วันนี้มีโอกาสอันดีเยี่ยม คือผมได้รับบัตรชมคอนเสิร์ทออร์เคสตร้าวงใหญ่ Berliner Philharmoniker ซึ่งเป็นวงที่ดีที่สุดวงหนึ่งของโลกจากประเทศเยอรมนี และร่วมแสดงกับวาทยากรชื่อดังอย่าง Gustavo Dudamel มาเป็นคอนดักเตอร์
ผมเองไม่ใช่คอเพลงคลาสสิค และไม่มีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเพลงคลาสสิคแต่อย่างใด แต่ขอเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ในการฟังเพลงคลาสสิคระดับโลกอย่าง Berliner กับวาทยากร Gustavo ในค่ำคืนนี้ครับ เป็นมุมมองของคนฟังเพลงทั่วๆไปแบบทุกๆท่านก็แล้วกัน
วันนี้ผมได้ที่นั่งที่คิดว่าตำแหน่งค่อนข้างดี คืออยู่ตรงกลางของฮอลล์ค่อนไปข้างหน้า ซึ่งหากมองจากองศาในการฟังแล้วหากได้ขยับที่นั่งขึ้นไปอีก 4 แถว ผมคิดว่าจะได้แรงปะทะและความดังที่มากขึ้นอีกนิด ตำแหน่งที่นั่งฟังนั้นสำคัญมากสำหรับการฟังคอนเสิร์ต เพราะผมเคยเข้าฟังที่ฮอลล์นี้อยู่ 2-3 ครั้ง แต่ปรากฏว่าตอนนั้นฟังแล้วการแยกแยะไม่ได้ เพราะเป็นการนำวงอีเลคโทรนิคมาเล่นผสมกับวงออร์เครสตร้า
แต่เที่ยวนี้เป็นคลาสสิควงใหญ่ จำนวนนักดนตรีครบตามผังการเล่นของวงขนาดใหญ่ เพลงเริ่มไปซักพักนึงราวๆ 20 นาที Gustavo(วาทยากรก็สั่งพักวง) เหมือนกับว่าให้ทุกคนทำความคุ้นเคยกับเสียงก่อน แล้วออกไปพักซะ อีก 20 นาทีมาเจอกัน แล้วชั้นจะขึ้นกุมบังเยนและลงแส้ให้ทุกคนได้ชมขบวนม้าศึก ทุกคนออกไปพัก 20 นาที หลังจากฟังไปเพียง 20 นาที
แล้วพอมาเจอกันหลังเบรคแรกแล้ว Gustavo ก็โชว์ลีลาที่เหนือความคาดหมาย การขย่มและกระโดดขึ้นลง การเร่งจังหวะและสั่งโหม รวมถึงการวาดแขนไปทางซ้ายและทางขวาราวกับสั่งคลื่นฝนและลมให้โยกไปตามมือ เหมือนกับพ่อมดกำลังร่ายมนต์อย่างไรอย่างนั้น ทุกสัญญาณของร่างกายที่สื่อออกไปมีความหมาย และกำราบเครื่องดนตรีทุกชิ้นให้เป็นตามจินตนาการที่ต้องการถ่ายทอด
ดนตรีคลาสสิคเป็นดนตรีอคูสติกทั้งหมด เสียงไร้ความจัดจ้านหรือแผดบาดหูเหมือนฟังผ่านเครื่องเสียงทั่วไป และสิ่งที่ยอมรับว่าเครื่องเสียงดีๆก็ให้ลำบากก็คือ ไดนามิกคอนทราสและทรานเซี้ยนครับ เวลาช่วงที่ Gustavo จบบทและสั่งให้เครื่องดนตรีเบาลง มันค่อยๆเงียบ เงียบ เงียบจนสนิท แล้วก็ค่อยๆเริ่มผุดลอยผสานกันทีละชิ้น จนไต่ระดับเสียงโหมจนดังรอบแล้วรอบเล่า
สิ่งเหล่านี้ยากที่จะหาฟังได้จากเครื่องเสียงปกติทั่วไป น่าจะเป็นเพราะการอั้นทางการบันทึกและมีการตันของอุปกรณ์ร่วมอยู่ เพราะเสียงดนตรีสดนั้น ผมว่ามันให้เรนจ์เสียงตั้งแต่ปลายแหลมสุดไปต่ำสุดได้สุดทางเกินกว่าเครื่องเสียงทั่วไปจะตอบสนองได้ครับ ไม่ใช่ว่าเครื่องเสียงทำไม่ได้ แต่ผมว่าน้อยรายที่ทำได้ถึงจุดเดียวกันนี้
บรรยากาศ Ambient ต่างๆ นั้นทำได้ดี การก้องสะท้อนรวมถึงความสูงของฮอลล์มีผลทำให้เสียงนั้นเหมือนมีจังหวะที่ไล่วนมาจากหลายทิศก่อนจะถึงตำแหน่งที่เราฟัง ผมว่ามันมีเสน่ห์ การแยกแยะอาจจะไม่เหมือนการฟังเพลงผ่านหูฟัง แรกๆผมจับสำเนียงยังไม่ได้ เลยลองทดลองหลับตาสักครู่ พบว่าเวลาคอนดักเตอร์เรียกเครื่องสายทางซ้ายและขวาสลับกัน มันกลายเป็นมิติแบบระดับอภิมหาสเตอริโอเลยก็ว่าได้
สรุปคือเป็นประสบการณ์อีกครั้งที่มีโอกาสได้ฟังดนตรีที่เป็นวงระดับโลกและได้วาทยากรที่มีความสด คลั่ง กระหน่ำสุดตัวอย่าง Gustavo ทำให้ผมรู้สึกว่าดนตรีคลาสสิคนี่ฟังจริงๆมันไพเราะมากเหมือนกัน แม้กระทั่งคนที่ขาดความเข้าใจในเพลงคลาสสิคอย่างผมก็สามารถฟังได้อรรถรสเหมือนกัน อย่าไปแคร์หรือกลัวว่าการฟังเพลงคลาสสิคแล้วไม่เข้าใจ ดนตรีมันเป็นสากลครับ ไม่ว่าใครก็เข้าใจได้ไม่ยากถ้าอยากฟัง
และที่ขาดไม่ได้คือต้องขอขอบคุณบริษัท เดโค 2000 (Deco 2000) ที่มอบโอกาสดีๆในการฟังเพลงครั้งนี้.....
ผมเองไม่ใช่คอเพลงคลาสสิค และไม่มีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเพลงคลาสสิคแต่อย่างใด แต่ขอเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ในการฟังเพลงคลาสสิคระดับโลกอย่าง Berliner กับวาทยากร Gustavo ในค่ำคืนนี้ครับ เป็นมุมมองของคนฟังเพลงทั่วๆไปแบบทุกๆท่านก็แล้วกัน
วันนี้ผมได้ที่นั่งที่คิดว่าตำแหน่งค่อนข้างดี คืออยู่ตรงกลางของฮอลล์ค่อนไปข้างหน้า ซึ่งหากมองจากองศาในการฟังแล้วหากได้ขยับที่นั่งขึ้นไปอีก 4 แถว ผมคิดว่าจะได้แรงปะทะและความดังที่มากขึ้นอีกนิด ตำแหน่งที่นั่งฟังนั้นสำคัญมากสำหรับการฟังคอนเสิร์ต เพราะผมเคยเข้าฟังที่ฮอลล์นี้อยู่ 2-3 ครั้ง แต่ปรากฏว่าตอนนั้นฟังแล้วการแยกแยะไม่ได้ เพราะเป็นการนำวงอีเลคโทรนิคมาเล่นผสมกับวงออร์เครสตร้า
แต่เที่ยวนี้เป็นคลาสสิควงใหญ่ จำนวนนักดนตรีครบตามผังการเล่นของวงขนาดใหญ่ เพลงเริ่มไปซักพักนึงราวๆ 20 นาที Gustavo(วาทยากรก็สั่งพักวง) เหมือนกับว่าให้ทุกคนทำความคุ้นเคยกับเสียงก่อน แล้วออกไปพักซะ อีก 20 นาทีมาเจอกัน แล้วชั้นจะขึ้นกุมบังเยนและลงแส้ให้ทุกคนได้ชมขบวนม้าศึก ทุกคนออกไปพัก 20 นาที หลังจากฟังไปเพียง 20 นาที
แล้วพอมาเจอกันหลังเบรคแรกแล้ว Gustavo ก็โชว์ลีลาที่เหนือความคาดหมาย การขย่มและกระโดดขึ้นลง การเร่งจังหวะและสั่งโหม รวมถึงการวาดแขนไปทางซ้ายและทางขวาราวกับสั่งคลื่นฝนและลมให้โยกไปตามมือ เหมือนกับพ่อมดกำลังร่ายมนต์อย่างไรอย่างนั้น ทุกสัญญาณของร่างกายที่สื่อออกไปมีความหมาย และกำราบเครื่องดนตรีทุกชิ้นให้เป็นตามจินตนาการที่ต้องการถ่ายทอด
ดนตรีคลาสสิคเป็นดนตรีอคูสติกทั้งหมด เสียงไร้ความจัดจ้านหรือแผดบาดหูเหมือนฟังผ่านเครื่องเสียงทั่วไป และสิ่งที่ยอมรับว่าเครื่องเสียงดีๆก็ให้ลำบากก็คือ ไดนามิกคอนทราสและทรานเซี้ยนครับ เวลาช่วงที่ Gustavo จบบทและสั่งให้เครื่องดนตรีเบาลง มันค่อยๆเงียบ เงียบ เงียบจนสนิท แล้วก็ค่อยๆเริ่มผุดลอยผสานกันทีละชิ้น จนไต่ระดับเสียงโหมจนดังรอบแล้วรอบเล่า
สิ่งเหล่านี้ยากที่จะหาฟังได้จากเครื่องเสียงปกติทั่วไป น่าจะเป็นเพราะการอั้นทางการบันทึกและมีการตันของอุปกรณ์ร่วมอยู่ เพราะเสียงดนตรีสดนั้น ผมว่ามันให้เรนจ์เสียงตั้งแต่ปลายแหลมสุดไปต่ำสุดได้สุดทางเกินกว่าเครื่องเสียงทั่วไปจะตอบสนองได้ครับ ไม่ใช่ว่าเครื่องเสียงทำไม่ได้ แต่ผมว่าน้อยรายที่ทำได้ถึงจุดเดียวกันนี้
บรรยากาศ Ambient ต่างๆ นั้นทำได้ดี การก้องสะท้อนรวมถึงความสูงของฮอลล์มีผลทำให้เสียงนั้นเหมือนมีจังหวะที่ไล่วนมาจากหลายทิศก่อนจะถึงตำแหน่งที่เราฟัง ผมว่ามันมีเสน่ห์ การแยกแยะอาจจะไม่เหมือนการฟังเพลงผ่านหูฟัง แรกๆผมจับสำเนียงยังไม่ได้ เลยลองทดลองหลับตาสักครู่ พบว่าเวลาคอนดักเตอร์เรียกเครื่องสายทางซ้ายและขวาสลับกัน มันกลายเป็นมิติแบบระดับอภิมหาสเตอริโอเลยก็ว่าได้
สรุปคือเป็นประสบการณ์อีกครั้งที่มีโอกาสได้ฟังดนตรีที่เป็นวงระดับโลกและได้วาทยากรที่มีความสด คลั่ง กระหน่ำสุดตัวอย่าง Gustavo ทำให้ผมรู้สึกว่าดนตรีคลาสสิคนี่ฟังจริงๆมันไพเราะมากเหมือนกัน แม้กระทั่งคนที่ขาดความเข้าใจในเพลงคลาสสิคอย่างผมก็สามารถฟังได้อรรถรสเหมือนกัน อย่าไปแคร์หรือกลัวว่าการฟังเพลงคลาสสิคแล้วไม่เข้าใจ ดนตรีมันเป็นสากลครับ ไม่ว่าใครก็เข้าใจได้ไม่ยากถ้าอยากฟัง
และที่ขาดไม่ได้คือต้องขอขอบคุณบริษัท เดโค 2000 (Deco 2000) ที่มอบโอกาสดีๆในการฟังเพลงครั้งนี้.....