ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในทวีปเอเชียที่ซึมซับเอาวัฒนธรรมทางดนตรีไม่ว่าจะเป็นคลาสสิค แจ๊ส ร๊อค โฟลค์ไปจนถึงงานป๊อปทั่วไปได้อย่างน่าสนใจยิ่ง คงจะเป็นเพราะรากฐานทางวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นนั้นเป็นคนที่ศึกษาอะไรจริงๆจังๆและไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะแสวงหาองค์ความรู้ที่ตัวเองสนใจมาให้ได้ แถมยังมีการแปลเป็นภาษาของตัวเองเพื่อให้รุ่นลูกหลานอ่านต่อกันจนซึมซับไปทั่ว
หนึ่งในศิลปินที่ผมให้ความสนใจในบทความคราวนี้คือ Kazumi Watanabe มืออิเล็คทริคกีตาร์ที่น่าจะเป็นผู้มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศญี่ปุ่นจากการที่คร่ำหวอดมาในวงการเพลงในประเทศอย่างยาวนานจนถูกเรียกว่าเป็น Prodigy หรือศิลปินเด็กที่มีความสามารถพิเศษนับแต่วัยเด็กจากผลผลิตของ Yamaha Music School ในช่วงกลางทศวรรษที่ 60s เรื่อยมาจนเกือบย่างเข้า 5 ทศวรรษจนถึงปัจจุบันนี้
เขาได้รับอิทธิพลจากมือกีตาร์ผิวสี Wes Montgomery หนึ่งในมือกีตาร์ที่ได้ชื่อว่ามีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์กีตาร์ Modern jazz ถัดจาก Django Reinhardt และ Charlie Christian ที่ได้เปลี่ยนชีวิตเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งจากความสนใจใน Rock n’ Roll ในช่วงต้นทศวรรษที่ 60s ให้หันมาเอาดีทาง Jazz อย่างเต็มตัว นอกจากนี้ Watanabe ก็ยังมีกลุ่มเพื่อนในรุ่นราวคราวเดียวกันที่สร้างชื่อเสียงในแวดวง Fusion ภายใต้ชื่อวง KYLYN ที่มีสมาชิกคนดังในเวลาต่อมาอย่าง Ryuichi Sakamoto มือเปียโน โปรดิวเซอร์คนสำคัญของญี่ปุ่น (จากภาพยนตร์ The Last Emperor, Little Buddha, Merry Christmas Mr.Lawrence) และกลับกัน Watanabe ก็ไปเป็นมือกีตาร์รับเขิญให้กับ Yellow Magic Orchestra (YMO) วงในแนว Electronic Fusion ชั้นนำของญี่ปุ่นที่มี Sakamoto เป็นผู้นำในช่วงเวลาเดียวกันด้วย
แต่วงที่ทำให้ชื่อเสียงของ Watanabe ขจรขจายไปทั่วโลกเกิดจากการที่เขาได้ร่วมงานกับกลุ่มศิลปินอเมริกันในนาม TO CHI KA (1980) ที่ได้ Superstars อย่าง Marcus Miller, Omar Hakim, Kenny Kirkland และโปรดิวเซอร์ Mike Mainieri มาช่วยส่งให้ Watanabe กลายเป็นมือกีตาร์ช่วงทศวรรษที่ 80s ที่ถูกจับตามมองมากที่สุดทั้งในระดับประเทศและระดับสากลจนให้เกิดการร่วมงานกับศิลปินชั้นนำในเวลาต่อมาทั้ง John McLaughlin, Jaco Pastorius (Word of Mouth) , The Brecker Brothers, Eddie Gomez, Steve Gadd, Richard Bona, Lee Ritenour ที่ทัวร์ร่วมกันทั้งใน NY, Japan และหลายเมืองสำคัญตลอดช่วงทศวรรษที่ 80s
ความชาญฉลาดของ Watanabe คือการไม่หยุดนิ่งในการ Explore งานดนตรีจากสาย Fusion ไปสู่กลุ่มงานอื่นเช่นProgressive Jazz Rock ที่ร่วมกับ Bill Bruford (Yes, King Crimson, Genesis) และ Jeff Berlin และยังส่งผลให้เขาได้ทัวร์ในอังกฤษเป็นการขยายภูมิภาคการแสดงสดนอกเหนือตลาดใน North America นอกจากนี้การที่ได้ร่วมงานกับกลุ่มเพื่อนนักดนตรีชาวญี่ปุ่นในสาย Free Jazz ที่ปักหลักในยุโรปอย่าง Nobuyoshi Ino, Yosuke Yamashita ตลอดช่วงทศวรรษที่ 90s ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนๆในแถบยุโรปมากขึ้น
ความดื่มด่ำในการเล่นอิเล็คทริคกีตาร์ของเขาเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัว ในช่วงทศวรรษที่ 90s ต่อเนื่องต้นศตวรรษที่21 เราเริ่มเห็นการใช้ Acoustic Guitar มากขึ้นของ Watanabe ในการเล่นร่วมกับมือกีตาร์ชั้นนำเช่น Al di Miola, Larry Coryell, Babik Reinhardt ไปจนถึง Ralph Towner, Toninho Horta, Martin Taylor เรื่อยไปจนถึงงานในลักษณะกึ่ง Classical, Score, Film Music และการนำวงขนาดใหญ่อย่าง Asia Fantasy Orchestra ที่มีจำนวนสมาชิกเป็นนักดนตรีชาวเอเชียกว่า 32 ชีวิตออกทัวร์ในหลายประเทศของเอเชียนำไปสู่ชื่อเสียงที่เพิ่มทวีคูณในหมู่นักฟังงาน Acoustic Guitar
ประสบการณ์และความสามารถของ Watanabe ได้ถูกถ่ายทอดผ่านรายการทีวีทั้ง NHK, Kansai TV ไปจนถึงรายการวิทยุที่เขาจัดเองในญี่ปุ่นและเป็น Guest Professor ที่ Senzoku Gakuen College of Music ตลอดช่วงทศวรรษที่แล้วได้สร้างคนฟังรุ่นใหม่และรุ่นเก่าให้เกิดความสนใจในการเป็นนักดนตรีอาชีพที่เรียกว่าผ่านหลายยุคหลายสมัย ตัวจริงเสียงจริง อย่าง Watanabe ให้ดูไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะเขาได้ถ่ายทอดเทคนิควิธีการเล่นผ่านรายการที่เขาจัดและพูดเล่าเรื่องราวสำคัญๆในช่วงชีวิตการเป็นนักดนตรีอาชีพให้แฟนได้เห็นภาพการทำงานในแบบมืออาชีพ
และนี่แหละคือวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นว่าทำไมการลงลึกกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะดนตรีแจ๊สอย่างโชกโชนของศิลปินญี่ปุ่นระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Sadao Watanabe, Toshiko Akiyoshi, Masubumi Kikushi, Yosuke Yamashita และมาถึง Kazumi Watanabe นั้นส่งผลต่อศิลปินรุ่นหลังที่ก่อกำเนิดขึ้นเป็นดอกเห็ดและกลายเป็นวัฒนธรรมที่น่าสนใจยิ่งนักของญีปุ่น