1.ตั้งจุดตรวจ และฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อ ทั้งอาคาร พร้อมทั้งฆ่าเชื้อภายในอาคารด้วยระบบโอโซน ตลอด 24 ชม.
2.ติดตั้งเจลแอลกอฮอลล์ สำหรับทำความสะอาดมือตามจุดต่างๆ ของพื้นที่ให้บริการลูกค้า และพื้นที่สำหรับพนักงาน
3.ทำความสะอาดโซนเปียก เช่น อ่างอาบน้ำ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
4.ผ้าขนหนู ผ่านกระบวนการซักทำความสะอาด และอบฆ่าเชื้อ พร้อมบรรจุในถุงซีลมิดชิด
5.ชุดผ้าปูเตียง ผ่านกระบวนการซักทำความสะอาด และอบฆ่าเชื้อ ก่อนให้บริการ
6.ในส่วนของแผนกครัว อุปกรณ์ทำอาหาร ภาชนะ เครื่องใช้ต่างๆ สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม ถูกทำความสะอาดด้วยเครื่องล้านจานอัตโนมัติ ที่มีระบบล้างด้วยไอน้ำร้อนแรงดันสูง และอบด้วยความร้อนก่อนนำไปให้บริการ
7.พนักงานทุกคนได้รับการคัดกรองผู้ป่วยก่อนเข้าทำงาน ด้วยการวัดอุณหภูมิร่างกาย ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด
8.หากตรวจพบลูกค้าที่มีอาการของโรค ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการงดให้บริการ
ส่วนโนอาร์ คาเฟ่ โพสต์เฟซบุ๊กถึงมาตรการนี้ว่า เพราะความสะอาดและสุขอนามัยต้องมาอันดับ 1 เราไม่เคยหยุดพัฒนาสุขอนามัย และไม่นิ่งนอนใจแม้แต่น้อย เรามีปฏิบัติการ เพื่อรักษาความสะอาดโดยได้ทำการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง และยุง พร้อมพ่นละอองน้ำยาแอลกอฮอล์ ฆ่าเชื้อโรค ทั้งอาคาร ทุกชั้น ทุกพื้นที่ ทุกมุม! เพื่อสุขอนามัยของสถานบริการให้คุณลูกค้าทุกคนมั่นใจ ส่วนสถานบริการอื่นๆ ไม่ได้มีการนำเสนอมาตรการไว้ในเว็บไซต์หรือแฟนเพจ แต่ได้รับคำแนะนำจากกรมควบคุมโรคแล้ว
ส่งออกแย่ ยังมาโดนซ้ำเติมเรื่องการท่องเที่ยวอีก ...ไม่มีคำพูดอะไรนอกจาก ทัมใจ ครับ
เล่าแบบรวมๆๆไปเลยนะครับ
ปีที่ผ่านมาผมว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีขนานใหญ่ คือมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภครวมถึงการจับจ่ายใช้สอบใหม่หมด ทั้งการประกาศชัยชนะในทีของแพลทฟอร์มหรือการฟูเฟื่องของ logitic และที่ผมเห็นว่าพฤติกรรมคนเปลี่ยนไปมากๆก็คือ Grab Food
จนผมตั้งข้อสังเกตุว่าไอ้ฝุ่น PM2.5 ที่ว่ามันทำไมมาช่วงปีที่ผ่านมา ผมเดาว่าเป็นเพราะการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ ไม่ว่าจะส่งของออนไลน์ สั่งอาหาร กรุงเทพซึ่งเป็นเมืองใหญ่และมีมหกรรมการวิ่งส่งของ-อาหารของรถปิคอัพและมอเตอร์ไซต์ ควันและฝุ่นที่เกิดจากการสันดาปของเครื่องยนต์ก็เลยส่งผลต่อคุณภาพอากาศแบบที่ทุกคนงงๆและไม่รู้ตัว
โดยปกติแล้วธุรกิจที่ขายรีเทลหรือพวกรายย่อยเล็กๆ ปีนี้หรือปีหน้าน่าจะเป็นปีที่ไปไม่รอด เพราะการมาของแพลทฟอร์มที่เน้นการตัดราคาให้ต่ำที่สุด ซึ่งในที่สุดจะไม่มีใครเหลืออยู่ เพราะทุกคนขาดกำไรมาหล่อเลี้ยงให้ธุรกิจไปได้ ในอนาคตคงเหลือแต่เพียงผู้นำเข้าที่ขายสินค้าในแพลทฟอร์ม และในที่สุดแบบสุดท้ายๆจริงๆ แพลทฟอร์มก็ดีลตรงกับผู้ผลิตเหมือน apple จากจีนขายตรงในไทย
และพอต้นปีมีปรากฏการณ์ Covid 19 ทำให้ทุกๆอย่างชะงักอย่างที่ทราบดี มันกระทบเป็นลูกโซ่ครับ สำหรับธุรกิจซื้อขาย ท่องเที่ยว ล้วนแต่ต่างต้องรอ ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากรอให้สถานะการณ์ดีขึ้นแล้วค่อยว่ากันใหม่ และที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือภัยแล้ง ปีนี้ภัยแล้งนั้นแล้งมาก แล้งจนเกษตรกรไม่มีสิทธิ์เพาะปลูกอะไรได้อีกเพราะขาดน้ำ ก็ส่งผลให้ชาวไร่ชาวนาไม่มีเงิน ซึ่งเที่ยวนี้กระทบลงไปถึงรากหญ้าแบบมโหฬาร
ที่เราเคยคุยๆกันว่าเผาจริงเผาหลอก จำได้ว่าคุยกันมาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ก็ยังไม่ค่อยปรากฏว่าเกิดการเผาจริงซะที คงมีแต่การเผาหลอกมาเรื่อยๆ คือถึงกระท่อนกระแท่นแต่โดยรวมผมว่าผู้ประกอบการส่วนมากประคับประคองกันมาได้ตลอด แต่ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ธุรกิจรายย่อยได้เวลาเผาจริงแล้วครับ และเป็นปีที่ไม่มีการเลื่อนกำหนดการซะด้วยซิ...
ผมทำอาชีพสิ่งพิมพ์ ก็ค่อยๆหดตัวมาหลายปีแล้วครับ แต่ก็ประคองตัวกับงานแพ็คเกจจิ้ง กล่องเครื่องสำอางค์อาหารเสริม ซึ่งมันก็ยังพอหล่อเลี้ยงได้ ลูกค้าเป็น sme เป็นแม่ค้ามือใหม่ สายป่านไม่ยาว อยู่ในตลาด 2-3 ปี ก็ถอย งานพิมพ์ก็หดลง ลูกค้าประจำก็ใช้ของน้อยลง ยอดขายน้อยลงเรื่อยๆ แต่รายจ่ายคงที่ เลี้ยงลูกน้องเหมือนเดิม
มาปีนี้ ลูกค้าเกือบทั้งหมดชะลอ ไม่ลงทุน ไม่ขายของตัวใหม่ๆ ไม่พัฒนสินค้าใหม่ งานพิมพ์หดหายไปยิ่งกว่าเดิม พ่อค้าแม่ค้าที่ได้คุยกับผมส่วนใหญ่ก็ไป ออนไลน์แล้ว ปรับตัวกันแล้ว แต่ก็บอกว่า มีแต่ยอดไลค์ไม่มียอดซื้อ ทุกวันนี้เวลาไหว้พระ ไหว้ขอพร จะขอว่า "ขอให้ลูกค้าขายดี" ไม่ขอให้ตัวเองแล้ว เพราะเราอยู่ไม่ได้ถ้าลูกค้าตาย
สงสารคนทำโรงแรม เพื่อนบอกว่า ห้องพักจากเกือบเต็ม ตอนนี้เข้าพักแค่ 10% จากเหตุไวรัสนี่ตรงๆเลย
ร้านอาหารคนว่าง ห้างผีหลอก ดันเจอผีน้อยแวะมาเยี่ยม ปิดร้านไปอีก น่าสงสาร แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง
ตอนนี้กลุ่มเพื่อนผมก็คิดว่า ไทยเที่ยวไทยนี่แหละ ที่จะช่วยทุกคน แวะไปเที่ยว แวะไปกิน แวะไปจับจ่าย ไม่ต้องรอภาครัฐ ก็หาที่พาลูกไปนอนเล่นชนบท ที่ห่างไกลหน่อย อย่างน้อยก็จะได้เจอนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยลง ลดความเสี่ยงเรื่องติดเชื้อ
คิดไม่ออกจริงๆว่าจะไปลงเอยแบบไหน ตอนนี้ก็มองหาช่องทางอยู่ตลอดเวลาครับ
อยากบอกเฮียมั่นครับ ช่วงวิกฤตไวรัสครั้งนี้ ผมฟังเพลงเยอะขึ้นนะครับ ตอนเก็บตัว ตอนอยู่แบบไม่รู้จะทำอะไรก็ใช้เครื่องเสียงใช้หูฟังบ่อยขึ้นนะครับ ตลาดเครื่องเสียงพกพา หูฟัง ลำโพงเล็กๆ ตลาดนี้อาจมียอดการบริโภคเพิ่มขุึ้นนะครับ (เดา)
ท่ามกลางสถานะการณ์ที่ยุ่งวุ่นวายแบบนี้ ผมขอยกบทนิพนธ์ของ กอร์กี้ สุดยอดกวีชาวรัสเซีย มาให้อ่านกันครับ ทำเสียงดังๆ กระชากๆ ตะโกนๆ หน่อยเวลาอ่านจะได้อารมย์มากขึ้น
บทเพลงแห่งนกนางแอ่นผู้กล้าหาญ
เหนือผืนทะเลติดที่ราบเรียบสีเทา สายลมโบกโชยพัดพาเมฆ
ท่ามกลางท้องทะเลและกลุ่มเมฆ มีนกนางแอ่นเหินทะยานอย่างหยิ่งผยองราวกับสายฟ้าสีดำ เหลือบมองดูหางของมันตรงดิ่งราวกับธนู มันกู่ร้องก้องแม้กระทั่งกลุ่มเมฆยังรับรู้ถึงความห้าวหาญของมัน
เสียงร้องนี้กระหายต่อพายุ! พลังแห่งความโกรธเกรี้ยว
เปลวเพลิงแห่งความปรารถนา และการประกาศชัยชนะ
เหล่านี้เป็นสิ่งที่กลุ่มเมฆได้ยิน เสียงร้องของนกนางแอ่นก่อนการมาของพายุ – มันคร่ำครวญพลางบินฉวัดเฉวียนเหนือท้องทะเล ด้านใต้มีเหล่าผู้หวาดกลัวต่อพายุกำลังหลบซ่อน...”
“สายลมกรีดร้อง… สายฟ้าม้วนผ่า… ราวกับเปลวเพลิงสีคราม กลุ่มเมฆแปลบปลาบเหนือทะเลดั่งกับนรก ทะเลตวัดคว้าสายฟ้าดึงลงใต้ผืนน้ำ ภาพที่เกิดราวกับอสรพิษไฟกำลังเลื้อยผ่านท้องน้ำและหายไป กลายเป็นแสงสะท้อนจากฟ้าคำราม-พายุ! พายุกำลังมาถึง! นกนางแอ่นผู้อาจหาญทะยานอย่างอหังการไปในความกราดเกรี้ยวของสายฟ้าเหนือท้องทะเล เสียงร้องอันกึกก้องประหนึ่งผู้วิเศษที่กำชัยดังขึ้น...”
“- ให้พายุมันโหมกระหน่ำเข้ามาอีก!”
ให้พายุมันโหมกระหน่ำเข้ามาอีก
Maxim Gorky’s <