเสียงจัดเรียงกันในตำแหน่งตรงกันข้ามกันก็จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Phase Destruction ที่ทำให้เสียงที่เบาลงแม้ไม่ได้ลด Amplitude Level โดยตรง ซึ่งในการทดสอบนี้เป็นการทดสอบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่ Sound Engineer ที่ใช้ทดสอบความแตกต่างระหว่าง Source โดยการนำ Source สองตัวมากลับ Phase ที่ตัวใดตัวหนึ่งแล้วนำมาเปิดฟังพร้อมกัน โดยเสียงในส่วนที่มีความเหมือนกันกับต้นฉบับก็จะถูกหักล้างจนหายไป เพราะ Phase ที่ตรงกันข้ามกัน แต่เสียงตรงส่วนไหนที่แตกต่างกันจากต้นฉบับก็จะยังคงหลงเหลือให้ได้ยินเพราะเนื่องจากมันมี Phase ที่ตรงกัน ซึ่งสรุปง่ายๆก็คือ ถ้ามันไม่เงียบสนิท ตรง Output มันยังเหลือสัญญาณอยู่ ก็แปลว่าเสียงมันต่างกัน แต่ถ้าเสียงมันเงียบสนิท ตรง Output มันไม่หลงเหลือสัญญาณใดๆก็แปลว่า เสียงมันเหมือนกันเป๊ะ 100% ซึ่งผลลัพธ์จากที่ผมได้ทำการทดลองนั้นก็คือกลับ Phase เปิดพร้อมกัน แล้วมันก็เงียบสนิท ตรง Output มันไม่หลงเหลือสัญญาณใดๆ ซึ่งก็เท่ากับว่าพวกปัจจัยเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลใดๆต่อเสียงเลยแม้แต่น้อยไงครับ

ผมไม่ได้มา A/B Test หรือว่า Blind Test ใดๆ ไม่ได้ต้องการให้ใช้หูในการฟัง แต่ผมต้องการนำเสนอผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ให้ดูครับ ซึ่งวิทยาศาสตร์มันไม่เคยโกหก นั่นก็แปลว่าจะผ่าน HD คนละลูก จะผ่าน USB จะผ่านสาย LAN ผ่าน Router ก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีผลต่อเสียงทั้งสิ้นครับ แค่มีผลทางจิตวิทยา แค่นั้นแหละครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 24

ตะเพิด

15/07/2021 20:16:47
ไม่รู้ไปเรื่องสายสัญญาณกันได้ไง
เอาเป็นว่าผมอธิบายงี้ flac กับ mqa คือการเอาไฟล์ตั้งต้น pcm(หรือไฟล์ wav นั่นแหละ)  ไปบีบอัดในวิธีที่ต่างกันแล้วมันจะได้ไฟล์ .flac ออกมา ซึ่งการที่จะเอาไฟล์ที่ถูกบีบอัดนี้ไปใช้ จะต้องทำการคลายเป็น pcm ก่อน
แต่ประเด็นมันคือการเข้ารหัสแบบ mqa คลายแล้วมันดันไม่ได้ไฟล์ pcm ต้นฉบับที่เอามาบีบอัด มันเลยเกิดประเด็นนี้ขึ้นมา( ในคลิปที่เอาไปดู sound spectrum นั่นแหละ)

ตอบคำถามในประเด็นที่คนงงกัน
- เป็นเพราะสายเคเบิ้ล หรือ wifi หรืออะไรต่างๆนาๆ?
คำตอบ ไม่
การฟังเพลงผ่าน app เนี่ยมีอยู่ 2แบบ คือ สตรีมมิ่ง (bit streaming) กับโหลดมาเก็บไว้ในเครื่อง (file transfer) แล้วที่เราคุยกันอยู่นี้มันคืออย่างหลัง ซึ่งการโหลดมาเก็บไว้ในเครื่องนี้มันมีการเช็คความถูกต้องจากผู้ส่งอยู่แล้วเพราะงั้นยังไงก็ไม่เพี้ยน ดูง่ายๆ ทำไม flac ถึงเหมือนต้นฉบับเป๊ะ ต่างจาก mqa

- เป็นเพราะไฟฟ้าหรือสายสัญญาณส่งผลต่อบุคลิคของเสียง?
คำตอบ ไม่
ที่เราคุยกันอยู่นี้เป็นภาค digital ไม่ใช่ภาค analog
DAC จะเอาข้อมูลในไฟล์ที่เป็น 0011 เนี่ย (ภาค digital ที่เป็น square wave) มา sampling + quantization เปลี่ยนเป็นแรงดันไฟฟ้า(sin wave)ความถี่ต่างๆก่อนส่งเข้า diaphragm ของหูฟัง (ภาค analog) บุคลิคของสายสัญญาณจะมีผลตรงนี้ เช่นความถี่สูงๆ ไฟฟ้าจะวิ่งที่ผิวของสายไฟ นั่นแหละสายทองแดงเคลือบเงินมันเลยกรุ๊งกริ๊งกว่าสายทองแดงเพียวๆ แต่ที่คุยกันนี้ยังไม่ได้เข้าถึง dac เลยด้วยซ้ำ

สรุปครับ
- ที่ goldensound นำมาวิเคราะห์ไม่ใช่การ streaming แต่เป็น transfering
- goldensound เค้าวิเคราะห์ spectrum ของไฟล์ "ไม่ได้ยุ่งกับภาค analog เลย"
- ย้ำอีกรอบว่าไม่เกี่ยวกับสายสัญญาณ ดูง่ายๆ flac กับ mqa โหลดมาทั้งคู่แต่ทำไมเพี้ยนจากต้นฉบับอยู่แค่ mqa ไฟล์เดียว
- ผมเคยเรียนวิชา digital กับ image processing ตอนเรียนมหาลัย เลยพอรู้เรื่องอะไรแบบนี้ อาจผิดถูกไปบ้างแต่ไม่ได้นั่งเทียนมั่วขึ้นมาหรือท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองว่า digital มันก็แค่เลข 0 กับเลข 1 แน่นอน

ก่อนที่จะออกทะเลไปไกลกว่านี้ที่ผมจะสื่อจากการนำข้อมูลตรงนี้มาแชร์คือการเข้ารหัสแบบ mqa นั้นพอเอามาถอดรหัสแล้วมันไม่ได้ต้นฉบับครับ เหมือนคุณเข้ารหัสรูปถ่ายมังกรเก็บไว้ แต่พอจะเอามาดูดันถอดรหัสกลับได้รูปกระติกน้ำนั่นแหละ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 25

ผ่านมาแนะนำครับ

15/07/2021 23:54:10
ลองหยิบสาย lan ยี่ห้ออะไรก็ได้ที่เป็น audiograde เช่น audioquest nordost sotm etc. มาเสียบจากเร้าเตอร์เข้าคอมแล้วเปิดเพลงดู เสียงมันก็คนละเรื่องกับสาย cat สีฟ้าแล้ว แค่จุดเดียวก็พอ จะอธิบายยังไงครับ

ถ้ามีโอกาสหลังโควิดอยากให้ไปลองเรื่องพวกนี้ตามโชรูมร้านเครื่องเสียงครับ

ผมแค่มาแนะนำเผื่อจะเล่นเครือ่งเสียงได้สนุกขึ้นครับ เผื่ออยากตามหาเสียงที่ใช่มากกว่าเดิม ไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อ 

Happy listening ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 26

เฟี้ยว

16/07/2021 00:37:55
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 25 - ผ่านมาแนะนำครับ
ลองหยิบสาย lan ยี่ห้ออะไรก็ได้ที่เป็น audiograde เช่น audioquest nordost sotm etc. มาเสียบจากเร้าเตอร์เข้าคอมแล้วเปิดเพลงดู เสียงมันก็คนละเรื่องกับสาย cat สีฟ้าแล้ว แค่จุดเดียวก็พอ จะอธิบายยังไงครับ

ถ้ามีโอกาสหลังโควิดอยากให้ไปลองเรื่องพวกนี้ตามโชรูมร้านเครื่องเสียงครับ

ผมแค่มาแนะนำเผื่อจะเล่นเครือ่งเสียงได้สนุกขึ้นครับ เผื่ออยากตามหาเสียงที่ใช่มากกว่าเดิม ไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อ 

Happy listening ครับ
งั้นผมแนะนำลองเอาวิธีที่ผมทำในคลิปไปทำดูเองเลยครับ ใครๆก็ทำได้ขอแค่โปรแกรม DAW แบบพื้นๆที่มีปุ่ม Phase Invert ก็เพียงพอ Cakewalk by Bandlab ก็ได้โหลดฟรีไม่เสียตัง เอาไปทดลองกับสาย LAN ราคาเป็นหมื่นเป็นแสนของคุณ แล้วผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร เหมือนกับของผมหรือไม่ยังไงมาบอกกันนะครับ แค่นี้แหละ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 27

Acholate

16/07/2021 02:25:14
5
เท่าที่ผมอ่านมาจากหลายๆที่ digital 0 กับ 1 ยังไงก็เป็น 0 กับ 1 ถูกต้องแล้วครับ ไม่เปลี่ยนแน่นอน
สิ่งที่ทำสาย usb/lan router switch etc. มีผลต่อเสียงเป็น noise ที่ถูกเข้ามาระบบครับ เช่น noise จ่าย router/switch ผ่านเข้าทางสาย lan
power supply ของ router/switch มีผลกว่าพวกสายอีกครับ
measurement ไม่ได้บอกทุกอย่างเกี่ยวกับเสียง มีหลายอย่างที่ไม่สามารถ measure ได้
เช่นแอปม์หลอด measurement ห่วยทุกตัว ทำไมถึงมีคนชอบเสียงแอป์หลอด
เสียงแอปม์หลอดที่ให้ความเป็น 3มิติ holographic มันไม่สามารถวัดออกมาเป็นค่า frequency response ได้ด้วยซ้ำครับ
หลายๆอย่างเช่นสายแพงๆ หลักหมื่น หลักแสน คนที่มีเงินซื้อเขาไม่ได้โง่นะครับ
หลายคนรู้ทั้งรู้ว่า ถ้าเอาไป measurement มันไม่ต่างกันหรอก แต่พวกเขาก็ยังซื้อ เพราะฟังแล้วมันต่างกัน
อยากให้มองกว้างๆ ว่าทำไมคนมากมายถึงบอกมันต่าง ทุกคนคิดไปเองหมดเลยหรอ?
จุดเริ่มต้นของ science คือ observation นะครับ ถ้ามีคนจำนวณมากบอกว่ามันต่าง มันก็ควรจะมีมูลไม่มากก็น้อย
ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ที่นอกเรื่อง mqa vs flac ครับ 
ปล ผมไม่คงตอบกลับ อยากจะแชร์มุมมองเฉยๆครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 28

เฟี้ยว

16/07/2021 04:13:14
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 27 - Acholate
เท่าที่ผมอ่านมาจากหลายๆที่ digital 0 กับ 1 ยังไงก็เป็น 0 กับ 1 ถูกต้องแล้วครับ ไม่เปลี่ยนแน่นอน
สิ่งที่ทำสาย usb/lan router switch etc. มีผลต่อเสียงเป็น noise ที่ถูกเข้ามาระบบครับ เช่น noise จ่าย router/switch ผ่านเข้าทางสาย lan
power supply ของ router/switch มีผลกว่าพวกสายอีกครับ
measurement ไม่ได้บอกทุกอย่างเกี่ยวกับเสียง มีหลายอย่างที่ไม่สามารถ measure ได้
เช่นแอปม์หลอด measurement ห่วยทุกตัว ทำไมถึงมีคนชอบเสียงแอป์หลอด
เสียงแอปม์หลอดที่ให้ความเป็น 3มิติ holographic มันไม่สามารถวัดออกมาเป็นค่า frequency response ได้ด้วยซ้ำครับ
หลายๆอย่างเช่นสายแพงๆ หลักหมื่น หลักแสน คนที่มีเงินซื้อเขาไม่ได้โง่นะครับ
หลายคนรู้ทั้งรู้ว่า ถ้าเอาไป measurement มันไม่ต่างกันหรอก แต่พวกเขาก็ยังซื้อ เพราะฟังแล้วมันต่างกัน
อยากให้มองกว้างๆ ว่าทำไมคนมากมายถึงบอกมันต่าง ทุกคนคิดไปเองหมดเลยหรอ?
จุดเริ่มต้นของ science คือ observation นะครับ ถ้ามีคนจำนวณมากบอกว่ามันต่าง มันก็ควรจะมีมูลไม่มากก็น้อย
ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ที่นอกเรื่อง mqa vs flac ครับ 
ปล ผมไม่คงตอบกลับ อยากจะแชร์มุมมองเฉยๆครับ

https://www.facebook.com/groups/370098233105599

นี่กลุ่ม Sound Engineer มืออาชีพของประเทศครับ ถ้าคุณมั่นใจในสมมุติฐานของตัวเองมากขนาดนั้น ลองกดเข้าไปแล้วเอาคำถามเหล่านั้นไปถามคนในกลุ่มนี้ดูครับ แล้วมาดูว่าจะได้คำตอบอย่างไร สมมุติฐานของคุณจะถูกต้องมากน้อยแค่ไหนมาดูกัน กล้าไหมล่ะครับ ?

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 29

เฟี้ยว

16/07/2021 04:30:31
ถ้าการ Measurement มันไร้ประโยชน์ถึงขนาดใช้บอกอะไรแล้วเชื่อถือไม่ได้ขนาดนั้น ใช้แต่หูอย่างเดียวคือคำตอบทุกอย่างแบบนี้วินมอไซต์ไปซื้อบอร์ด X32 มานั่งปรับหมุนๆเล่นๆ ก็สามารถเป็น Sound Engineer ได้แล้วสิครับ คงไม่ต้องฝึกฝนสกิลเป็นสิบๆปี หรือคงไม่ต้องเสียตังเป็นแสนเป็นล้านเพื่อไปร่ำเรียนถึงต่างประเทศหรอก 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 30

โคตรมั่ว

16/07/2021 05:17:14
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 27 - Acholate

เท่าที่ผมอ่านมาจากหลายๆที่ digital 0 กับ 1 ยังไงก็เป็น 0 กับ 1 ถูกต้องแล้วครับ ไม่เปลี่ยนแน่นอน
สิ่งที่ทำสาย usb/lan router switch etc. มีผลต่อเสียงเป็น noise ที่ถูกเข้ามาระบบครับ เช่น noise จ่าย router/switch ผ่านเข้าทางสาย lan
power supply ของ router/switch มีผลกว่าพวกสายอีกครับ
measurement ไม่ได้บอกทุกอย่างเกี่ยวกับเสียง มีหลายอย่างที่ไม่สามารถ measure ได้
เช่นแอปม์หลอด measurement ห่วยทุกตัว ทำไมถึงมีคนชอบเสียงแอป์หลอด
เสียงแอปม์หลอดที่ให้ความเป็น 3มิติ holographic มันไม่สามารถวัดออกมาเป็นค่า frequency response ได้ด้วยซ้ำครับ
หลายๆอย่างเช่นสายแพงๆ หลักหมื่น หลักแสน คนที่มีเงินซื้อเขาไม่ได้โง่นะครับ
หลายคนรู้ทั้งรู้ว่า ถ้าเอาไป measurement มันไม่ต่างกันหรอก แต่พวกเขาก็ยังซื้อ เพราะฟังแล้วมันต่างกัน
อยากให้มองกว้างๆ ว่าทำไมคนมากมายถึงบอกมันต่าง ทุกคนคิดไปเองหมดเลยหรอ?
จุดเริ่มต้นของ science คือ observation นะครับ ถ้ามีคนจำนวณมากบอกว่ามันต่าง มันก็ควรจะมีมูลไม่มากก็น้อย
ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ที่นอกเรื่อง mqa vs flac ครับ 
ปล ผมไม่คงตอบกลับ อยากจะแชร์มุมมองเฉยๆครับ

แอมป์หลอดทำไมมันจะวัดออกมาเป็น frequency response ไม่ได้ล่ะครับ ก็แค่ยิง white noise ยิง sweep sinewave เข้าไปแล้วก็ดูจากผลลัพธ์ ก็แค่หลักการ impulse response ง่ายๆ ดูจากพวกแอมป์กีต้าร์เป็นต้นก็หลักการคล้ายกับแอมป์หลอด ถ้ามันวัดค่า frequency response ไม่ได้จริงงั้นโลกนี้คงไม่มี ampsim ไม่มี multi-effect ไม่มี axe fx ไม่มี kemper ไม่มี vst จำลองเสียงแอมป์เกิดขึ้นมาหรอกครับ  นี่มันยุคไหนแล้ว ยังจะหลงเชื่อแต่ข้อมูลผิดๆอีก 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 31

ย่างเข้าเดือน 6

16/07/2021 10:43:09
ไปลองฟังให้มากด้วยตัวเอง ด้วยอุปกรณ์ที่ดีแล้วคุณจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่ คห 27 เค้าสื่อ

แอมป์หลอดมีค่า Freq res แน่นอน แต่สิ่งที่หมายถึง/หรือวัดไม่ได้ ทำไมมันถึงฟังแล้วมีบรรยากาศฟุ้งในห้องเหลือเกิน มันไม่เหมือนแอมป์ solid state ยิ่งของ hiend ยิ่งชัดเจน คุณต้องไปลองฟังก่อน ถึงจะเข้าใจคำว่าบรรยากาศในที่นี้ด้วย อย่างผมเริ่มต้นด้วย rotel พอเปลี่ยนไปเล่น octave ก็ตกใจเลย เลยสามารถเข้าใจความหมายได้

คุณไปปิดกั้นตัวเองในเรื่องที่อิงทางวิทยาศาสตร์หรือตัวเลขหรือกราฟหรืออะไรก็แล้วแต่ที่คุณตีความผ่านสายตาจากการอ่านค่า

คุณกำลังคุยกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้สนใจเรื่องกราฟจากโปรแกรมหรือตัวเลขของคุณ เนื่องจากว่าคนพวกนี้ใช้หูในการตีความ

คุณต้องไปลอง "ให้มากพอ" ก่อนที่จะด่วนสรุปอะไรอย่างนี้

ผมขอไม่มาตอบคอมเม้นต่ออีกคน ก่อนที่ตอบอะไรไปแล้วจะโดนด่าเหมือนนายก 5555



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 32

ตะเพิด

16/07/2021 12:02:48
หลังโควิดน่าจะมีมีตติ้งทำ ab test นะครับ เดิมพันกันเทสละหมื่นขำๆ
เมืองไทยอาจจะมีเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นจากกระทู้นี้ก็ได้
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 33

โคตรมั่วอีกแล้ว

16/07/2021 12:26:41
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 31 - ย่างเข้าเดือน 6

ไปลองฟังให้มากด้วยตัวเอง ด้วยอุปกรณ์ที่ดีแล้วคุณจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่ คห 27 เค้าสื่อ

แอมป์หลอดมีค่า Freq res แน่นอน แต่สิ่งที่หมายถึง/หรือวัดไม่ได้ ทำไมมันถึงฟังแล้วมีบรรยากาศฟุ้งในห้องเหลือเกิน มันไม่เหมือนแอมป์ solid state ยิ่งของ hiend ยิ่งชัดเจน คุณต้องไปลองฟังก่อน ถึงจะเข้าใจคำว่าบรรยากาศในที่นี้ด้วย อย่างผมเริ่มต้นด้วย rotel พอเปลี่ยนไปเล่น octave ก็ตกใจเลย เลยสามารถเข้าใจความหมายได้

คุณไปปิดกั้นตัวเองในเรื่องที่อิงทางวิทยาศาสตร์หรือตัวเลขหรือกราฟหรืออะไรก็แล้วแต่ที่คุณตีความผ่านสายตาจากการอ่านค่า

คุณกำลังคุยกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้สนใจเรื่องกราฟจากโปรแกรมหรือตัวเลขของคุณ เนื่องจากว่าคนพวกนี้ใช้หูในการตีความ

คุณต้องไปลอง "ให้มากพอ" ก่อนที่จะด่วนสรุปอะไรอย่างนี้

ผมขอไม่มาตอบคอมเม้นต่ออีกคน ก่อนที่ตอบอะไรไปแล้วจะโดนด่าเหมือนนายก 5555



ใช้มโนคติมากกว่าผมว่านะ 5555 งั้นผมก็คงต้องบอกว่าคุณต้องไปศึกษา "ให้มากพอ" โดยศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการจริงๆ แบบสถาบันมีใบ cer มีวุฒิการศึกษารับรอง ไม่ใช่แบบมั่วๆครูพักลักจำนะ แล้วโลกเกี่ยวกับความรู้ความใจทาง audio ของคุณจะเปลี่ยนไปตลอดการ มันจะทำให้คุณตระหนักได้ว่าทุกสิ่งมันสามารถพิสูจน์ได้จริงมีคำตอบ เพียงแต่ต้องพิสูจน์อย่างไรก็เท่านั้นแหละ เพราะเสียงคือเรื่องของวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ไสยศาสตร์ ดังนั้นผมไม่ได้มานั่งเทียนเขียนมั่วอุปโลกเอาเอง เพราะเคยเทสเคยลองมาแล้วถึงกล้าพูดไงครับ แต่เห็นด้วยนะว่าแอมป์หลอดเสียงโคตรเพราะเลย 55555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 34

Shumiq

16/07/2021 13:00:10
4
ข้อผิดพลาดสำคัญของคนที่ทำการทดลองจากการสังเกตโดยที่ไม่ได้สนใจหลักการทางวิทยาศาสตร์คือ... มักจะสรุปผลผิดครับ

การที่เปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นนั้นชิ้นนี้แล้วเสียงเปลี่ยนไปมันก็อาจจะสามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่ถ้าไม่ศึกษาและวัดค่าต่างๆอย่างละเอียด ก็จะไม่สามารถสรุปได้เลยว่ามันเป็นเพราะอะไร และข้อผิดพลาดของหลายๆคนก็คือมักจะสรุปไปว่ามันเป็นเพราะแบบนั้นแบบนี้แน่นอน

ถ้าคุณอยากจะถกว่าเสียงที่ได้ยินมันต่างแน่นอน... อันนี้ผมไม่โต้แย้งครับ เพราะมันมีปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้เสียงที่ได้ยินอาจจะออกมาแตกต่างได้จริง 

แต่ถ้าคุณอยากจะถกว่าเสียงที่ได้ยินมันแตกต่างเพราะแบบนั้นแบบนี้แบบโน้น... เราต้องใช้วิทยาศาสตร์มาคุยกันครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 35

จีซัสอิสเฮีย

16/07/2021 15:52:26
ผมว่า ถ้ามีข้อมูลที่*ถูกต้อง*รองรับ
มันก็สมเหตุสมผล ในการจะแจงเรื่องใดๆ | อยู่ๆจะไปปัดว่าไม่ใช่หรอก ก็คงไม่ได้ ถ้าจะโต้แย้งก็ควรจะมีหลักฐานรองรับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 36

เฟี้ยว

16/07/2021 16:39:08
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 35 - จีซัสอิสเฮีย
ผมว่า ถ้ามีข้อมูลที่*ถูกต้อง*รองรับ
มันก็สมเหตุสมผล ในการจะแจงเรื่องใดๆ | อยู่ๆจะไปปัดว่าไม่ใช่หรอก ก็คงไม่ได้ ถ้าจะโต้แย้งก็ควรจะมีหลักฐานรองรับ

ก็มีทั้งข้อมูลที่ถูกต้อง และหลักฐานที่พิสูจน์ถึงข้อเท็จจริง แต่ก็ไม่ยอมรับความจริงกันไงครับ ถ้าคิดว่าตัวเองถูกทำไมไม่ลองลงมือทำไม่ลองพิสูจน์แล้วเอามาโต้แย้งกันล่ะครับ ผมเห็นคนที่โต้แย้งผมไม่เห็นมีใครหน้าไหนลงมือทำอะไรสักอย่าง เห็นเอาแต่พูดพล่ามบอกว่าอย่างโน้นอย่างนี้ทำไมลองลงมือทำให้เห็นบ้างละครับ แค่นี้ก็น่าจะรู้ๆกันแล้วว่าใครที่มั่วใครที่จริง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 37

ผมว่านะ

17/07/2021 18:47:50
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 12 - เฟี้ยว

อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 11 - ลองดูครับ
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 10 - เฟี้ยว

ที่ฟังไม่ออกเพราะเสียงมันเหมือนกันไงครับ หูคนเราเชื่อไม่ได้หรอกแต่เครื่องมือทางวิทยศาสตร์ พวกตัวเลขสมการต่างๆมันไม่เคยโกหกครับ ลองเอาไฟล์เดียวกันไปส่งผ่านเน็ตเวิร์คอินเตอร์เน็ตสายแลนอะไรก็แล้วแต่ที่มันไม่ใช่สายแบบ Analog กับแบบไม่ผ่านอะไรเลยเอามากลับ Phase แล้วฟังยังไงก็เงียบ 100% เพราะในโลกของ Digital Audio คือ 0 กับ 1 ดังนั้นทุกข้อมูลที่ส่งไปมันย่อมต้องเหมือนเดิม เพราะถ้าเกิด Bit Error ระบบมันไม่เล่นครับ มันจะถูก Skip ไปจนเสียงกระตุก ขาดช่วง มันจึงต้องมี Algorithm ที่เรียกว่า Error Correction ครับ ดังนั้นจะ Tranmission อย่างไรมันก็ไม่มี Loss ไม่มี Distort ไม่ได้รับบุคคลิกจากอะไรมาทั้งสิ้นครับ เรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องของภาค Analog ครับ ถ้าภาค Digital เพียวๆยังไงก็ไม่มีทางเป็นแบบที่คุณว่าหรอก

ตังน่ะผมเสียครับ แต่ผมไม่เสียไปกับพวกของไร้สาระบิดเบือนข้อมูลเพื่อการตลาดหรอกครับ

https://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=203596


ดูนี่ซะนะครับจะได้ตาสว่าง ให้นายกโง่คนเดียวก็พอแล้ว

https://drive.google.com/file/d/1lpy-ERo_gfhV4asyErZt2KFF33jb4qiA/view?usp=sharing

คนฉลาดบางคนคงไม่ทราบว่า jitter คืออะไร ลองดูคลิปนี้ นาทีที่ 1:06 แล้วจะเข้าใจว่าทำไมสาย USB แต่ละเส้นจึงเปลี่ยนบุคลิกเสียงได้

https://youtu.be/tjE5g4p_0PQ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 38

เฟี้ยว

17/07/2021 23:01:38
Jitter เกิดขึ้นตอน Quantization ครับ ซึ่งอยู่ในภาคของ Converter มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ USB เลย เพราะข้อมูลได้ถูกตรวจทานไปตั้งแต่ใน Error Correction ซึ่งอยู่ก่อนหน้านี้นะครับ ผมก็เคยชี้แจงแล้วนะว่าสัญญาณแบบ Digital มันเอาตรรกะแบบ Analog มาใช้ไม่ได้ ถ้าหากผมชี้แจงไม่ชัดเจนพอก็กดเข้ากลุ่มไปโพสถาม Sound Engineer เอานะครับ หรือไม่กล้า?

https://www.facebook.com/groups/370098233105599

คนเป็นนักธุรกิจพูดตรงไปตรงมา พูดความจริง 100% ของมันก็ขายไม่ได้เอาสิ มันก็ต้องมีจิตวิทยา มีการโน้มน้าวปั้นน้ำเป็นตัวเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามันส่งผลต่อเสียงมากถึงขนาดนั้น แล้วตอนผมเอาไปกลับ Phase แล้วเงียบ 100% ก็ไม่เห็นมีใครเอาหลักฐานหรือข้อมูลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาโต้แย้งสักคน
ให้กำลังใจ 1
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 39

Shumiq

18/07/2021 01:38:06
4
เสริมเพิ่มเติมจากคุณเฟี้ยวครับ

ผมไม่ได้เป็น Sound Engineer หรือมีความรู้เรื่องเสียงมากนัก แต่ผมทำงานด้าน IT ก็เลยมีความรู้เรื่องนี้ไม่มากก็น้อยครับ

ผมขอยืนยันว่า ตราบเท่าที่เป็นการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ Digital ไปยังอุปกรณ์ Digital ด้วยกันเอง ไม่ว่าจะส่งผ่านอะไร (USB LAN Wifi SATA etc.) ต่อให้ระหว่างส่งมันมีผิดเพี้ยนแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้ว ไฟล์ต้นทางกับไฟล์ปลายทางมันก็เป็นไฟล์เดียวกันแน่นอน (ก็คือข้อมูล 10101010... ตรงกันเป๊ะ)

ความเข้าใจผิดของคุณ(และในคลิปที่คุณยกมา)ก็คือ เข้าใจว่ามันเอาสัญญาณที่ผิดเพี้ยนนั้นไปเล่นเลยทันทีทำให้เสียงออกมาแตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วสัญญาณที่ผิดเพี้ยนมันจะถูกแปลงกลับไปเป็นข้อมูล Digital ก่อนจะนำไปเล่น ซึ่งมันจะมีกระบวนการต่างนานาเพื่อให้ทำให้มั่นใจว่าข้อมูล Digital นั้นมันต้องเหมือนกันแน่นอน (เช่น Error Correction อย่างที่คุณเฟี้ยวว่าไว้)

เพราะงั้นไม่ว่าจะใช้สาย USB หรือสาย LAN เส้นไหน หรือจะผ่าน Wifi หรือจะผ่าน HDD ลูกไหนก็ตาม ไฟล์ที่เล่นมันเป็นไฟล์เดียวกันไม่ผิดเพี้ยนแน่นอนครับ

อีกอย่าง... ถึงแม้มันจะผิดเพี้ยนจริงๆ ความผิดเพี้ยนของสัญญาณ Digital มันก็ไม่เหมือนกับ Analog ครับ สัญญาณ Analog ถ้าผิดเพี้ยนนิดหน่อยมันก็แค่เสียงเพี้ยนนิดหน่อย แต่ถ้าสัญญาณ Digital ผิดเพี้ยนแม้จะนิดเดียวมันก็อาจจะทำให้เสียง Corrupt หรืออาจจะเปิดไม่ขึ้นไปเลยก็ได้ ถ้าไม่เชื่อคุณลองไปขูดแผ่นไวนิลกับแผ่นซีดีแล้วเอาไปเล่นดูครับ แล้วคุณจะเห็นเลยว่าความผิดเพี้ยนของทั้งสองมันส่งผลแตกต่างกันยังไง

อย่างไรก็ดี เรื่องที่เสียงที่ออกมาแตกต่างกันมันคืออีกเรื่อง ซึ่งมันอาจจะจริงก็ได้ เพราะมันเป็นไปได้บางทีสาย USB บางสายหรือ Harddisk คนละลูกอาจจะส่งผลกับอุปกรณ์ปลายทางได้ เช่น เกิดความร้อน มีไฟรั่ว ฯลฯ ทำให้เกิด Noise ในวงจรไฟฟ้าของอุปกรณ์ปลายทาง และไปรบกวนการทำงานของ DAC ทำให้สัญญาณ Analog ที่ออกไปยังหูฟัง/ลำโพงผิดเพี้ยนไป ทำนองเดียวกับพวกลำโพงหรือ DAP/DAC พกพาที่เมื่อเราเสียบชาร์จขณะใช้งานอาจทำให้เสียงผิดเพี้ยนหรือมี Noise รบกวนครับ

ปล. ส่วนในกรณีการทดลองของคุณเฟี้ยว อุปกรณ์ทั่วไปมัน tolerate กับปัจจัยภายนอกในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ทำให้อุปกรณ์อย่าง USB หรือ Harddisk มันแทบจะไม่ส่งผลกับระบบเลย แต่ถ้าเปลี่ยนไปใช้ DAC หรือ Sound Card ที่ Sensitive กับปัจจัยภายนอกสูงมากๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะเห็นความแตกต่างเช่นกันครับ
ให้กำลังใจ 1
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 40

ผมว่านะ

18/07/2021 09:34:52
ผมว่าในคลิป (นาทีที่ 1:05:55) เค้าก็พูดชัดเจนแล้วนะครับว่าการส่งข้อมูลผ่าน USB มันไม่มี packet checksum ซึ่งก็คือไม่มีการตรวจทานความถูกต้องของข้อมูล ทำให้ผู้ผลิตสาย USB สามารถเล่นกับ jitter ให้เกิดความผิดเพี้ยนเพื่อเปลี่ยนคาแรคเตอร์เสียงได้ ไม่เหมือนกรณีของสาย LAN ที่มี packet checksum อย่าเอาไปเหมารวมกันสิครับ ป.ล. คนในคลิปไม่ใช่เซลส์ขายเครื่องเสียงนะครับ แต่เค้าเป็นวิศวกรที่เป็นนักเล่นเครื่องเสียงด้วย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 41

Shumiq

18/07/2021 11:51:24
4
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 40 - ผมว่านะ
ผมว่าในคลิป (นาทีที่ 1:05:55) เค้าก็พูดชัดเจนแล้วนะครับว่าการส่งข้อมูลผ่าน USB มันไม่มี packet checksum ซึ่งก็คือไม่มีการตรวจทานความถูกต้องของข้อมูล ทำให้ผู้ผลิตสาย USB สามารถเล่นกับ jitter ให้เกิดความผิดเพี้ยนเพื่อเปลี่ยนคาแรคเตอร์เสียงได้ ไม่เหมือนกรณีของสาย LAN ที่มี packet checksum อย่าเอาไปเหมารวมกันสิครับ ป.ล. คนในคลิปไม่ใช่เซลส์ขายเครื่องเสียงนะครับ แต่เค้าเป็นวิศวกรที่เป็นนักเล่นเครื่องเสียงด้วย
อย่างแรกเลยคือ USB มี checksum สำหรับการตรวจทานความถูกต้องของข้อมูลครับ แต่อุปกรณ์จะจัดการอย่างไรในกรณีที่ข้อมูลผิดพลาดนั่นคืออีกเรื่อง

กรณีการส่งข้อมูลผ่าน USB ทั่วๆไป (เช่น การ copy ไฟล์) ถ้าไฟล์มีปัญหามันจะทำการส่งซ้ำเพื่อแก้ไข ทำให้ต้นทางกับปลายทางได้ไฟล์เดียวกันแน่นอน

กรณีการส่งข้อมูลแบบ Stream (เช่น การต่อ USB DAC) การส่งข้อมูลประเภทนี้จะไม่สามารถรอส่งซ้ำเพื่อแก้ไขความผิดพลาดได้ (หรือรอได้ในระดับหนึ่ง) เพราะงั้นถึงแม้มันจะรู้ว่าข้อมูลมันผิดพลาด มันก็จะฝืนเล่นครับ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ อย่างที่บอกว่ามันแปลงกลับเป็นข้อมูล Digital เพราะงั้นถึงสัญญาณจะผิดเพี้ยนนิดหน่อย มันก็ยังสามารถแปลงกลับเป็น 0 หรือ 1 ได้อยู่ครับ

และถึงมันจะผิดพลาดจริงๆ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่เรื่องของคาแรคเตอร์เสียงครับ เพราะมันส่ง Digital Data มันไม่ได้ส่ง Audio Wave ดังนั้นเมื่อข้อมูลผิดพลาด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเสียงขาดเสียงกระตุก ไม่ใช่คุณภาพเสียงหรือคาแรคเตอร์เสียงเปลี่ยนครับ และสาย USB ทั่วไปที่ดีๆหน่อยทุกวันนี้แทบจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้ครับ

อารมณ์เดียวกับแผ่น CD เป็นรอยนั่นแหละครับ เวลาแผ่น CD หนังเป็นรอย สิ่งที่เกิดขึ้นคือภาพกระตุกค้างขาดหาย ไม่ใช่สีเพี้ยนหรือเสียงเพี้ยนแต่อย่างใด

อีกทางนึงที่เสียงจะแตกต่างจากเดิมคือกรณีของ Noise ที่อาจเกิดขึ้นได้บ้างจาก Power และ Ground (โดยเฉพาะในกรณีที่ USB นั้นจ่ายไฟเข้าอุปกรณ์ด้วย) ซึ่งถ้าสายดีๆหน่อยก็จะมี Nosie ตรงนี้เกิดขึ้นน้อย หรือถ้าอุปกรณ์ปลายทางดีหน่อย Noise ตรงนี้ก็จะแทบไม่ส่งผล แต่นั่นคือคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกับเรื่องไฟล์ผิดเพี้ยนแต่อย่างใดครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 42

เฟี้ยว

18/07/2021 13:12:01
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 40 - ผมว่านะ

ผมว่าในคลิป (นาทีที่ 1:05:55) เค้าก็พูดชัดเจนแล้วนะครับว่าการส่งข้อมูลผ่าน USB มันไม่มี packet checksum ซึ่งก็คือไม่มีการตรวจทานความถูกต้องของข้อมูล ทำให้ผู้ผลิตสาย USB สามารถเล่นกับ jitter ให้เกิดความผิดเพี้ยนเพื่อเปลี่ยนคาแรคเตอร์เสียงได้ ไม่เหมือนกรณีของสาย LAN ที่มี packet checksum อย่าเอาไปเหมารวมกันสิครับ ป.ล. คนในคลิปไม่ใช่เซลส์ขายเครื่องเสียงนะครับ แต่เค้าเป็นวิศวกรที่เป็นนักเล่นเครื่องเสียงด้วย

Jitter คืออะไร เกิดจากสาเหตุใด แล้วมีปัจจัยใดที่สามารถทำให้เกิดได้ทราบไหมครับ

คนเป็นวิศวกรก็บิดเบือนข้อมูลได้ ยิ่งง่ายเลยเพราะรู้ทางหนีทีไล่รู้เรื่องเทคนิคเยอะเหมือนทนายรู้เรื่องกฎหมายอย่างทุละปรุโปร่ง จะเปลี่ยนผิดให้เป็นถูกไม่ใช่เรื่องยาก ผมร่ำเรียนมา ตำหรับตำราครูว่าบาอาจารย์ไม่เคยสั่งสอนครับว่าสาย USB มี Jitter ให้คาเรคเตอร์เสียงอุ่นหนา
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 43

noonman41

20/07/2021 02:32:03
4
โลกของเสียง 0 กับ 1 ใช้ไม่ได้

มีแต่คนโง่แหละครับ ที่พูดแบบนี้ได้

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 44

AudioScience

20/08/2021 16:15:41
นอกเรื่องไปไกลกันจาก MQA ซึ่ง MQA มันไม่ใช่lossless จริงๆ เพราะถ้าlosslessจริงๆ ต้องแปลงกลับมาPCMได้bit perfect ครับ คล้ายๆกับพวก LDAC hires บนbluetooth นั่นแหละ คือคุณภาพดีกว่าtransmission ทั่วไปแต่ก็ยังไม่ใช่losslessแท้ๆ (วิธีเช็คbit perfec ของผมง่ายๆ คือแปลงเป็นfile pcm แล้วมาhashครับ ต้องได้เท่ากัน)

เรื่องสาย USB ต่อไปdac มีผลต่อเสียงไหม ตอบเลยว่า มีผล จากหลายๆอย่าง(คุณภาพสาย และตัวsourceเช่น pc) แต่ต้นเหตุหลักของการที่เสียงมันต่างมันเป็นผลจาก ground loop noise ครับ คือมันเกิดปัญหา ก็หาทางแก้ไข เช่นทำระบบground wireให้ครบระบบต้นทางpc แยกแหล่งจ่ายไฟ เปลี่ยน PSU เกรดดีๆ(กรณีPC)

หรือเปลี่ยนไปใช้optical toslinkครับ มันไม่เกิดปัญหาแน่ๆ หรือถ้าระบบมีข้อจำกัด ก็ใช้ dac ต่อamp ด้วย balanced connection แบบ XLR (มันส่งเป็นdifferential signal ครับ) ไม่เกิดปัญหา ต่อbalanced จาก dac ไป amp นะครับ ไม่ใช่ amp ไปหูฟัง เพราะbalanced connection ในหูฟังมันช่วยเรื่องกำลังขับเฉยๆ ถ้า amp คุณต่อแบบ single end แล้วมาต่อหูฟังด้วยสาย balanced จะ 4.4mm หรือmini xlr ก็ยังอาจเจอปัญหาground loop noise ได้

jitter ก็อีกเรื่องครับ มันเป็นที่ข้อจำกัดของconverter ไม่ใช่ตัวสายโดยตรง แบบกรณี ground loop noise

ส่วนสาย LAN ถ้าใครเคยเขียนโปรแกรมส่งข้อมูลระดับlayerล่างๆ มันมีpacket loss ได้หรือแม้แต่ เกิดการชนกันบน hub แบบโบราณแต่ตัวระบบมันมี carrier sense detection ให้ส่งใหม่ครับ(สมัยนี้เป็นswitch routerหมดแล้วไม่ชนกันหรอก) ยกเว้นสัญญาณlossยาวๆ จนหมดbuffer เสียงก็หายไปเลย (สายจะขาดแล้วแบบนั้น) ไม่มีเสียงอิ่ม เสียงหวานขึ้นหรอก

ทั้งนี้การเล่นstreaming internetผ่านapp มันต่างจากการต่อ dac usb และต่างจากการเล่นไฟล์จากเครื่องตัวเองหรือวงLANเดียวกัน คือถ้าเกิดinternetมีปัญหา หรือช้า ตัวแอพมันจะลดบิทเรทของการstreming ลงครับ คุณภาพตกลงแน่นอน เพราะมันส่งความละเอียดต่ำมาแทน 

ทางแก้ คือซื้อinternetค่ายดีๆครับ เนทบ้าน 1Gbps หรือเนทมือถือบน 4G 5G ทุกวันนี้มันเกินความต้องการแล้ว ยกเว้นคุณใช้โปรเนท 4Mbps หรือแอบต่อเนทไวไฟฟรีอันนี้อาจจะโหลดไฟล์ใหญ่ๆบิทเรทสูงๆไม่ทัน เปลี่ยนสายLANเทพๆก็คงไม่ช่วยอะไรเท่าไร

มันมีทางแก้หมดแหละ แต่คนขายของ เขาก็ไม่พูดตรงๆ ไปเล่นเรื่องของsound color แทน ทั้งๆที่บางทีการแก้ไขปัญหา อาจจะต้นทุนแค่หลักไม่กี่สิบบาทก็ได้

ทั้งนี้ผมไม่ได้บอกว่า คนที่ฟังแล้วมันเสียงต่างโกหกนะครับ แต่หูของคนเรามันไม่เที่ยงครับ ขึ้นกับสภาพอารมณ์ สภาพร่างกาย ฟังเพลงตอนเช้า กับตอนค่ำ ก็ต่างกันทั้้งๆที่อุปกรณ์เดิมๆ นับประสาอะไร เวลาตั้งใจสลับอุปกรณ์ราคาแพงฟัง แล้วใจเราคาดหวังว่ามันจะต่าง ยิ่งเจอความต่างครับ


ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 45

AudioScience

20/08/2021 16:17:36
อ้อ ground loop noise แก้ด้วย USB isolator ได้นะครับ แต่ผมคิดว่าราคามันแพงไป (พวกถูกๆ นี่เป็น USB1.1 เองนะครับ อาจเกิดปัญหาเวลาส่งข้อมูลใหญ่ๆได้)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 46

AudioScience

20/08/2021 16:28:04
ทั้งนี้ ไฟบ้าน AC ยิ่งมีผลน้อยนะครับ เห็นหลายคนลงทุนสายไฟแพงๆ ปลั๊กแพงๆ จนบางทีแทบจะแพงเท่าหรือแพงกว่าตัวอุปกรณ์ลำโพง หูฟัง คือจะบอกว่า ตัว EMI shield ในวงจร power input ถูกๆในอุปกรณ์ราคาหลักร้อยยุคใหม่มันก็กันส่วนใหญ่ได้หมดแล้วล่ะ (ยกเว้นเอาไปต่ออุปกรณ์โบราณแบบ amp อายุ 30ปีนะครับ อาจจะไม่มีระบบป้องกันจริงๆ)

แล้วลืมไปหรือว่า สายไฟบ้านคุณ สายไฟจากโรงไฟฟ้า คุณไม่ได้เปลี่ยนหมดนี่ มันจะช่วยอะไรถ้าสายไฟในบ้านห่วยแล้วเปลี่ยนแค่สายไฟตรงจุดต่อสุดท้ายอย่างเดียว? นั่นคือโดยปกติแล้วมันไม่มีผลอะไรเลยนอกจากความสวยงาม หรือเรื่องป้องกันไฟไหม้หรือระเบิดในกรณีสุดโต่ง(เห็นคนเอา hospital gradeมาใช้ คือมันป้องกันเรื่องอื่นมากกว่าครับ)

ยกเว้นกรณีร้ายแรงแบบ บ้านอยู่ข้างๆสถานีวิทยุชุมชน หรือบ้านเป็นโรงงานขนาดย่อมมีmotor 1-2แรงม้าต่อเฟสเดียวกัน(จริงๆผิดกฎหมายนะครับ) อันนี้อุปกรณ์กรองไฟเทพอาจจะช่วยได้บ้างในบางกรณี แต่ถ้าเจอปัญหาขนาดนี้ ต้องแก้ที่ต้นเหตุครับ

จริงๆกรณีร้ายแรง ใช้ UPS true online ที่ regenerate AC จาก DC น่าจะช่วยได้มากกว่าครับ แต่ก็แปลกไม่ค่อยเห็นมีใครแนะนำ ทั้งๆที่ชอบพูดว่าอยากได้ไฟACสะอาดๆ แต่ไม่เอาoscilloscopeมาจับดู จะรู้ได้ได้ว่าเป็น pure sine waveไม่มีnoise จริงๆ?
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 47

ลองดูครับ

20/08/2021 16:50:08
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 48

ลองดูครับ

20/08/2021 17:00:03
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
"MQA แย่กว่า FLAC?"