@ ร.ย.ล. กับความพอเพียง ...
.........................
ปลายปี 2541 มีเจ้าหน้าที่จากกองพระราชพาหนะของพระราชวังแต่งกายชุดธรรมดาเข้ามาคุยที่อู่ของผมว่าจะทำสีรถยนต์พระที่นั่ง ความรู้สึกตอนนั้นคงโดนอำเล่น ก็ได้แต่หัวเราะและปฏิเสธไป และคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ ที่รถของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจะมาทำสีที่อู่เล็กๆ ของเราแบบนี้
แต่วันรุ่งขึ้นมีเจ้าหน้าที่ราชสำนักพระราชวังมาอีกครั้ง คราวนี้แต่งชุดเต็มยศพร้อมทั้งจดหมายจากสำนักพระราชวัง บอกพรุ่งนี้ให้ผมแต่งกายสุภาพไปเข้าวังสวนจิตรลดา เพื่อพบท่านรองราชเลขาธิการ
ท่านรองฯ ถามว่า จะให้ดูแลทำสีรถยนต์พระที่นั่งทั้งหมดจะทำได้ไหมผมก็ตอบรับคำว่าได้ทันทีทั้งที่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ถวายงานพระองค์ท่านเลยครับ
ต่อมา ช่วงปลายเดือนกันยายน มีขบวนนำรถยนต์โรลส์รอยซ์ ทะเบียน ร.ย.ล.972 เข้ามาที่อู่ คนที่อยู่ในซอย แตกตื่นกันมาก ทุกคนอยากเห็นของจริงกันทั้งนั้น เพราะรถยนต์พระที่นั่งคันนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงใช้ในพระราชพิธีสวนสนาม วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ใครๆ ก็อยากมาเห็นให้เป็นสิริมงคลกับชีวิต
สำหรับผม วินาทีแรกที่เห็นรถพระที่นั่งเข่าอ่อนเลยครับ วันแรกที่เห็นรถพระที่นั่ง ผมนั่งมองรถตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงตี 3 ทำอะไรไม่ถูกเลย
ฝากให้สารถีถามพระองค์ท่านว่า โปรดสีรถยนต์ยี่ห้อไหน พระองค์ท่านมีรับสั่งกลับว่า ให้ใช้สีอะไรก็ได้ที่นายช่างใช้ ผมจึงทดสอบสีด้วยสายตากับพื้นเดิม คือ สีไข่ไก่
ขั้นตอนการทำสีรถทุกครั้ง ผมจะกราบที่ตรงวางเบื้องพระบาท ก่อนที่จะขึ้นรถยนต์ทุกครั้ง และมีคำสั่งห้ามช่างในอู่ที่มีมากกว่า 40 คนมายุ่งเด็ดขาด ยกเว้นลูกน้องคนสนิทที่คอยช่วยเหลือผมคนเดียว ส่วนชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถอดออกจากตัวรถ เช่น ครุฑทองคำขาวที่หน้ารถ เมื่อผมถอดออกแล้วก็จะนำเอาไปไว้ที่หิ้งพระในห้องนอนของผมเพื่อความเป็นสิริมงคล
ความรู้สึกตอนนั้นกดดันมากครับ เป็นงานสูงสุดในชีวิต รถ ร.ย.ล.972 คันนี้อายุมากกว่า 30 ปี ไม่เคยซ่อมสี แถมเป็นรูพรุนหมดทั้งคันเลยก็ต้องติดกล้องวงจรปิดส่งภาพไปให้ทางสำนักพระราชวังดู แล้วระหว่างทำสี ผมก็จะนอนเฝ้ารถยนต์พระที่นั่งทุกคืนเลย เพราะความปลอดภัยของพระองค์ท่านเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
รถพระที่นั่งแต่ละคันที่เข้ามาซ่อม โดยเฉพาะรถที่ไปทรงงานต่างจังหวัดนั้น แต่ละคันมีรอยบุบใต้ท้องรถ มีรอยครูดขูดขีดเกือบจะรอบคัน รถของเราเป็นรอยขีดนิดเดียวก็เอาเข้าซ่อมแล้ว แต่รถของพระองค์ท่านต้องรอให้หมดพระราชกรณียกิจก่อนจึงเอาเข้าซ่อม ผมถามสารถีว่า ทำไมไม่รีบเอารถมาซ่อม ก็ได้รับคำตอบว่าต้องรอให้เสร็จพระราชกรณียกิจก่อน ตัวผมเองนั้นทำรถไปน้ำตาร่วงไปเพราะเห็นรถพระองค์ท่านลำบากมากเหลือเกินครับ
ลำบากอย่างไรหรือครับ คิดดูแล้วกันว่า ขนาดรถยังเป็นอย่างนี้ แล้วพระองค์ท่านที่ประทับอยู่ในรถจะเป็นอย่างไร ทั้งการสั่นสะเทือน การโยกของรถ กว่าจะเสด็จฯ ไปทรงงานทั่วประเทศทั้งเข้าป่า ลุยน้ำแฉะ ขัง มีกลิ่นเหม็นด้วย แสดงว่าพระองค์ท่านทรงนำรถไปทรงพระราชกรณียกิจในที่ที่มีน้ำท่วม แถมยังซึมเข้าไปในรถพระที่นั่งด้วย แสดงว่าน้ำต้องเปียกพระบาทมาตลอดทาง เห็นสารถีขับรถบอกว่าพระองค์ต้องทนเหม็นอับและเปียกชื้นเฉอะแฉะอยู่นาน ผมได้ยินแล้วน้ำตาร่วงเลย พระองค์ทรงใช้รถอย่างสมบุกสมบันที่สุด ถ้าไม่เยินจริงๆ ก็จะยังไม่ส่งมาทำสีครับ
และภายในรถยนต์พระที่นั่งนั้นก็แทบไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ เลย ที่ผมเห็นมีเพียงถังขยะเล็กๆ กับโต๊ะทรงงานเท่านั้น ทำให้ผมได้รู้ว่า ระหว่างที่เดินทางพระองค์ท่านทรงงานอยู่ในรถตลอด พระองค์ทรงเตรียมทุกอย่างไว้ก่อนที่จะเสด็จฯไปถึงพร้อมหมดทุกอย่างแล้ว
ส่วนเรื่องการคิดค่าซ่อมรถนั้น วันแรกที่ได้รับรถ ร.ย.ล.972 มา ผมให้ลูกน้องไปรับแม่มาดูที่อู่ เพราะอยากให้มาได้มาเห็นของจริงเป็นบุญตาในชีวิต พอแม่มาเห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นรถของในหลวง รัชกาลที่ 9 เพราะเคยเห็นในทีวี แม่ถามเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "ไก๊ อวงแก เชียน้อ" ใช่รถในหลวงใช่มั้ย พอรู้ว่าใช่แน่ แม่ก็ขอว่า "ขอได้ไหม อย่าคิดเงินพระองค์ท่านเลย"
ผมถามว่า ทำไมล่ะแม่ เพราะตอนนี้เป็นหนี้จากการซื้อที่ดินทำอู่ ซื้อเครื่องมือมากกว่า 10 ล้าน แล้วเราเพิ่งกู้เงินทำอู่มูลค่า 30 ล้าน มีลูกน้องอีกเกือบ 60 คนที่ต้องดุแล นอกจากจะยังไม่คืนทุนแล้วเรายังเป็นหนี้อยู่อีกต่างหากนะแม่
แม่บอกว่าตอนที่แม่เดินทางหนีความอดอยากจากเมืองจีนโดยเรือสำเภานั้น แม่มีเพียงหมั่นโถวก้อนเดียว กัดกินทีละนิดๆ ประทังชีวิตกันตายมาในเรือ พอมาถึงเมืองไทย ได้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ มีข้าวปลาอาหารเหลือเฟือ กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด มีอาชีพทำจนเลี้ยงลูกทั้งหมด 6 คนให้โตได้ก็ด้วยบารมีของพระองค์ท่านแท้ๆ
เพราะฉะนั้นเพื่อตอบแทนความดี ความเมตตาของพระองค์ท่าน ห้ามลูกคิดเงินค่าซ่อมกับพระองค์ท่านเด็ดขาด
ได้ฟังอย่างนั้นผมก็รับคำแม่ทันที เพราะใจจริงผมคิดจะถวายงานแบบฟรีๆ แด่พระองค์ท่านอยู่แล้ว ตัวของผมเองถึงจะมีเชื้อชาติจีน แต่ผมก็มีสัญชาติไทย ผมเกิดในเมืองไทย ผมถือว่าผมเป็นคนไทยเต็มร้อย เป็นข้ารองบาทของพระองค์ท่านคนหนึ่งครับ
พอผมทำสีรถยนต์พระที่นั่งได้ราว 7 คัน มีผู้ใหญ่ทำจดหมายขึ้นกราบบังคมทูลพระองค์ว่า นายช่างทูลเกล้าฯ ถวายค่าซ่อมรถทั้ง 7 คัน ก็มีรับสั่งมาว่า "ขอบใจ" แต่ตอนหลังสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีรับสั่งให้สารถีมาบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดที่นายช่างทำแบบนี้ อยากให้นายช่างรู้จักประมาณตนว่าอะไรควรถวาย อะไรไม่ควรถวาย
ความหมาย คือ ถ้าถวายแล้วเดือดร้อน ถวายแล้วเกินตัว ก็ไม่ควรถวาย ท่านคงรู้ว่า ผมมีหนี้สินมากท่านก็เลยทรงเมตตาเตือนสติ ผมจึงยึดถือว่าเป็นพรที่นำคำว่า "ประมาณตน" มาใช้จนทุกวันนี้
หลังจากนั้นทางวังก็แจ้งมาว่าให้ไปรับเช็คค่าซ่อมรถจำนวน 580,000 บาทได้ ผมก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี พอดีใกล้วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม จึงถวายเงินยอดนั้นแก่พระองค์ท่าน เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งพระองค์ท่านทำหนังสือขอบใจมาถึงผม และจากนั้นเมื่อมีรถพระที่นั่งมาซ่อมอีก ผมก็คิดแต่ค่าอะไหล่กับค่าของ ส่วนค่าแรงนั้นผมถวายค่าแรง ไม่เคยคิดค่าแรงครับ
อนันต์ ร่มรื่นวาณิชกิจ
..............................
เครดิต : คัดบทความส่วนหนึ่ง จากหนังสือ คู่สร้าง-คู่สม (ฉบับพิเศษ) ปีที่ 37 ฉบับที่ 967 ทศ 1 ประจำวันที่ 1-10 ธันวาคม 2559
.................................