ออกตัวก่อนนะครับ ว่าไม่ได้ตั้งใจจะตั้งกระทู้จึงไม่ได้ถ่ายรูปสถานที่มาไว้ด้วย แต่หลังจากเจอเหตุการณ์ประทับใจจากการรับของครั้งนี้ จึงอยากจะตั้งกระกระทู้ไว้เผื่อมีพี่ๆ น้องๆ ท่านใด เปรี้ยวส่งของด้วยบริษัทเอกชนและจะไปรับเองแบบผม จะได้ใช้เป็นแนวทางหรือหลีกเลี่ยงต่อไปนะครับ
เริ่มเรื่อง คือผมสั่ง Amplifier จาก Benchmark เข้ามาซึ่งทางผู้จัดการของ Benchmark นั้น reccommend DHL โดยให้เหตุผลว่า "เร็ว" เค้าทำ Invoice ส่งมา เราก็ด้วยความอยากได้ ก็ โอเค!!! (เสียงสูงมาก) จะได้เอามาฟังกับลำโพง ซึ่งถอยมานอนอยู่ในกล่อง 4 เดือนแล้ว ยังไม่ได้ฟัง เพราะไม่มี power amp และติดทำ IS ป.โท เพิ่งจะทำเล่มดำส่งอาจารย์ไปเมื่อ 26 ธ.ค. 60 นี้ จบปั้บ จัดเลย สั่งซื้อทันทีตาม Invoice คืนวันที่ 2 ม.ค. 61
วันที่ 3 ม.ค. 61 ไปทำงาน พอเพื่อนที่ทำงานทราบข่าวว่าส่งด้วย DHL ก็เตือนมาว่าค่าใช้จ่ายที่ตามมามันเยอะนะ ระวังด้วย เราก็คิดในใจ "หรอวะ" มันจะมีอัลไลมากมายกว่าค่าภาษีก็ลองหาข้อมูลดู และสอบถามคนที่เคยส่งดู ปรากฎว่า เออ เฮ้ย ค่าใช้จ่ายมันเยอะจริง โดนค่าบริการ ค่าธรรมเนียมเกือบเท่าค่าภาษี บาง case มากกว่าค่าภาษี จนค่าของแพงขึ้นเกิน 100% ผมก็คิด อื้ม here แล้วไง เกิดความ noid โทรไปสอบถาม DHL ในรายละเอียด ซึ่ง ณ ตอนนั้น ผมก็ถูกหลอกล่อจนคิดว่าไม่น่าเยอะขนาดที่คนอื่นโดนกัน ก็โอเค เบาใจลง ทาง DHL ก็บอกว่าเดี๋ยวจะให้ทางแผนก messenger ติดต่อมา
ยังวันที่ 3 ม.ค. 61 อยู่นะครับ แผนก messenger โทรมา เราก็นึกว่ามันไปเหลากันมาแล้วเรียบร้อย เพราะเกือบ ชม. โทรมาคุยได้ทันที ปรากฏว่า NO! แผนกที่รับเรื่อง ส่งเมลบอกเพียงแค่ "โทรกลับหาลูกค้าด้วย" ไม่ได้บอกรายละเอียด หลังจากท้าวความเสร็จ แผนก Messenger บอกว่าเดี๋ยวจะส่ง messenger มารับเอกสารก่อนเพื่อความรวดเร็วขึ้นในการส่งของ สิ่งแรกที่ต้องการคือบัตรประชาชน... ผมก็สอบถามทันที
ผมเอง : เด๋วนะ ผมหูฝาดไปรึเปล่า บัตรประชาชนหรอ?
DHL : ใช่ค่ะ
ผมเอง : คุณตลกอะไรป่ะเนี่ย ใครเค้าจะให้กันบัตรประชนตัวจริง สำเนาบัตรรึเปล่า กับใบมอบอำนาจอะไรแบบนั้น
DHL : ไม่ค่ะ ต้องบัตรประชาชนตัวจริงเท่านั้น เพราะต้องใช้ยื่นที่กรมศุลกากรเพื่อดำเนินการ และต้องใช้ในการ register ให้ DHL เป็น shipping ของคุณ
ผมเอง : (คิดในใจ ลูกชายวัยรุ่นเหอะ ใครจะให้วะ) คุณมี solution ที่ดีกว่านี้มั๊ย แบบนี้ผมไม่ OK นะ ให้ไม่ได้หรอกบัตรประชาชนตัวจริง และผมก็ไม่คิดว่าจะใครยอมให้ด้วย
DHL : ถ้าไม่ให้บัตรประชาชนตัวจริง ก็ต้องมาเจอกันที่สุวรรณภูมิ เพื่อ register แล้ว DHL ถึงจะเริ่มดำเนินการให้ แต่ต้องเป็นวัน จันทร์ - ศุกร์ เท่านั้นและในเวลาทำการคือ 8.00 - 16.00 น. หลังจากนั้นจะต้องเสียเงินเพิ่ม 200 บาท เป็นค่า OT
ผมเอง : หะ ต้องไปเองที่สุวรรณภูมิ แถมไปเกิน 4 โมงเย็นต้องจ่าย OT 200 บาท แถมต้องลางานไปด้วย
DHL : ใข่ค่ะ ค่า OT จ่ายให้ทางกรมศุลกากร ส่วนค่าดำเนินการของ DHL จะคิดเมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว
ผมเอง : ถ้าต้องลางานไปเองถึงสุวรรณภูมิ ผมจะจ้างคุณทำมะเขืออะไรครับ ถ้าไปเอง ผมก็ทำเองเลยไม่ดีรึ
DHL : แต่คุณเข้าเขต free zone ไม่ได้ ถ้าคุณจะเข้าไปก็ต้องให้ DHL พาเข้าไปอยู่ดี ทำเองไม่ได้หรอก ยังมีเรื่องเอกสารที่ต้องดำเนินการอีก
ผมเอง : (คิดในใจ เป็นไปไม่ได้ แล้วงี้คนที่จะเอาของเอง มันจะทำกันได้ไงวะ มันต้องมีช่องทางสิ) ก็เลยบอกว่า โอเค เดี๋ยวผมหาข้อมูลก่อนละกัน แล้วค่อยว่ากันใหม่ และวางไป
ผมก็โทรไปกรมศุลกากร 1164 ถามทุกสิ่งที่อยากรู้ เข้า free zone ได้มั๊ย รับของเองได้มั๊ย ทำยังไง ค่า OT ค่าอื่นๆ ก็รู้ว่า ทำเองได้ทุกอย่าง แต่ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า AB (Airway Bill) และ DO (Delivery Order) และ Invoice ถึงจะทำได้ ก็โอเค เราขาด AB & DO เดี๋ยวค่อยคุยกับ DHL อีกที วันที่ของมา ซึ่งนางบอกว่าของจะถึงวันที่ 10 ม.ค. 61 ในตอนนั้นก็คิดว่า มัน "เร็ว" ตรงไหนวะ มารดาเอ๊ย อาทิตย์นึงของถึงมา ก็เท่าๆ กับ ส่ง Priority Mail ปกติของอเมริกา ตรงนี้ก็จบวันที่ 3 ม.ค. 61 ครับ