เที่ยงตรงกว่า เพี้ยนน้อยกว่าก็ low gainครับ

แบตหมดไวกว่าก็ high gain ครับ

แต่ถ้า low gain ปรับแล้วดังไม่พอ ต้องเร่งโวลุ่มเยอะ ก็ต้องปรับ high gain ครับ

ปรับแบบที่แอมป์ขับสบายวอลุ่มประมาณ 9-10 โมงคือถูกต้องครับ เพราะเกนขยายมันทำงานอยู่ในข่วงเชิงเส้นจะมีความเพี้ยนน้อยกว่าสัญญาณเสียงจะถูกขยายเต็มรูปคลื่น

ส่วนการเปิดโลวแล้วเร่งวอลุ่มสูงๆมันจะทำให้สัญญาณเสียงถูกคลิปเพราะทำงานเกินย่านที่ตั้งไว้เสียงจะพร่ามัวออกไปทางอับทึบไม่มีแรงอย่างที่เจอ

ส่วนหูที่ความไวมากต้องปรับโลวถูกแล้วเพราะหูพวกนี้ไวต่อสัญญาณรบกวนเรียกว่าอะไรแปลกปลอมนิดหน่อยมันก็ออกมาให้ได้ยินแล้วมันต้องการกำลังขับน้อยๆก็เพียงพอแล้ว

เอาหูขับยากมาเปิดโลวเกนเสียงก็อับเฉา เอาหูขับง่ายมาอัดไฮเกนเสียงก็ดังอย่างเดียวแต่ไม่มีดีเทล

สรุปมันมีจุดทำงานของมันหูบางตัวในสเป็คมันบอกไว้เลยต้องการกำลังกี่วัตต์ ส่วนเรื่องชอบไม่ชอบมันคือรสนิยมส่วนตัวครับ

ขอบคุณทั้ง artpiggo กับพี่ ตามเนื้อผ้า มากครับ 
เป็นประโยชน์มากเลย แน่นๆเลยครับ 

การเลือกว่าจะปรับเป็น low หรือ high gain ... ขึ้นอยู่กับหูฟังที่เราใช้ในตอนนั้นคับ

คือถ้าปรับ gain ได้ตรงตามความต้องการของหูฟัง ... ส่วนใหญ่แล้วเสียงจะออกมา balance มากกว่าการเลือกไม่ถูก gain

ซึ่งเรื่องนี้ เอาเข้าจริง ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนคับ ... แต่ถ้าจะพูดถึงแบบกลางๆ ก็ควรจะปรับตามหูฟัง

เช่น ... ถ้าแอมป์ตั้งโต๊ะแรงๆ แล้วปรับ high gain กับหูฟัง grado ... ส่วนใหญ่ที่ผมเคยลองมา มันจะรู้สึก เกิน คับ

หรือ ถ้าแอมป์ไม่แรงมาก ปรับ low gain กับ hd650 มันก็รู้สึกว่าขับได้ไม่เต็มที่

เช่น ... หลายๆ ครั้งผมพบว่า การปรับ low gain กับหูฟังที่ขับยากๆ เบสมันจะมาเยอะ แต่ความรู้สึกมีันจะกลวงๆ คือเครื่องดนตรีในเพลงมันมาแบบไม่เต็มเม็ดตัวหน่วย

ต้องดูที่หูฟัง และแอมป์นั้นๆด้วยครับ
ผมลองดูสเปคแอมป์หลายๆค่ายแล้ว เค้าตั้ง high gain และ low gain ไม่เท่ากันครับ พูดง่ายๆเลยว่ายังไม่มีมาตรฐานในการตั้งค่า gain ครับ เลยต้องดูเป็นตัวๆไป

ผมไม่มีสูตรตายตัวนะครับ ปรับตามความดัง จึงแล้วแต่เพลงและหูฟัง ถ้า 80-90% แล้วดังไม่พอถึงค่อยเปลี่ยน gain ครับ ทำตามสูตร NwAvGuy คนออกแบบแอมป์ O2 อะครับ รู้สึกเค้าจะบอกเสมอว่า always lowest gain possible.

และเท่าที่ผมอ่านตาม head fi กับลองตั้งใจฟังเองดู สำหรับหูฟังขับยากๆ มันไม่มีขับหมดขับไม่หมดนะครับถ้าแอมป์มันขับได้หรือมีกำลังพอในโหลดนั้น มีแต่ดังไม่พอ

การปรับ high gain แล้วดังกว่านิดนึงเป็นผลทางจิตครับ มนุษย์เราได้ยินอะไรดังกว่าแค่นิดหน่อย จะไม่คิดว่าดังกว่าแต่คิดว่าเสียงดีกว่าครับ (psychoacoustics) ไม่เชื่อลองบิดวอลลุ่มแอมป์ขึ้นนิดเดียวดูสิครับ เสียงดีขึ้นมาเลย เปิด high gain ให้ดังเท่า low ดูครับ แบบเท่าจริงๆนะครับ ละส่วนใหญ่กราฟของแอมป์ที่ low gain มันจะตรงแหน่ว ส่วน high จะมี distortion ขึ้นมาบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็น bump ช่วงกลางกราฟ ทำให้รู้สึกว่ามันเสียงเต็มขึ้น แต่จริงๆคือความเพี้ยนน่ะครับ และการใช้ low gain จะมีข้อดีของการได้ใช้วอลลุ่มแบบละเอียดๆ ซึ่งส่งผลกับจิตแบบที่ผมเคยบอกไป หมุนขึ้นนิดนึงเสียงก็ดีขึ้น ได้ fine control

และอีกข้อคือการ clip ที่จะเกิดที่ high gain ได้มากกว่า เพราะ high gain มันขยายสัญญาณครับ ยิ่ง +dB มากเท่าไหร่ยิ่ง clip ง่าย แอมป์มันจะ clip ตอนสัญญาณมันเลยช่วง peak to peak ของ voltage supply ไปแล้วมันจะตัดตรงนั้น ทำให้เรียกว่า clip ครับ (สัญญาณมันเป็น +, - เส้นตรงกลางคือ 0 ยิ่ง V มาก waveform จะมี amplitude สูงขึ้นครับ) สังเกตจากสเปคแอมป์ครับ อย่างของผม fiio a5 มี output voltage ที่ 5Vrms เพราะฉะนั้นที่ low gain (+0dB) จะมี input sensitivity (ถ้าขาเข้าเกินกว่านี้มันจะเริ่ม clip) หรือขาเข้าที่ที่ 4V ครับ ส่วน high (+12dB) อยู่ที่ 1.4V ครับ เพราะไอ้ที่มันบวกมา พอไปรวมกับ 1.4V แล้ว โอกาสเกิน 5Vrms สูงครับ (ยิ่งเพลงเสียงดังๆอย่างเพลงไทยครับ) ส่วนคำนวณ dB เป็น V ลองเปิดในกูเกิลดูครับ

สำหรับการใช้งานจริง ผมต่อ a5 ของผมมาจาก line out ของ e17k ซึ่งผมจำได้ว่ามันเกิน input sensitivity ของ a5 ที่ high gain ถ้าผมรู้ว่าเพลงต่อไปมันดังเช่นพวกเพลงจากแผ่นยุค 90 ปลายๆ ผมจะกดมา low ก่อนครับ และส่วนใหญ่จากปกติที่ผมฟังเพลง DR9-11 ที่ 10-11 น. low gain พอเปิดเพลงดังๆ แค่ 9 น. ก็ดังเท่าๆกันครับ ส่วนเพลงไทยผมเปิดต่ำกว่า 9 น อีก (เพลงพี่ป้าง) ผมว่ารู้ไฟล์เพลงตัวเองไว้ก็ดีมากนะครับ ส่วนเพลง vinyl rip ไรพวกนี้หรือ CD เก่าๆที่ไดนามิคเรนจ์ดีๆ ผมจะฟังที่ 9 น ที่ high gain ครับ ไม่ clip แน่นอน การจะทำให้มั่นใจว่าจะไม่คลิปก็คำนวณ input voltage แล้วบวก gain (แปลง dB เป็น V ก่อนนะครับ) เข้าไปครับ ถ้ามันไม่เกิน voltage supply (ดูหน่วยดีๆนะครับว่าเป็น Vp-to-p หรือ Vrms) ถือว่าโอเคครับ ลองหาเพิ่มเติม

อีกข้อคือ potentiometer หรือ volume pot จะของ alps หรืออะไรก็ตาม จะทำงานได้ดีสุดตอน vol=max และห่วยสุดคือ vol=min ครับ สังเกตได้จากการที่ดังไม่เท่ากัน (channel imbalance)

ให้คิดว่า gain มันคือการขยายสัญญาณ เหมือนเกียร์ (ขยายสัญญาณ-เหมือนเปลี่ยนเฟือง) ในขณะที่วอลลุ่มเหมือนคันเร่ง (เพิ่มกำลัง-เหมือนน้ำมัน)ครับ ผมขอกดให้สุดแล้วค่อยสับเกียร์ดีกว่า 5555555

สรุปสั้นๆนะครับ เผื่องง เวลาเลือก gain ผมจะดูจาก
1. source ถ้าง่อยๆแบบ iPod ที่ 0.5Vrms (line นะครับ ถ้า hp รู้สึกจะ 1Vrms) แล้วต้องต่อแอมป์มาขับ DT880 250Ohm ผมจะกดไป high ทันทีเลยครับ เพราะไม่น่ามีแอมป์ตัวไหน input sensitivity ต่ำกว่า 0.5Vrms
2. ความดังของเพลง ถ้าดังจะเปิด low gain ก่อนครับ ส่วนเพลงเบาๆ ถ้า low แล้วดังไม่พอค่อยไป high
3. 'lowest gain possible' ครับ

ส่วนรูปที่ผมแปะให้ เป็นหลักดีไซน์เกนของแอมป์ของ NwAvGuy ครับ ลองประยุกต์คร่าวๆก็พอจะรู้ครับว่า gain เรามากเกินไปหรือน้อยเกินไปยังไง

ส่วนความเที่ยงตรง ยังไง low gain ก็เที่ยงตรงกว่าครับ ถ้าแอมป์(ss)ของ จขกท มาจากผู้ผลิตที่ reputable ส่วนใหญ่เค้าจะแปะ FR ไว้ให้ทั้งสอง gain ครับ

จากลิงค์ข้างล่างจะเห็นว่าที่ gain=low ที่โหลดเท่ากันคือ 32โอห์ม จะตอบสนองเป็นเส้นตรงกว่า และเมื่อหูฟังของจขกทมีความต้านทานมากขึ้น เส้นนี้จะยิ่งตรงขึ้นครับโดยเฉพาะช่วงความถี่ต่ำ
http://www.fiio.net/en/products/59/parameters

Low gain กับ High gain นั้น ถูกออกแบบให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้ตามความรู้สึกพึงพอใจ คือใครฟังอันไหนแล้วชอบใจก็คืออันนั้น และการที่มี high gain เพื่อเป็นการเพิ่มสัญญาณที่ดังขึ้นให้คนที่เลือกรู้สึกว่าเรี่ยวแรงแอมป์นั้นดี มีก๊อกสองให้ใช้

แต่หลักการเล่นไม่ว่าอะไรก็ตาม ให้ฟังที่ Low gain ก่อนครับ ถ้าฟังแล้วชอบใจ และรู้สึกว่ามีความดังที่ถูกใจแล้ว ไมมีความจำเป็นต้องไปปรับเป็น high gain แต่อย่างใด นอกจากหูฟังที่โอห์มสูงๆ ความไวต่ำๆ บางทีการฟังที่ low gain เหมือนจะเบาจนไม่ได้ยิน อันนี้ก็ต้องขยับปรับเป็น high gain ครับ

Low Gain ให้ความเที่ยงตรงและสัญญาณที่ดีกว่า เลือกจากตรงนี้ก่อนครับ ไม่พอค่อยไปที่ high gain จ้าๆๆๆ

ขอบคุณข้อมูลคะ

หนังฝรั่ง

อันนี้ รวมพวก gain ใน player ด้วยหรือป่าวครับ หรือไม่เกียวกัน