ขอเริ่มด้วย LCD2 รุ่นแรกของค่าย Audeze ผู้ทำหูฟังสไตล์อเมริกันจ๋า (ใหญ่ หนา แน่น หนัก วัสดุดี เบสโหด มาพร้อม Travel Case แบบสมบุกสมบัน) ออกมาในปี 2009 ซึ่งใช้คัพไม้สวยงามดูดีมีชาติมากๆ จากนั้นก็มีการพัฒนารุ่น Fazor ออกมาในภายหลัง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จัดระเบียบเสียงให้ลดความ Dark ลง เปิด โปร่ง และปลายแหลมมีประกายมากขึ้นซึงบางคนชอบบางคนไม่ชอบ และก็ออก รุ่นใหม่ LCD3, LCDX, LCD4, LCD MX4 ตามมา เรียกว่า LCD2 นั้นตกรุ่นไปหลายรุ่นแล้ว แต่ด้วยช่วงหลังๆ มีหูฟัง Planar Magnetic ราคาจับต้องได้ออกมาหลายรุ่นเพื่อลุยตลาดระดับกลาง ซึ่งทาง Audeze เองยังขาดหูฟังสำหรับตลาดนี้ จึงตัดสินใจออก LCD2C (LCD2 Classic) ซึ่งเป็น LCD2 ที่ลด Cost ลงในหลายๆส่วน แต่ยังดูดีและไม่ได้ลดคุณภาพเสียงแต่อย่างใด รวมถึงยังออกมาเพื่อให้หลายๆท่านที่เป็นแฟน LCD2 ตัวแรก (ไม่ชอบตัว Fazor) ได้ซื้อหามาใช้เพื่อหวลถึงวันวาน เพราะ LCD2 คงหาซื้อสภาพใหม่เอี่ยมไม่ได้อีกแล้ว

อ้าว พิมพ์ไว้ พอโพสท์หายหมด เอ้า พิมพ์ใหม่ 55555555

LCD2C นั้น มาในแบบ Minimalist คือ มาในกล่องกระดาษธรรมดา ไม่มี Travel Case ที่แสนจะบึกบึนอีกต่อไป (ซึ่งปกติ หลายๆท่านก็ไม่ค่อยได้ใช้) ในกล่องมีหูฟัง, สาย, Certificated Card และ Thumb Drive ซึ่งมีคู่มืออยู่ข้างใน (ไม่มีคู่มือกระดาษ) โดยรูปประกอบผมยืมมาจาก Internet ครับ เพราะยืมมาแต่ตัวหูฟังและสาย ไม่มีกล่องและอุปกรณ์ให้ทุกท่านดู (ยืมตลอด 55555)

spec บางส่วน
Impedance 70 Ohm
Sensitivity 101 dB/mW
น้ำหนัก 550 g.

จะเห็นว่า Impedance และ Sensitivity เท่ากับ LCD2 Fazor เลย แต่ไม่แน่ใจว่า Driver ตัวเดียวกันหรือไม่ ที่แน่ๆ LCD2C ไม่มีเทคโนโลยี Fazor นะครับ จึงคาดว่าเสียงจะคล้ายๆ LCD2 ตัวแรก (Non Fazor) ทั้งนี้ น้ำหนักตัวได้ลดลงเหลือ 550g. ในขณะที่ LCD2 Fazor หนัก 565-585 g. (แล้วแต่ไม้) LCD3 หนัก 630 g. ส่วน LCD4 หนักถึง 695 g. (หนักเรือหายกันเลยทีเดียว)

ค่าอยู่ที่ 27,900 บาท ตามลิงค์ (เฮียทำราคาออกมาดีมากครับ)

https://www.munkonggadget.com/catalog/?mode=search&mode_auto=&search_product_name=%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87+Audeze+LCD2+Classic

ส่วนค่าตัวในเว็บ Audeze คือ 799 USD และช่วงเปิดตัวแรกๆ ราคาพิเศษ 599 USD ซึ่งเลยช่วงนั้นมาแล้ว

ตัวปรับตำแหน่งยังคงเป็นแบบคลิกๆ เหมือนเดิม ซึ่งใช้งานได้ดี ปรับแล้ว พอสวมใส่แน่นดีไม่มีไหล แต่บางคนไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะน็อตยึดหลวมง่ายต้องคอยเช็คและขันให้แน่น ไม่งั้นสวมหูฟังจะคลอนๆอยู่บนหัว 5555 (ส่วนตัว LCD2C ที่ได้มายังไหม่ จึงยังไม่เจออาการดังกล่าว ส่วนใช้ไปนานๆจะเป็นหรือไม่ยังไม่แน่ใจครับ)

หน้าตาเปลี่ยนไปนิดหน่อย จากสัญลักษณ์ L,R ก็เปลี่ยนเป็นตรา Audeze เหมือนกับ LCD4 และ MX4 ซึ่งส่วนตัวผมว่าสวยดี

ใช้จุดยึดสำหรับต่อขั้วสายสไตล์ LCD2 ตัวแรกเลย ให้อารมณ์ Return to Retro คือจุดยึดรวมอยู่ในคัพเลย (รุ่นหลังๆ จุดยึดนี้จะแยกออกจากคัพ  และมีตำแหน่งเฉียงออกจากตัวหูฟัง) ปัญหาคือ จุดยึดแบบนี้ทำให้ LCD2 รุ่นเดิมที่เป็นคัพไม้มีโอกาสแตกตรงจุดนี้สูง ซึ่งตัวในรูปก็เห็นว่าแตกอยู่ 5555

แต่ LCD2C จะไม่มีปัญหาดังกล่าวเพราะเปลี่ยนมาใช้ ABC Plastic ซึ่งมีความเหนียวและทน จุดสังเกตอีกอย่างคือจุดต่อสายหูฟังของ LCD2C จะเฉียงออกมามากว่า LCD2 รุ่นแรก เห็นได้จากคำว่า Planar Magnetic Technology ตัวเดิมจุดยึดอยู่ตำแหน่งตัวอักษร Tech ส่วน LCD2C จะไปอยู่ที่ตำแหน่ง nology คือเฉียงมาด้านหน้ามากขึ้น สายจะได้ไม่ทิ่มคอ

การสวมใส่ LCD2 non Fazor เทียบ LCD2C ครับ

Pad หนากว่าชัดเจน น่าจะเป็นด้วย LCD2 รุ่นแรกเก่ามาก PAD ยุบด้วย เลยยิ่งดูต่างครับ น้ำหนัก LCD2C นั้นเบากว่า แต่ก็ไม่ได้รู้สึกต่างกันชัดเจน ยังจัดว่าเป็นหูฟังที่หนักอยู่ แต่ Headband รุ่นใหม่ ใส่สบายขึ้นมาก เพราะกว้างและกระจายน้ำหนักได้ดี รวมถึง Pad รุ่นใหม่ Memory Foam นั้นก็นุ่มหูใส่สบายครับ

System ที่ใช้ทดสอบ

Samsung Laptop
Pangea Ag-USB
Schiit Bifrost Uber
RCA สาย Van DenHul หัว Furutech
Schiit LYR + หลอด Amperex 6DJ8 Bugle Boy
หูฟังคู่เทียบ HE560, LCD2 non Fazor

เพลงที่ใช้ทดสอบหลักๆ
Beat of Siam - Bangkok Acoustic
Chunky - Bruno Mars
Don't You - Amber Rubarth
Spanish Harlem - Rebecca Pidgeon
Show Quality Bass - HIS 10Hz
Senbon Sakura - Wagakki Band
Laid to Rest - Lamb of God
และเพลงอื่นๆอีกมากมาย ฟังหลากหลาย 5555

เสียงเป็นอะไรที่ subjective เป็นเรื่องความรู้สึก รวมถึงความชอบเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งหมดเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งเป็นมือสมัครเล่นไม่ได้มีมาตรฐานแต่อย่างใด อ่านพอเป็นแนวทางคร่าวๆได้ ถ้าสนใจจริงๆไปลองฟังดูได้ครับ ว่าชอบไหม

LCD2C ตัวนี้ที่ผมรีวิวนี้ ผ่านการเบิร์นมาบ้าง แต่ไม่แน่ใจว่านิ่งหรือยัง (ผมคิดว่ายัง)

เทียบกับ LCD2 Non Fazor พบว่า LCD2C ขับง่ายกว่า เร่ง Volume น้อยกว่าก็ดังเท่ากันแล้ว ส่วน HE560 ต้องเร่ง Volume มากที่สุด

สัมผัสแรก LCD2C เป็นหูฟังที่ให้โทนเสียง Warm เสียงใกล้เคียง LCD2 Non Fazor แต่อาจจะเนื่องด้วยยังไม่พ้นเบิร์น ผมรู้สึกว่ามัน Warm กว่าตัว Non Fazor อีก น่าจะถูกอกถูกใจสายดาร์คแน่นอน ฟังโดยรวมแล้วอิ่ม อุ่น ทุกเพลง โดยเฉพาะเพลง Classic นั้นให้ความอลังการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงฟังได้นานไม่ล้าหู

เบส เป็นจุดเด่นมากๆของ LCD2C เบสลูกใหญ่ ลงได้ลึกมาก ให้ความรู้สึกคล้ายฟังจากลำโพง Deep Bass ชนะ HE560 แบบกระจุยกระจาย  อิมแพคดี แต่หัวเบสยังไม่ชัดเท่า HE560 และ LCD2 Non Fazor รวมถึง สปีดช้ากว่า ให้ความรู้สึกสุขุมนุ่มลึก อิมเมจชิ้นดนตรีใหญ่โต


เสียงร้อง อิ่มและหนา เนียน ไม่มี Sibilance เลย มีตำแหน่งถอยหลังไปกว่าตำแหน่งของ HE560 เล็กน้อย ฟังสบาย

เสียงสูง ปลายแหลมนั้นไม่เด่นเท่าไหร่ (Roll Off แถวๆ 1KHz - 5KHz) เป็นธรรมชาติดี ไม่ถึงกับกุดด้วนเพราะไปจนสุดเสียงเหมือนกัน  แต่ปริมาณน้อยไปนิด โทนโดยรวมให้ความรู้สึก Warm ทำให้รู้สึกย่านสูงขาดไปนิดสำหรับคนชอบโทนไบร์ท ตัว HE560 นั้นย่านสูงจะมีประกายกว่ามาก แต่ก็บาดหูเกินไปสำหรับบางท่านเช่นกัน ข้อดีของ LCD2C คือฟังได้นานมาก ไม่ล้าหู ฟังสบาย เพราะปลายแหลมไม่ Sparkling ไม่มีบาดหูเลย

Sound Stage ของ LCD2C นั้นจัดว่าไม่กว้างเท่าไหร่ แพ้ HE560 แต่ด้านลึกนั้นทำได้ดีกว่า มีตำแหน่งหน้าหลังชัดเจน ค่อนข้างโอบล้อม อิมเมจชิ้นดนตรีให้ความรู้สึกสมจริง ลักษณะเวทีเหมือนกับ LCD2 Non Fazor คือออกแนววงกลม แต่ HE560 เวทีออกแนววงรี (ด้านกว้าง กว้างกว่าด้านลึก) และเวทีของ HE560 จะยกลอยสูงกว่าตระกูล LCD (เช่นเสียง Hi Hat, แฉ, ฉาบ ต่างๆ จะลอยสูงกว่า)

สรุป

Pros : ใส่สบายขึ้นกว่ารุ่นเดิม, ขับง่ายขึ้น, Deep Bass, Warm Tone อิ่ม ฟังสบายไม่ล้าหู, ราคาถูกลงกว่ารุ่นเดิม

Cons : ปลายแหลมปริมาณน้อยไปนิด, ยังรู้สึกหนักยามสวมใส่, อุปกรณ์ที่ให้มาน้อยลงกว่ารุ่นเดิม

เหมาะกับ : ผู้ที่ชอบเสียง Warm อิ่ม หนา ชอบดื่มด่ำกับเบสคุณภาพเยี่ยม

จัดกลุ่ม : LCD2C เป็นหูฟัง Warm Tone

ขอจบรีวิวเพียงเท่านี้

ขอสตังจงสถิตอยู่กับท่าน

ขอบคุณครับ

เรื่อง Schiit Bifrost Uber ผมยังไม่เคยฟังเทียบตรงๆแบบ Head to Head คงอธิบายได้จากความทรงจำ (เทียบกับตัวอื่นที่เคยฟัง) ซึ่งคงไม่แม่นยำเท่าไหร่ ส่วนตัวผมรู้สึกว่า Bifrost Uber ให้เสียงที่ค่อนข้างเป็นกลางครับ ทุกอย่างกลางๆหมด ไม่ว่าจะเป็นเบส รายละเอียด เวที เสียงร้อง คุณภาพโดยรวมผมว่าคุ้มราคา ยกเว้นข้อเสียเดียวของ Schiit ซึ่งเป็นทุกรุ่นคือไม่อ่านไฟล์ DSDขัดใจอยู่พอสมควร

เมื่อเทียบกับภาค DAC ของ AudioGD NFB12 พบว่า NFB12 จะออกโทนอุ่น เนียน กว่า ซึ่ง Bifrost มีรายละเอียดที่ดีกว่า เวทีดีกว่า หัวเบสชัดกว่า เมือ่เทียบกับภาค DAC ของ Chord Hugo ผมชอบ Hugo มากกว่า เพราะรู้สึกโดดเด่นกว่าในหลายๆด้าน ออกโทนสว่างนิดๆ เป็นประกาย เวทีดีกว่า ให้ความเป็นสามมิติดี ฟังรวมๆแล้วไพเราะกว่า แต่ Hugo ก็ราคาสูงและ ต้องใช้แบตซึ่งผมไม่ชอบ อยากได้ตั้งโต๊ะแท้ๆมากกว่า เบื่อเรื่องแบตเสื่อม....DAC ในฝันตอนนี้เลยเป็น Chord 2 Qute ครับ แต่ Gungnir Multibit ก็น่าสนใจเพราะถ้าอัพพร้อมกัน มาวางคู่กับ Mjolnir2 ก็ โคตรสวยเลยครับ อิๆๆๆ

HP amp LYR ตัวนี้มีเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แนะนำว่าต้องเล่นรุ่นใหญ่กว่านี้ครับ งบไม่มีก็ลองขอเฮียดู เผื่อแกจะยกให้ซักตัว ฟิ้ว......

ขอบคุณครับพี่สมเกียรติ ผมก็รีวิวค่อนข้างละเอียดเฉพาะเรื่องลักษณะและการใช้งานเท่านั้น ส่วนเรื่องเสียงยังไม่เชี่ยวชาญเท่าไหร่ หูผมยังกากอยู่ ฟังและรีวิวได้ไม่ลงลึกไม่มีมาตรฐานครับ 55555

ปล. ยังหนักจริง แต่ใส่สบายขึ้นนะครับ