สำนักอื่นเค้าก็อธิบายคล้าย ๆ กันมาตลอดนะครับว่า
Soundstage หมายถึง ความกว้างและความลึกของเสียง 
Imaging หมายถึง ลักษณะของเสียงที่ออกมา คือ เรื่องพวกรายละเอียดของเสียง การแยกแยะชิ้นดนตรี ตำแหน่ง และขนาดของเสียง (หนาบาง) 

พอฟังของสำนักนี้ ผมก็ยังงง ๆ ว่าไอ room effect (การสะท้อนของเสียง (ในห้อง)), angle/distance of the source (ตำแหน่งของแหล่งกำเนิดเสียง) กับ crosstalk (เสียงซ้ายขวามาปนกัน) มันจะแปลว่าเวทีเสียงได้ยังไง มันเหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้เวทีเสียงเปลี่ยนแปลงไปมากกว่า แถมเค้ายังอธิบายเองอีกว่าทั้งสามอย่างนี้มันไม่เกิดขึ้นในหูฟัง เพราะหูฟังมันอยู่แนบหูหรืออยู่ในหูจึงไม่มีการสะท้อน ตำแหน่งเกิดเสียงก็อยู่ในตำแหน่งเดิมเสมอ และเสียงซ้ายขวาก็ไม่มีทางมาปนกัน งงมาก ๆ ครับ   

ซาวน์สเตจคือวงครับ..สภาพความเป็นวง อันนี้เข้าใจไม่ยาก
คนร้องยืนอยู่หน้า เครื่องดนตรีชิ้นไหนอยู่ซ้าย ขวา กลาง หน้า ลึกลงไป
...กระทั่งฉิ่งนั่งตีอยู่อยู่ใกล้พื้น(นึกภาพดนตรีไทย)หลังวงหน่อยลึกไปด้านซ้าย...(อันนี้ได้ยินจากแผ่นเพลงไทยธรรมดา  แบบว่า คนร้อง 'ยืนร้อง' อยู่ล้ำหน้าวง ห่างจากเครื่องดนตรีออกมา และยืนร้องจริงๆ คือ ตำแหน่งของเสียงคนร้อง ลอยอยู่เหนือลำโพงเป็นศอก ที่ระหว่างกลางลำโพงทั้งสองข้างอย่างชัดเจน

ที่ว่ามา ได้ยินจากลำโพงนะครับ กับหูฟังผมไม่ค่อยได้ยินชัดเจนอะไรมาก ยกเว้นขนาดซูเปอร์ไฮเอนด์ของสหายธรรม
ชุดเครื่องเสียงที่ได้ยิน แค่ mid end ก็ทำได้ครับ ถ้าแค่ให้รับรู้ซาวน์สเตจน่ะ  แต่ต้องอยู่ในห้องที่ปรับแต่งอคูสติคพอสมควร และจูน หรือset up ชุด(การวาง  ของอุปกรณ์หลัก และaccessories กับตั้งลำโพง) กับของที่ใช้แต่งอคูสติคในห้อง

ส่วนอิมเมจ คือ ความเป็นตัวตนของเสียงที่เกิดขึ้นในวงหรือซาวน์สเตจ
ไม่ใช่แค่ความคมชัด ของชิ้นดนตรี หรือเสียงคนร้อง แต่ถ้าชุดระดับสูงขึ้น ความสมจริงเป็นสามมิติของเสียงที่เกิด ยิ่งชุดแพง ยิ่งควรทำได้ดียิ่งขึ้น เหมือนเสียงจริงเกิดขึ้นต่อหน้า

และ ความสงัด หรือช่องว่างระหว่างชิ้นดนตรี ..อันนี้ยกตัวอย่างเช่น แอมป์ Govibe Mini ทีแรกก็ฟังแล้วคมชัดดี แยกแยกเสียงคนร้องออกจากเสียงดนตรีได้ชัดเจนจะแจ้ง  แต่พอเปลี่ยนเป็นแอปม์ALO International(ฟังกับสายเส้นเดิม ALO Ref 8) ซึ่งInternationalราคาแพงกว่ามาก แม้ว่าแนวเสียงจะไม่ได้แตกต่างกันมากมาย แต่คราวนี้ ความเป็นสามมิติของตัวเสียง(ก็คืออิมเมจ)มันรับรู้ได้ว่า ที่ฟังอยู่เดิม Govibe Mini มันแบนกว่า และระยะห่างของแต่ละชิ้นดนตรี  International มันทำระยะได้ดีกว่า รวมถึงแบ็คกราวน์ของพื้นเวทีเสียงที่สงัดกว่า รับรู้ช่องว่างของแต่ละชิ้นดนตรีได้ง่ายกว่าเมื่อฟังกับ Mini

นี่ขนาด International ยังถือด้อยกว่าแอมป์ที่เสียงสะอาดกว่า คุณภาพสูงกว่าอย่าง Algorithm Duet นะครับ

อ่านแล้วพอgetมั้ยครับ ^ ^  ถ้าพี้เนื้อก่อนมาอ่านที่ผมตอบ รับรองว่าเข้าใจแจ่มแจ้งเด็ดขาดไปเลยครับ ถถถถถ

เพิ่มเติมจากที่ตอบเมื่อกี๊นี้ เอาว่า นี่เป็นย่อหน้าที่ 4 ละกันนะครับ

จากชุดmid end เก่าๆที่ว่ามา  การใส่อุปกรณ์ต่างๆเพิ่มเข้าไปไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์หลักอย่างเปลี่ยนสายสัญญาณ สายลำโพง หรือการเพิ่ม accessories ไม่ว่าตัวกรองไฟ อุปกรณ์เสริมพวกกันคลื่นรบกวน หรือลดแรงสั่นสะเทือน ดูดซับคลื่นรบกวนที่ใส่เพิ่มให้ชุด จะทำให้รับรู้ image ของเสียงได้ง่ายขึ้น ชัดเจน เป็นสามมิติขึ้น

เห็นด้วยกับพี่เหน่งบา
Soundstage คือรูปวง, Image คือรูปทรง (ของเครื่องดนตรี และเสียงร้อง)

ขอบคุณท่านSpaceTemกับท่านเหน่งบามากๆครับ

55 สงสัยไปโดนเนื้อที่ไหนไม่รู้ตัว ถึงเข้าใจที่กล่าวมาชัดแจ้งแดงแจ๋เลยครับ (หยอกๆ)

สำแดงพรรณาโวหารว่าด้วยอิมเมจถึงประสพการณ์ที่เคยสัมผัสมาอีกสักนิดครับ

เมื่อกาละโชคดี ได้แอมป์ Lisa L3 สาย M2M ไฮเอนด์อะไรสักอย่างจำไม่ได้มาฟังกับ Dita the Truth ของสหายธรรม(มีอยู่ท่านเดียว) ตอนนั้นDAP เป็น Ibasso DX90

ด้วยอุปกรณ์ที่ว่ามา จากเดิมที่เป็น DX90 +สายRef8 + International ใช้อินเอียร์ตัวจบของผม Fidue A83 ถ้าเปรียบเทียบจากเดิมกับภาพวาดส้มลูกหนึ่งลอยอยู่ พอเปลี่ยนแอมป์เป็น Lisa กับสายM2Mไฮเอ็นด์ที่ว่า  การเปลี่ยนสายM2Mและแอมป์ ทำให้เปลี่ยนจากภาพวาดส้ม เป็นภาพถ่ายส้มแทนในแง่ความสมจริงของเสียง

แต่พอเปลี่ยนหูฟัง จาก Fidue A83 เป็น Dita the Truth หลังจากฝึกหัดขยับปรับมุมเรียนรู้การวางตำแหน่งหูฟังและคัดเลือกเปรียบเทียบจุกที่มันให้มา ให้เข้ากับจุดoptimum คือได้เสียงที่ดีที่สุด อยู่สามชั่วโมงได้(the Truth เลือกตำแหน่งการใส่อย่างที่สุดครับ คนเคยเล่นจะทราบ) คราวนี้ จากทีว่าเห็นภาพถ่ายส้มตอนฟังเสียง A83 จาก DX90สายไฮเอนด์แอมป์ Lisa L3 ผมรู้สึกว่าผม 'เห็นส้มลูกหนึ่งลอยอยู่ต่อหน้า??!!'

นั่นคือมันให้ความเป็นสามมิติของอิมเมจได้กลมกลึงเป็นสามมิติราวกับเกิดเสียงจริงๆขึ้นต่อหน้าเรา แยกชัดขาดออกจากแบ็คกราวน์ของเสียงอื่นด้านหลัง!!!

บรรยายเสร็จของไปอัพยาต่อก่อนครับ ถถถถถ

ตรงส่วนที่เค้าอธิบายหมายถึงในส่วนเครื่องเสียงบ้านครับ   ตั้งต้นจาก sound engineer เอาไมค์ไปจ่อเครื่องคนตรีทีละชิ้น แล้วมาเปิดฟัง mix โดยทำงานบนลำโพง ไม่ใช่หูฟัง  ณ ขณะที่ปรับเสียง  เสียงที่เค้าฟังก็จะมีผลกระทบจากห้อง และ cross talk ด้วย   เมื่อเรามาปรับตั้งชุดเครื่องเสียงบ้าน  การปรับตั้งจึงต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน  ผลจากเสียงสะท้อนในห้อง ระยะและมุมของลำโพงก็จะทำให้เกิดเสียงสะท้อน และ cross talk ที่ไม่เท่ากัน  เหล่านี้หากทำได้ดีก็จะประกอบกันทำให้เกิด sound stage อย่างที่ควรจะเป็น

ส่วนในหูฟังเมื่อขาดองค์ประกอบแบบที่ว่า จึงไม่สามารถสร้าง sound stage แบบเครื่องเสียงบ้านได้ แอมป์บางตัวถึงมีฟังค์ชั่นใส่ cross talk มาให้  รวมทั้งยังมีการอัดเสียงอีกแบบที่เรียกว่า binural  โดยเอาหุ่นรูปหัวคน(แบบที่เค้าตั้งไว้ในคลิป)  ใส่ไมค์ไว้ที่หู แล้วไปตั้งอัดเสียง  เพื่อรับเสียงให้เหมือนคนฟังตั้งแต่แรก  ตรงจุดนี้ไมค์ก็จะอัดเสียงเครื่องดนตรีทุกชิ้น ทั้งเสียงสะท้อนของห้อง และ cross talk มาหมดในคราวเดียวตั้งแต่แรก  ทำให้หูฟังสามารถสร้าง sound stage คล้ายลำโพงบ้านได้คับ

ปล. ผมนี่ไม่ว่าจะหูฟังแพงแค่ไหน หรือเครื่องเสียงแพงมากๆที่เคยไปลองฟัง  ผมเองแทบไม่เคยสัมผัส sound stage เจ๋งๆ ได้เลย  เพิ่งมาเข้าใจตอนหลังว่าหูสองข้างผมได้ยินความดังได้ไม่เท่ากัน 555

หูฟังกับลำโพงบ้านให้ soundstage ไม่เหมือนกันจริงๆ ครับ ผมเล่นเครื่องเสียงบ้านมาก่อนพอมาเล่นหูฟังทีแรกรู้สึกว่ามันแปลกๆไม่คุ้นและแอนตี้มันพอสมควร แต่พอฟังนานๆ ก็เริ่มคุ้นกับมันและยอมรับมันได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็มีดีในแบบของมันนะครับ

หูฟังจะได้เปรียบที่รายละเอียดจะชัดเจนกว่ามากเรียกว่ามาครบทุกย่าน ซึ่งถ้าเป็นลำโพงคุณต้องใช้ลำโพงตั้งพื้นเท่านั้นเสียงถึงจะมาครบทุกย่านโดยเฉพาะเบสลึกๆ ที่ลำโพงวางหิ้งให้แทบไม่ได้ แต่หูฟังก็มีข้อเสียเปรียบคือ soundstage จะแปลกๆ เหมือนวนอยู่รอบหัว ส่วนลำโพงบ้านจะให้ soundstage ที่สมจริงกว่าเพราะมันเหมือนกับเราไปนั่งฟังเสียงที่อยู่เบื้องหน้า ถ้าถามผมก็ยังชอบลำโพงบ้านมากกว่า แต่เงือนไขมันเยอะกว่ามากๆ โดยเฉพาะห้องฟังนี่แหละครับ

โหววว ขอบคุณมากๆครับ เหมือนหูผมก็ได้ยินเสียงไม่เท่ากันทั้งสองข้างเหมือนกันฮะ แต่ลองไปปรับบาลานซ์ในคอมให้ซ้ายขวาดังต่างกัน รู้สึกว่าimagingจะแม่นขึ้นชัดขึ้น แต่soundstageไม่ค่อยต่างจากก่อนปรับ (shure se215) เดี๋ยวค่อยๆลองไปเรื่อยๆครับ

มานึกๆ  เคยครั้งนึงที่ทำให้เข้าใจกระจ่างทั้ง sound stage และ imaging  นั่นคือในงานเครื่องเสียง ห้องกลางๆ  ได้นั่งกลางแถวหน้าสุด  สัมผัสได้ว่านักร้องเป็นก้อนกลมๆ มีขอบเขต อยู่ตรงกลางหน้าห้อง  สงสัยคนเซ็ตชุดหูเพี้ยนเท่าผม 5555

พูดถึง soundstage สำหรับหูฟัง ทำให้นึกถึง crossfeed คงต้องลองหามาเล่นดูซะหน่อย อย่างน้อยน่าจะช่วยให้การฟังเพลงนานๆไม่ล้าหูจนเกินไป

wow ตามเลยๆ

https://xn--12clam1a5anocac0ih9a9hd9ed4cme4vsg8a.com/

ถ้าเอาตามคลิปยูทูบที่ จขกท. แปะไว้ จะนิยามที่ต่างออกไป และสำหรับผมน่าสนใจและต้องตีความเยอะ โดยเฉพาะที่นิยามว่า imaging เกิดจากสัญญาณเสียงจากการบันทึกมาเลย ตำแหน่งของเสียง สมมติกีต้าร์ เราฟังแล้วมันอยู่เยื้องทางขวา เพราะ สัญญาณจากชาแนลขวามันจะเร็วกว่าสัญญาณซ้าย  ส่วน sound stage ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆเช่น ถ้าเป็นลำโพงก็คือตำแหน่งของลำโพง ถ้าหูฟังก็คงเป็นพวกคัพ เฮาซิ่ง ขึ้นกับการออกแบบ