ดีขึ้นแน่ แต่คงนิ่งสู้บ้านไม่ได้เพราะคอนโดสัญญาณรบกวนเยอะและต้องแบ่งไฟใช้กันหลายห้องครับ ถ้าไม่ติดปัญหาอะไรเดินไฟแบบเส้นละ 1 เต้ารับเลยครับ

เน้นสายไฟ + ปลั๊กผนัง เป็นระดับ audio grade เส้นเดียวจุดเดียวพอครับ แล้วค่อยต่อรางปลั๊กไฟเพิ่มเอา วิธีนี้ให้คุณภาพเสียงดีที่สุดครับ  อาจารย์วิพล จาก Audio Absolute เค้าแนะนำมาแบบนี้

เดินจากเบรคเกอร์มาตัวละเส้นน่าจะดีกว่าครับ
จะเล่นสายกันวิจิตรพิสดารแค่ไหนก็แล้วแต่สะดวก

มีข้อมูลที่อาจไม่เกี่ยวกับคำถามว่า เคยมีนักเล่นกระเป๋าหนักท่านหนึ่ง ฮึกเหิมเล่นสายไฟออดิโอเกรดเอาตั้งแต่หม้อแปลงมาเลย แต่กลายเป็นว่าไม่คุ้่มครับ (แต่เป็นบ้าน ไม่ใช่คอนโด) ก็เอามาเล่าเป็นวิทยาทานให้รุ่นน้อง ว่าในประสพการณ์ของท่าน เล่นสายออดิโอเกรดจากเบรคเกอร์มาที่ผนังก็ควรแก่การณ์แล้ว ^ ^

เดินจากเบรคเกอร์มาตัวละเส้นน่าจะดีกว่าครับ
จะเล่นสายกันวิจิตรพิสดารแค่ไหนก็แล้วแต่สะดวก

มีข้อมูลที่อาจไม่เกี่ยวกับคำถามว่า เคยมีนักเล่นกระเป๋าหนักท่านหนึ่ง ฮึกเหิมเล่นสายไฟออดิโอเกรดเอาตั้งแต่หม้อแปลงมาเลย แต่กลายเป็นว่าไม่คุ้่มครับ (แต่เป็นบ้าน ไม่ใช่คอนโด) ก็เอามาเล่าเป็นวิทยาทานให้รุ่นน้อง ว่าในประสพการณ์ของท่าน เล่นสายออดิโอเกรดจากเบรคเกอร์มาที่ผนังก็ควรแก่การณ์แล้ว ^ ^

ขอบคุณพี่ๆ ทั้ง 3 ครับ งั้นผมเอาเส้นละตัวตามคำแนะนำเลยครับ

@พี่เหน่งบา ผมคงไม่ไหวครับสายไฟออดิโอเกรดตั้งแต่หม้อแปลง - -* คงทำแค่จากเบรคเกอร์อย่างที่พี่แนะนำล่ะครับ

ถ้าเป็นคอนโด ระยะการเดินของสายน่าจะไม่ยาวมากนัก ผมแนะนำแบบนี้ครับ

- จากแผงเบรคเกอร์ใหญ่ ให้เดินสายไปจุดที่ต้องการฟังเลยครับ ถ้ามี 2 จุดคนละมุม ให้เดินไป 2 ชุด หรือถ้านั่งฟังจุดเดียว แต่ทุกอย่างรวมตรงนี้หมด ก็ให้เดินซัก 2 จุดไปเลย

- การเดินมา 2 ชุด สามารถแยกออกไปเป็นปลั๊กผนังได้อีก 4 ตัว (8 ขิ้น) และสามารถเลือกปลั๊กผนังแบบอออดิโอเกรดได้ 4 ตัว

- ผมไม่อยากให้ต่อผ่านพวกปลั๊กรางต่างๆ เพราะถ้าเราต่อปลั๊กผนังอย่างดี แล้วไปผ่านปลั๊กรางอีก ผมว่าอาจจะทำให้คุณภาพถูกลดทอนได้ครับ

- สายไฟจากแผงเบรคเกอร์ ถ้าไม่อยากเปลืองมาก เลือกสายไฟที่คุณภาพการผลิตมาตรฐานทั่วไปอย่าง Thai Yazaki ก็ได้ สำคัญคือควรมาแบบเส้นใหญ่ไปเลยครับ คือเป็นเบอร์ 6 ไปเลย หรืออย่างต่ำควรเบอร์ 4 (SQM สแควร์มิล)

จ่ายแค่นี้โอเคแล้วครับ ผมถือว่าครอบคลุมการฟังเพลงทุกรูปแบบแล้วนะครับ 55

อยากให้ท่าน จขกท. สละเวลาซักครึ่งชั่วโมงดูคลิปนี้ตั้งแต่ต้นจนจบครับ แล้วจะพบคำตอบที่ท่านต้องการ

ขออนุญาตเห็นต่างครับเฮีย วิธีที่เฮียแนะนำมันจะทำให้มีโอกาสเกิด ground loop ได้ครับ ตามคลิปนี้ (นาทีที่ 12:15) ครับ

@นายมั่นคง
ขอบคุณครับเฮียมั่น ห้องผมระยะจากตู้ไฟมาจุดที่ตั้งใจจะฟังเพลงยาวอยู่เหมือนกันครับ ประมาณ 12 เมตร
ตอนนี้ได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้าเป็นไปได้ให้ทำตู้ควบคุมไฟแยกอีกตู้ไปเลยสำหรับเครื่องเสียง เพราะถ้าอยู่ตู้เดิมก็ยังไม่ดี
สะตั้นไปสักพักตอนได้คำแนะนำมา กำลังชั่งใจและต้องสอบถามนิติภายหลังว่าทำได้มั้ย - -*

@ผมว่านะ
ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมลองฟังนะครับ 

จริงๆ​ เดินจากตู้เดิมเพิ่ม breaker แยกก็เห็นผลแล้วน่ะครับ​ ทำใหม่​แยกกันหมดทุกอย่างก็คงดีกว่า​ แต่ผมว่าเอาตัง​ไว้ใส่ปลั๊ก​ กับหาสายไฟท้ายเครื่องดีๆ​อีกทอดดีกว่าน่ะครับ

ทำตู้ไฟเพิ่มอีกตู้ไม่มีประโชยน์ด้านเสียงหรอกครับถ้าต้นทางมาจากที่เดิม(คือต้องผ่าเบรกเกอร์ main ตัวเดิม) ถ้าพูดถึงเรื่องเสียงแล้วกลับยิ่งเพิ่มตัวแปลเข้ามาในระบบไฟฟ้าอีกครับ 

การเพิ่มตู้แยกมาอีกตู้มันดีในแง่ระบบ Protection คือถ้ามีไฟลัดวงจรจากจุดอื่นมันจะตัดไฟในจุดนั้น จะไม่กระทบต่อระบบไฟที่ต่อกับเครื่องเสียง หรือถ้าคุณจะซ่อมไฟในจุดอื่นก็ยังสามารถเปิดเพลงฟังไปด้วยก็ได้ ข้อดีที่ผมนึกออกมันแค่นั้นเองจริงๆครับ

จริงๆแล้วเดินแบบเฮียหรือท่านอื่นบอกก็เพียงพอแล้วศัทธาแบบใหนก็เลือกเอาเลยครับ 

@Peob18c
ตอนนี้สายไฟท้ายเครื่องผมเกือบครบที่ตั้งใจแล้วครับ ขาดไป 2 อัน คือ USB DAC อันนี้ผมสั่งทำมาแล้วแต่ไม่เข้าใจ ทำไมใช้กับ 2Qute ไม่ได้
แต่ดันใช้กับ Qutest และ Mytek ได้ปกติ ส่วนนี้รอย้ายที่อยู่เรียบร้อยค่อยแก้อีกที กับสายไฟของ 2Qute ที่เป็นเส้นเล็ก ตอนนี้ใช้ของ Chord เอง เพราะไม่รู้จะ upgrade เส้นนี้ยังไงครับ - -*

@Peerasak
ทางร้านที่ผมจะไปซื้อปลั๊กผนัง เค้าแนะนำมาบอกว่าให้ต่อจากเมนก่อนเข้าตู้ไฟเดิมเลยครับ ไม่ได้ผ่านเบรกเกอร์ตู้เดิม ผมก็กะจะทำแบบพี่ๆ ในบอร์ดนี้กับเฮียมั่นนี่ล่ะครับ
แต่คุยเรื่องปลั๊กผนัง เรื่องสายไฟ in wall กับทางร้าน แล้วเค้าแนะนำมา ตอนนี้ยังงงๆ อยู่ครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ 

ยินดีครับ เพราะผมเองก็อาศัยถามคนเล่นท่านอื่นๆมาเช่นกัน 55

แต่มีข้อสังเกตุอันนึงนะครับ กรณีปลั๊กผนัง 1 ตัว ใช้สายไฟหน้าตัดได้ไม่เกิน 6 แสควร์มิลครับ (เพราะยัดไม่เข้า) เวลาใช้งานซิสเต็มชุดหนึ่ง หากใช้แอมป์หรือเพาเวอร์แอมป์อีกหลายๆชิ้น หรือต่อปลั๊กรางแล้วพ่วงต่อ ผมว่าอาจจะไม่พอครับ (เพราะปลั๊กรางใช้สายไฟที่เดินภายในขนาดเล็กแทบทั้งหมด)

และเรื่องกราวด์ลูป อันนี้ในบ้าน 1 หลังควรตอกแท่งกราวด์แค่ 1 จุด(ถูกต้องเพราะป้องกันกราวด์ลูป) แต่การเดินปลั๊กผนังอยู่คนละมุมห้อง แต่ก็ยังใช้กราวด์ตัวเดียวลงดินน่าจะไม่เกิดกราวด์ลูปครับ เดี๋ยวผมจะสอบถามย้ำกับคนที่เคยเล่นๆกันมาให้อีกครั้งนะครับ^^

สำหรับคอนโด ผมคิดว่าเค้าเดินสายไฟเมนมาที่ห้องเราเข้าที่มิเตอร์ไฟ และหลังมิเตอร์ไฟน่าจะไปที่แผงไฟหลักของห้อง แต่ส่วนที่คนแนะนำให้ทำตู้ควบคุม ผมว่าก็คือการต่อหลังจากมิเตอร์ไฟแยกไปอีกทางเท่านั้นเอง ซึ่งค่าใช้จ่ายของตู้นี้ไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าเน้นเอาสายไฟเมนออดิโอเกรดก็จะแพงนิดนึงครับ^^

น่าจะใช่ครับเฮียมั่น ผมฟังเค้าแล้วก็งงๆ ไม่มีความรู้เรื่องนี้ เค้าบอกว่าให้ต่อก่อนเข้าตู้ไฟเดิมด้วยสาย Thai Yazaki เลือกเส้นใหญ่ๆ สัก 10 - 16SQM ไปจนใกล้จุดที่จะวางเครื่องเสียงแล้วตั้งตู้ไฟใหม่ ค่อยใช้เบรกเกอร์ออดิโอเกรดกับสายไฟออดิโอเกรด จะประหยัดค่าสายไฟลงและจะได้เสียงที่ดีกว่าเดินจากตู้เดิมครับ
แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะทำแบบที่เค้าแนะนำได้ เพราะมันเป็นคอนโด - -* อาจจะลองถามทางนิติดูก่อน

แต่คิดว่าสุดท้ายน่าจะได้เดินตามรอยเท้าเฮียมั่นนี่ล่ะครับ ขอบคุณนะครับ

แสดงว่าเข้าใจตรงกันกับผมครับ คือจากมิเตอร์ไฟ จะทำการแยกสายไฟวิ่งไป 2 ที่

- ที่แรกคือแผงไฟที่เป็นตู้เมนหลัก มีเบรคเกอร์ มีคัทเอาท์ คุมไฟทุกจุดในห้อง รวมถึงแอร์ (อันนี้เรามีอยู่แล้ว)

- ที่สองคือต่อสายไฟลากไปที่จุดฟังเพลง แล้วเข้าเบรคเกอร์ แล้วค่อยลากสายออดิโอเกรดมาที่ปลั๊ก แบบนี้ก็เซฟตังค์ดีครับ มีแผงผังดังนี้ครับ

มิเตอร์ไฟ > สายไฟขนาดใหญ่ > เบรคเกอร์หรือแผงไฟย่อย > สายไฟออดิโอเกรด > ปลั๊กผนัง

น่าจะลงตัวที่สูตรนี้ครับ และคอนโดน่าจะโยงสายกราวด์มาพร้อมกันด้วยเลย อย่าลืมตรงนี้ด้วยนะครับ เวลาต่อปลั๊กผนังเราใช้สายไฟ 3 เส้น บวกและลบ และสายกราวด์ครับ^^

ขอวิเคราะห์ระบบไฟฟ้ารูปแบบนี้ด้วยคนนะครับ ถูกผิด แนะนำได้

อุปกรณ์เครื่องเสียงเราทุกตัว แหล่งจ่ายพลังงานจะใช้หลักการแปลงแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรง

ดังนั้นคาปาซิเตอร์ที่มีคุณสมบัติกรองแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงให้เรียบ จึงถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์หลักในเครื่องเสียงทุกตัว

ค่าความต้านทานของคาปาซิเตอร์จะแปรผกผันกับความถี่สัญญาณไฟฟ้า ทำให้ตัวมันเป็นตัวดูดพลังงานความถี่สูงเข้ามาที่อุปกรณ์เครื่องเสียง

การที่เราใช้สายไฟเส้นเดียวจ่ายให้ทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน ทั้งอุปกรณ์เครื่องเสียง ก็จะทำให้พลังงานความถี่สูงที่อุปกรณ์เครื่องใช่ในบ้านสร้างขึ้น

สามารถเข้ามากวนวงจรขยายในเครื่องเสียงได้โดยง่าย ที่เห็นได้ชัดคือ noise floor ยิ่งเพิ่มโวลลุ่ม เสียงกวนก็ยิ่งกวนเพิ่มขึ้น

ดังนั้นการที่เราแยกสายไฟอุปกรณ์เครื่องเสียงออกมาจะช่วยลดการกวนดังกล่าว เนื่องจากพลังงานความถี่สูงที่อุปกรณ์ภายในบ้านสร้างขึ้น

จะลดทอนลงไปตามระยะทาง และ บางส่วนถูกอุปกรณ์ไฟฟ้าตัวอื่นดูดซับไป

จริงๆ การลดการกวน สามารถใช้อินดักเตอร์หรือขดลวด ที่ตัวมันมีคุณสมบัติค่าความต้านทานแปรผันตรงกับความถี่สัญญาณไฟฟ้า มากันได้

แต่ต้องแลกเรื่องเสียงหน่วงหรือประกายเสียงลดลงเนื่องจากการหน่วงของมัน หรือลดด้วยการใช้คาปาซิเตอร์คร่อมระบบไฟเพื่อดูดซับพลังงานความถี่สูง

เหมือนบางยี่ห้อที่มีขายกันในท้องตลาด

จากทฤษฎีที่กล่าวข้างต้น เมื่อมาเจอกับระบบไฟฟ้าของคอนโด ที่ระบบ ground และ ระบบไฟ L-N จะอยู่ที่ตู้ LC หลักของอาคารซึ่งอยู่ไกลจากห้องพัก

ดังนั้นการไหลกลับของพลังงานความถี่สูงจึงไปได้ยากกว่าบ้านที่อยู่ใกล้ ก็อาจทำให้ noise floor มีหลงเหลือบ้างนะครับ อย่าคิดมากว่าทำผิดวิธี

รูปแบบการต่ออาจจะไม่เหมือนเฮียมั่นว่าไว้นิดหน่อยคือ ปกติมิเตอร์ไฟจะไม่ได้อยู่ในห้องพักแต่จะอยู่รวมกันในที่ๆ หนึ่งเพื่อง่ายสำหรับการจดหน่วยไฟฟ้า

สายไฟขนาดใหญ่ตรงส่วนที่ต่อก่อนเข้าเบรคเกอร์ก็มักจะฝังปูน แก้ไขดัดแปลงไม่ได้ มีเพียงตู้ไฟเท่านั้นที่เราจะทำอะไรได้

ใช้วิธีซื้อเบรคเกอร์ชนิดเดียวกันมาต่อพ่วง > เดินสายสายไฟออดิโอเกรดหรือสาย VAF ของไทยยาซากิ ขนาด 6 ตร.มม. ขึ้นไป 1 เฟส 3 สาย > ปลั๊กผนัง (ชนิดไคโร อย่าง ชุนยาตะ ได้ยิ่งดี) แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ

จะแยกสายไฟออกมากกว่า 1 เส้น  ผมแนะนำว่าควรทำก็ต่อเมื่อใช้ภาคเพาเวอร์มีกำลังสูงอย่างเครื่องเสียงบ้าน เพื่อไม่ให้มากวน Source 

หรือต้องการสายไฟที่มีคุณสมบัติต่างกัน เช่น สายฝอย (VCT , in wall ต่างๆ ) กับ สายแข็ง (VAF) เพราะเสียงที่ได้ต่างกัน
 

 

555 ผมเพิ่งรู้ว่ามิเตอร์ไฟของคอนโดเค้ารวมกัน ยังหลงเข้าใจว่าติดตรงหน้าห้องใครห้องมันซะอีกครับพี่ Hsung

เพื่อง่ายในการจดหน่วยครับเฮีย คอนโดแต่ละชั้น บางที่มีมากถึง 5-60 ห้อง ถ้าติดหน้าห้องกว่าจะเดินจดหมดไม่ต้องไปชั้นอื่นพอดี

ที่สำคัญหน้าห้องมันไม่ได้มีที่มากเหมือนบ้านที่จะวางมิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟได้ คอนโดเลยแยกห้องสำหรับมิเตอร์ไฟ มิเตอร์น้ำออกต่างหาก

ปล. ห้องมิเตอร์น้ำนี่สำคัญมาก เพราะเป็นมิเตอร์ของคอนโดไม่ใช่มิเตอร์ของการประปา ต่างกับมิเตอร์ไฟที่เป็นมิเตอร์ของการไฟฟ้า

คอนโดตัดไฟไม่ได้เพราะคนใช้จ่ายเงินกับการไฟฟ้า  แต่ตัดน้ำได้เพราะจ่ายค่าน้ำกับคอนโดครับ ทำให้ใครไม่จ่ายค่าส่วนกลาง

คอนโดสามารถตัดน้ำไม่ให้ใช้ได้เลย อยู่คอนโดเห็นใครตัวเหม็น เดาไว้เลยว่าค้างค่าส่วนกลางแน่นอน.......

555 ไม่เคยอยู่คอนโดเลยไม่รู้ข้อนี้เหมือนกันครับ

แต่เอาจริงๆ แค่ต่อสายจากแผงเมนไฟออกมาก็ถือว่าโอเคแล้วครับ เพราะถือว่าสายเมนจากมิเตอร์มาห้องนี่ก็เดินมาไกลจนถึงแผง ทำให้เซฟเงินไปเยอะครับ ถ้าอยากต่อก็จั๊มจากแผงไฟในห้องเลยครับ ไม่ต้องขอนิติให้วุ่นด้วย

เอาสะดวกและสายใหญ่สุด (เท่าที่จะทำได้ดี) ครับ  ทำ 1 จุดพอ แล้วใช้ปลั๊กพ่วงดีๆ    เน้นรายละเอียดเข้าสายสายใหญ่สุดๆ แต่ขันไม่แน่นกลับเป็นผลเสียมากกว่า  เข้าหางปลาบัดกรี  สายเบอร์ 6 นี่ก็สุดๆ ล่ะ  ยกเว้นแต่จะแปลงหัวเฉพาะได้

ขอฟันธงชัดๆสักรอบครับคุณอู๊ดว่า -สายใหญ่สุด  -ปลั๊กพ่วงดีๆ นี่คือรุ่นไหนยี่ห้อไหนครับ

และมีใครเคยลองทำระบบกราวด์แบบเฮียฉ่าง (Tombo audio) กันมั๊ยครับ ได้ผลดีมั๊ยครับ

ใช้ระบบพื้นฐานดีกว่าครับ

ต่อเข้าปลั๊ก เบอร์ 6 ก็ใหญ่แล้วครับ ใหญ่กว่านี้สายแข็งจะงัดปลั๊กพัง   

ฟังคลิปแกคุยในรายการ audionnice channel แล้วเคลิ้มทุกที 555

อันนั้นก็เวอร์วังเกิน

ปัญหาคืออย่างนี้ครับ ใช้ DAC, amp, หูฟัง,  powercord, interconnect ที่ฟังแล้ว matching กันทุกอย่างแล้ว  เสียงก็ยังไม่ได้ดั่งใจทั้งหมด เลยคิดว่าปัญหาน่าจะอยู่ที่พื้นฐานระบบไฟไม่ดี ไงครับ

เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ? ระบบไฟและสายไฟไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้เสียงที่ไม่ดีหรือไม่ถูกใจกลายเป็นเสียงที่ดีหรือถูกใจได้นะครับ แต่ช่วยให้เสียงที่ดีหรือถูกใจอยู่แล้วกลายเป็นเสียงที่ดีหรือถูกใจมากยิ่งขึ้นไปอีกต่างหากครับ

ดันจ้าอ่านละคันมือแท้

@ผมว่านะ
ถูกใจผมแล้วครับแต่ยังอยากให้สมจริงมากกว่านี้ เหมือนเราไปนั่งฟังดนตรีสดจริงๆ ประมาณนี้ครับ

ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่ามาถูกทางแล้วครับ

เอาแบบญี่ปุ่นเลยมั้ย ขอไฟแรงสุงแยกออกมาเลย 555

ปล. ผมมองว่าระบบไฟเหมือนน้ำสะอาด ไม่มีรส ไม่มีกลื่น พอเราเอามาล้างสิ่งสกปรก ก็ไม่ทิ้งกลิ่น ทิ้งรส ไม่ทำให้รสชาติอาหารเปลี่ยนไป

ต้นทางดนตรีมายังงัย ก็ควรได้ยังงั้น ทำแล้วไม่ได้ทำให้เสียงดีขึ้นนะครับ แต่ทำให้ได้เสียงที่ควรจะเป็นมากกว่า

เห็นด้วยกับคุณ Hsung ครับ ทุกวันนี้บางวันฟังได้ไพเราะมาก เสียงอิ่ม มิติดี บางวันเสียงเพี้ยนๆบางๆ เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี ทั้งที่ชุดทุกอย่างเหมือนเดิม เลยคิดว่าน่าจะมีสิ่งสกปรกเข้ามาในระบบไฟ เลยคิดว่าการเปลี่ยนอุปกรณ์ก็ไม่น่าจะแก้ปัญหา มาหาทางทำให้ชุดที่มีอยู่แสดงศักยภาพเต็มที่ของมันดีกว่า

ที่บอกมามันเป็นอุดมคติครับ แต่ในความเป็นจริง สายไฟ เต้ารับ ปลั๊กไฟ ในโลกนี้มันไม่มีสายกลางครับ 555

บางอันเค็มนิด บางอันหวานหน่อย พอเอามาผสมกัน ลิ้นเราที่รับรสได้หยาบ เลยแยกยากนิดนึง

มันจะมีอุปกรณ์ที่คล้าย ๆ UPS อยู่นะครับ แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าเค้าเรียกว่าอะไร มันจะมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่มากเก็บไฟไว้ในตัวแล้วจ่ายไฟให้เครื่องเสียงบ้านได้หลายชั่วโมง อันนี้ไฟน่าจะสะอาดหมดจดแน่นอน แต่เสียงจะอั้นหรือไม่ผมยังไม่เคยลอง รู้สึกว่ามีบางร้านให้ลูกค้ายืมไปทดลองใช้ที่บ้านได้ด้วย ผมว่าน่าสนใจเหมือนกันนะครับ แต่เห็นว่าราคาโหดเอาเรื่องอยู่

อันนี้ผมก็เคยเจอครับ เคยฟังดีๆ อยู่ทุกวัน อยู่ดีๆ เบสหาย บ้างก็กลางแห้ง ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย งงอยู่ครับ เคยอ่านเจอว่าถ้าแถวบ้านมี หม้อแปลงระเบิดแล้วเปลี่ยนใหม่ก็ส่งผลกับเสียงได้ ตอนแรกก็งง ว่ามันไกลขนาดนั้น มันจะส่งผลได้ด้วยหรือ หลังๆ สังเกตุ ทุกครั้งที่ ไฟตก หรือดับ บางครั้ง เสียงจะเปลี่ยนจริง ครับ แต่สักพักก็กลับมาเหมือนเดิม แต่ไม่ทุกครั้งเสมอไป หรือเราควรใช้ แผง solar เก็บไฟไว้ใน แบตแบบคุณ ผมว่านะ บอกดี ผมว่าเราสนใจแต่เรื่อง generate ไฟ แต่ไม่ได้หาทาง เก็บมันเลยเนอะ ถ้าเราเก็บแล้วเอามาจ่ายไฟได้เร็วๆ แบบพวก super cap คงน่าสนใจ น่าจะสะอาดสุด ว่าแล้ว สงสัยต้อง ไปลอง hugo tt 2 อิอิ

ไฟจากแบตเป็นกระแสตรงถ้าจะเอามาใช้กับเครื่องเสียงมันต้องแปลงเป็นกระแสสลับก่อน โดยวิธีแปลงมันต้องใช้อุปกรณ์พวกสวิตซ์ชิ่งปัญหาคือเกิดสัญญาณรบกวนเข้ามาอีก ผมเคยเอา UPS มาต่อเครื่อง CD ด้วยหวังว่าเสียงมันน่าจะดีเปล่าเลยเสียงหยาบกว่าเดิมอีกเลยเลิกครับ ผมไม่แน่ใจว่าที่คุณ ผมว่านะ บอกคืออุแกรณ์แบบใหน น่าสนใจดีพอจะมีลิ้งข้อมูลไหมครับ

ไฟจากแบตถ้าจะเอามาใช้กับเครื่องเสียงโดยตรงทำได้ง่ายโดยเฉพาะพวกที่ใช้อะแดปเตอร์แยกแล้วใช้แรงดันไฟฟ้า 5V 6V 12V 24V แบบนี้สบายเลยครับไปซื้อแบตเตอรี่มาทำสายไฟ DC ดีๆเสียบเข้าได้เลย ส่วนพวกที่ใช้หม้อแปลงอาจจะยากหน่อยเพราะต้องแกะดูวงจรข้างในว่าใช้แรงดันไฟกี่โวลท์แล้วถอดหม้อแปลงออกแล้วเอาไฟจากแบตเตอรี่ต่อเข้าไปแทนครับ

โอ้ ขอบคุณ คห.38 มากครับ อันนี้แหละครับ ใช่เลย

มีอีกเรื่องหนึ่งที่พึงทดลองนะครับ 555

บางวันฟังเพลงแล้วรู้สึกไพเราะมาก แต่บางวันทำไมไดนามิกหายหมด ขุ่นๆแบนๆ ผมว่าส่วนหนึ่งมาจากการใช้กระแสไฟที่จ่ายมาย่านนั้นๆ สมมุตว่าเราอาศัยในซอยที่มีบ้านอยู่ 100 หลังคาเรือน ช่วงหัวค่ำจะเป็นช่วงที่ทุกบ้านกระหน่ำกันใช้ไฟ เลยรู้สึกเหมือนเพลงฟังแล้วไม่เพราะนัก

แต่ถ้าดึกๆ แต่ละบ้านนอนกันหมด อัตราการใช้ไฟแต่ละบ้านลดลงเหลือแค่เปิดแอร์นอน ผมว่าตอนนี้แหละที่ฟังเพลงแล้วดีที่สุด ทั้งนี้เราไม่เอาตัวแปรเช่นอารมณ์ในการฟังมาเกี่ยวข้องนะครับ

ว่างๆใครช่วยสังเกตุแล้วมารายงานด้วยเน้อๆ 555

คุณ peerasak ลองมาเยอะ จริงจัง ต้องขอฝากตัวเป็น ศิษย์ แล้วครับ 

@เฮียครับ ถึงว่าผมฟังตอนกลางวัน วันธรรมดาเวลาแถวบ้านผม ไม่ค่อยมีคนอยู่ นี่รู้สึกว่าฟังกลางวันเพราะ กว่าหลายทีละ พอกลับจากทำงานมาเปิด อ้าวไมไม่ฟินเหมือนเมื่อเช้าหว่า แอบถามเฮียหน่อยครับ ผมไม่แน่ใจว่า เห็นเฮียแถวเดอะไนท์ เมื่อวันอาทิตย์ หรือเปล่า เห็น แว๊บๆ จะวิ่งไปตาม ก็ไม่ทัน ไม่งั้น จะรบกวนมา ช่วยดูชุดที่บ้าน ให้หน่อยอิอิ

ใช่เลยๆ ผมฟังดีสุดช่วง ตี2 ตี3 เหมือนกันครับ แต่ไม่รู้ว่าเพราะไฟมาเต็มหรือครึ่งหลับครึ่งตื่นมากกว่านะครับ 555

555 แม่นแล้วครับ ผมแวะไปเดินเล่นที่เดอะไนน์ครับ ตาดีจริงๆๆ ถ้าบอกแบบนี้แสดงอยู่แถวนั้นเลยใช่ไม๊ครับ 555

เรื่องฟังเพลงกลางวันเพราะกว่ากลางคืน อันนี้ก็เป็นประเด็นครับ กลางวันชาวบ้านเค้าออกจากบ้านหมด ยิ่งแถวบ้านถ้าเป็นบ้านพักอาศัยไม่ใช่โรงงาน ผมว่าอัตราการใช้ไฟในช่วงกลางวันนี้น้อยมาก แต่กลับกัน กลางคืนคนทะยอยกลับบ้านตั้งแต่เย็นจนถึงค่ำ

ผมว่าช่วงนี้ฟังยังไงก็ไม่เพราะหรอกครับ ต้องดึกอีกหน่อย รอให้คนนอนหลับกันหมดก่อน  อันนี้ถือว่าไม่ใช่หลักวิชาการ แต่เป็นเพียงการสังเกตุการณ์เท่านั้นครับ บ้านผมใช้ชุดวินเทจหลอด ยิ่งดึกมันยิ่งเพราะจับใจจริงๆ ผมซื้อเครื่องวัดไฟมาไว้เครื่องหนึ่ง หัวค่ำเหมือนโวลต์จะต่ำกว่าดึกๆเล็กน้อย ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกันหรือเปล่า

แต่แน่ๆๆเมียหลับไปแล้ว ไม่มีใครกวนใจ ผมว่าฟังเพลงช่วงหลังจากนี้น่าจะดีสุดนะครับ 555

ผบ หลับ นี่ฟังเพลงเพราะขึ้นอีก หลายเท่าครับ ไม่งั้น ไม่รู้เป็นไง นั่งอยู่เฉยๆ ไม่คุย แต่พอใส่หูฟังเท่านั้น เรียก จัง 

เมียหลับก็เหมือนร้านปิดครับ จะทำอะไรก็สะดวกโยธิน 555

กลางคืนเป็นของเรา.....

เหมือนกันเลย  ยิ่งเวลาใส่พวกหูฟังที่ใส่ยากๆ พอเข้าที่ก็เรียกเลย

การใช้ไฟเยอะ จะมีผลกระทบใน 2 รูปแบบครับ ขนาดแรงดันที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่นิ่ง กับ รูปคลื่นแรงดันที่ผิดเพี้ยนจากผลของ active load ต่างๆ 

ถ้ามองภาพใหญ่จะเข้าใจมากขึ้น เครื่องเสียงใช้สายไฟร่วมเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นก็ทำให้เสียงออกมาไม่ดี เราต้องเดินสายแยกออกมาอย่างกระทู้ที่กำลังคุยกัน

ดังนั้นเมื่อมองระบบไฟที่สูงขึ้น ไฟบ้านเราก็ต่อร่วมกับไฟบ้านอื่นๆ เช่นกัน ทำให้โหลดบ้านอื่นมากวน ยิ่งใช้ไฟเยอะยิ่งกวนเยอะ

จะแก้ก็อย่างที่เราทำกับระบบไฟในบ้าน คือ ถ้าไม่รอให้บ้านอื่นลดการใช้ไฟ ก็ต้อง เดินสายไฟจากหม้อแปลงแยกมาจ่ายเฉพาะให้บ้านเรา

หรือถ้าจะให้ดีที่สุด จ่ายให้เฉพาะเครื่องเสียงไฟเลย...............   

 

ผลกระทบ 2 รูปแบบข้างต้นถ้าซื้อพวก เครื่องควบคุมแรงดันไฟฟ้า stabilizer จะแก้ได้ไหมครับจากที่สังเกตุเวลาใช้แอมป์หลอด จะไวกับพวกนี้มากจับความแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างเห็นได้ชัด ผมเล็งๆ Magnet irg 1200 มีใครเคยใช้บ้างครับ

เคยยืมของ SACThailand รุ่น Blitz มาต่อ กลายเป็นว่าเหมือนเครื่องมันสร้างเสียงรบกวนเพิ่มขึ้นมา

เข้าไปดูมาแล้วครับ หลักการคล้ายกับการใช้ไฟจากแผงโซล่าเซลเลยคือเอาไฟจากแบตมาเแปลงเป็นกระเสสลับ แต่นี่ไม่ใช้แผงโซล่าเซลในการชาร์ตแบต แต่ใช้การชาร์ตไฟเข้าแบตเตอรี่จากไฟบ้านแทนครับ

จริงๆ ถ้าใครอยากลองทำแบบนี้ไม่ยากครับ ไปร้านที่ขายอุปกรณ์แผงโซล่าเซลแล้วซื้อแบตเตอรีสำหรับแผงโซล่าเซลแบบ Deep Cycle Battery  ลูกจะใหญ่หน่อยและราคาแพงพอสมควร แล้วก็อินเวอร์เตอร์แบบ PURE Sine WAVE เสียงจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับอินเวอร์เตอร์นี่แหละ เพราะทำหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระแสสลับครับ ถ้าเป็นชุดหูฟังที่ใช้ไฟไม่มากงบประมาณ ไม่เกิน 2 หมื่นก็ทำได้แล้วหรือถ้าบ้านใครติดแผงโซล่าเซลอยู่แล้วก็ลองเอาชุดหูฟังต่อฟังได้เลยครับ แต่เสียงจะดีรึเปล่าตอบไม่ได้ต้องลองเองครับ 55555

@Peob18c ผมก็แค่บอกไปตามหลักการครับ คุณ Peob18c น่าจะลองมาเยอะกว่าผมซะอีกนะครับ 5555

ขอบคุณ คห.51 มากครับ ผมได้ความรู้จากท่านเยอะเลย

DC to AC อย่างเจ้าพวก UPS หรือ Stabilizer หรือ inverter ของชุด Solar ทุกตัวจะใช้หลักการสวิตชิ่งแรงดันครับ

ดังนั้นรูปคลื่นแรงดัน จะไม่ใช่ pure sine 50 Hz 100.000% จะมีแรงดันความถี่จำนวนเท่าของ 50 Hz ปนมาด้วย

มากน้อยขึ้นกับการออกแบบวงจร และ คุณภาพของวงจรกรอง ขนาดแรงดันพวกนี้โดยทั่วไปจะน้อยกว่า 1% จนถึงต่ำกว่านั้นมากๆ

เครื่องเสียงใครไวจัด ก็จะจับอาการได้ ระหว่างต่อตรงหรือต่อผ่านอุปกรณ์ดังกล่าวครับ
 
ปล. ไม่ค่อยอยากจะแนะนำให้ใช้อุปกรณ์พวกนี้เท่าไหร่ เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ผลที่ได้รับกลับมาต่ำ

ยกเว้นว่าอุปกรณ์เราไวต่อการเปลี่ยนแปลงของแรงดัน และแรงดันไฟฟ้าที่เราใช้อยู่ มีความไม่สม่ำเสมอสูง ค่อยซื้อ

ดูเหมือนว่า ปัจจัยเยอะจนเกินจะควบคุม และเครื่องคุมไฟก็ราคาเกินเอื้อม

หนีไปเล่น DAP มีแบตในตัว เสียบหุฟังเข้าโดยตรงเลย ก้จะหมดปัญหาไฟชัวร์เลย

แต่อีกใจก็ยังอยากได้สเกลเสียงอลังการแบบฟูลไซด์มากกว่านะครับ 555