สวัสดีพี่ๆน้องๆ ชาวบอร์ดมั่นคงครับผม นานแล้วที่ไม่ได้มาเข้าในเว็ปบอร์ด เนื่องด้วย ภารกิจและหน้าที่การงานหลังเรียนจบ นานๆเข้ามาเขียนอะไรดีๆ ให้เป็นประโยชน์แก่คนที่สนใจจะเลือกซื้อหูฟังนะครับ หวังว่ารีวิวนี้คงจะมีประโยชน์ต่อคนหลายๆคนที่จะเข้ามาในสาย CIEM

“รีวิวเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลนาจา อาจจะมีบางส่วนผิดพลาดได้ หรือไม่ตรงกับท่านอื่นๆ ด้วยเนื่องจากความชอบและการแมชชิ่งอุปกรณ์ไม่เหมือนกันนะครัช ขอให้ทุกท่านสนุกกับการอ่านรีวิวของผม ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะครัช”

                เกริ่นก่อนว่า ผมเป็นคนนึงที่ “ไม่คิด และไม่ชอบ CIEM” แบบมากๆ งงเด้ๆๆๆๆ แล้วผมมาซื้อได้อย่างไรกัน วันหนึ่งโชคชะตาก็เล่นตลกในวันที่ผมคิดจะซื้อหูฟังใหม่ โดยตั้งงบไว้ 25,000 แต่ทำไมมันเลยมาเยอะจังฟร่ะ ผมเดินเข้าไปในร้านเฮียแบบปกติเหมือนทุกครั้ง และจำได้ว่าวันนั้น นั่งฟังอยู่ประมาณ 6 ชั่วโมงเต็ม โดยลอง UIEM หลายๆตัว น่าจะเกิน 30 ตัวได้ จนสุดทางที่ Shure SE846 UIEM ที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในช่วงเวลานั้น (ปี 2559) แต่ว่ามันก็ไม่มีตัวไหนเลยที่เสียงถูกใจผม

รูปตัวแถมเมื่อของโปรตอนนั้นนะครับ ต้องขอยืมจากที่อื่น เพราะผมขายมันไปแล้ว หลังจากที่ได้มา 1 วัน 555555       

            ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2559 วันนั้นเกิดอาการ คันหู อย่างรุนแรง ซึ่งมักจะมีคนมาบอกกล่าวว่าคันหูก็ไปซื้อ หูฟังสิ เอาละครับ ผมก็แวะไปร้านเฮีย (สาขาพารากอน) แบบจุดหมายเพียงหนึ่งเดียวในใจ ฮ่าๆๆๆ

             บอกได้เลยว่าผมศึกษาเรื่อง Custom ไปน้อยๆมากๆ รู้แค่ว่า ถ้าใช้มัน เพื่อนๆบางคนผมจะไม่สามารถร่วมประสบการณ์การฟังเพลงได้ เพื่อแลกกับการได้ฟังเพลงแบบเต็มที่ (หนึ่งในสาเหตุที่ไม่ชอบ) หลังจากฟังวันนั้นไป พบว่ามันไม่ร่วมรายการลดวันแม่เว้ยเห้ย!! แต่มีโปรแถม UE900s แทนผมก็เลยกลับมาคิดอีกแป๊บนึง ซึ่งเป็นเรื่องสิครับ!!!!! เสียงเจ้า UE11Pro ตัว DEMO มันหลอกหลอนในหัวผมตลอด 1 อาทิตย์เต็ม แถมพี่ที่ร้าน(พี่ภู) แกไซโคผมซะแบบว่า "ตัวจริงดีกว่านี้อีกนะ DEMO แค่ 50% ของ Full Performance เท่านั้น" 

             นั่นแหละครับ หลังจากานั้น 1 อาทิตย์ ผมกลับไปพร้อมเอา ท่าน ผบทบ. (แฟน) ไปด้วย เขร้!!! วันนั้นไม่รีรอครับ ตรงดิ่งเข้าไปบอกพี่เค้าเลย จัดพิมหูได้เลย ซึ่งแน่นอนผมทำการขออนุญาติเบิกงบประมาณจากท่าน ผบ. มาแล้ว ถึงแม้มันจะเป็นเงิบเก็บผมก็ตาม มองซ้าย พี่ภูนั่งยิ้ม มองขวา แฟนมองตาขวาง.... ชั้นได้แต่กลืนน้ำลายอึกๆ


สาเหตุที่อยากเปลี่ยนหูฟัง: อยากได้หูฟังที่เบสดีๆ แต่แหลมไม่บาดหู เพราะหูฟังตัวเก่าเวลาเร่งเสียง มันบาดถึงขั่วหัวใจ (Senn Momentum Inear) ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะครับ แค่ว่าผมไม่ชอบแค่เสียงแหลมมันเฉยๆ และอยากได้เสียงแนวเดิมแต่ใส่ขึ้น ชัดขึ้น และกระจ่างมางขึ้น แหล่มคมขึ้นโดยไม่บาดหู

หลังจากทำการพิมหูที่บอกได้แค่ว่า อึดอัดแบบสุดๆมาได้ ผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอถึง 1 เดือนเต็ม รวมราคาที่พิมตอนนั้น ราวๆ 43,900 บาท 

                        ในส่วนของตัวหูฟังบอกได้เลยว่า เนี๊ยบมากๆ ไม่มีรอยต่อรอยเชื่อมหรือ ความขรุขระมาทำให้กวนใจเลย ลูบไล้อย่างเมามันส์ ฟินกันไปข้าง และขั้วหูฟังกับสายนั้นทำได้แน่นหนามากๆ (จะแน่นไปไหน)
                               

                สังเกตได้ว่าตัวหูฟังมีท่ออยู่สองท่อ หูฟังแบ่งออกมาเป็นสองท่อง ซึ่ง ความคิดเห็นส่วนตัวคาดว่า น่าจะเป็นทองเบส 1 ท่อ และกลาง-แหล่มอีก 1 ท่อเพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุด โดยไม่ทำให้ย่านเบสมากวนย่านกลางและแหลม  รวมถึงงานออกแบบ Shell ที่บอกได้ว่าค่อนข้างดีเลือกสีต่างกัน เพราะจะได้รู้ว่าข้างไหน ฮ่าๆ
                       ส่วนของตัว Shell หูฟังนั้นทำออกมาได้ค่อนข้าง แข็งแรงทีเดียว จากการใช้แบบ สมบุกสมบันตลอด 1 ปี มันมีตกบ้าง กระแทกประตูบ้าง แต่ก็ไม่มีรอยแตกหรือบุบสลาย

Specification แบบคร่าวๆนะครับ

Driver: 4 Drivers (Balance Amature) 1-High, 1-Mid, 1-Bass, 1-Sub หรือเอาง่ายๆก็เหมือนมี 2-Bass เนื่องด้วยผมเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องเสียงมาก แต่ก็จะพยายามอธิบายออกมาให้เห็นภาพครับ

ความรู้สึกตอนใส่ช่วงแรกๆ

                บอกได้เลยว่า “เจ็บสลัดผักมาก” ไม่สบายหูแบบสุดๆ ตอนแรกคิดว่ามันจะไม่พอดีจนต้องส่งไป Refit ป่าว แต่พี่ๆที่ร้านบอกว่า ลองปรับตัวซัก 2 อาทิตย์ แล้วค้นพบว่า เห้ย!!! มันใส่สบายเอามากๆ หากเราใส่ถูกล๊อคกับหู เพราะตอนแรกๆมันไม่ถูกต้องเลยเจ็บ  

เบิร์นช่วง 50 ชั่วโมงแรก

                ช่วงนี้เบสยังเยอะอยู่ ออกแนวจะล้นๆนิดๆ แหลมค่อนข้างขาดและกุด มันยังไม่สุด และมิติยังไม่ได้โอบล้อมมากนัก รายละเอียดยังไม่ได้ขุดออกมาอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่บอกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ใส่ว่า ถ้ามันเบิร์นสุดนะ มันจะเป็นหูฟังที่สุดยอดตัวนึงเลย

ช่วง 100 ชั่วโมง

                ช่วงนี้เบสเริ่มจับกันเป็นลูกมากขึ้น และมีขอบเขตชัดเจนขึ้น แต่เบสก็ดันน้อยลงไปในช่วง 200 ชั่วโมงแบบเหมือนคนละตัว พูดง่ายเหมือนเบสหายไปไหน ฮ่าๆๆๆ เสียงแหลมและเสียงกลางเริ่มเด่นมากขึ้น เสียงเริ่มเปิดและเวทีเริ่มกว้างขึ้น เวทีเริ่มโอบล้อมมากขึ้น รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของ ชิ้นดนตรีที่วางออกจากกัน

ช่วง 100-200 ชั่วโมง

                ความโอบล้อม และเวทีเสียงนั้น เริ่มกว้างขึ้น และโอบล้อมรอบหัวมากยิ่งขึ้น โดยจากการฟังเพลง True Color ของ Olivia ong พบว่าการแยกซ้ายขวา ได้อย่างมีชั้นเชิง และเริ่มแสดงถึงความลึกของเวทีเสียงของตัวหูฟัง การแยกชิ้นดนตรี และการจัดวางตำแหน่งเริ่มแผ่ขยายออกทำให้ได้ยินเสียงดนตรีนั้น ที่แยกออกจากกันมากขึ้น ถึแต่มันจะการซ้อนกันของเครื่องดนตรีอยู่เล็กน้อย ทำให้มีเสน่ห์ของความเป็น ดนตรี ที่มีการทับซ้อนกันบ้างเมื่อตอนเราฟังอยู่ในห้องอัด

ช่วง 400 ชั่วโมง

                เบสมันกลับมาแล้วแบบเต็มสูบ แต่ว่ามีขอบเขตที่ดีมากขึ้น การโรยตัวของเบสในแต่ละช่วงนั้น มันมีเสน่ห์มากๆ เพราะเราจะได้ยินเสียงเบสที่ทอดยาวและหายไปอย่างธรรมชาติ พร้อมกับเสียงแหล่มที่ออกมาอย่างสุด และคม แต่ไม่บาดหู (แต่มันไปต่อได้อีก) เสียงกลางที่เปิดออกมาทำให้ได้ยินรายละเอียดเสียงร้องได้อย่างชัดเจนและเที่ยงตรง เป็นเสียงร้องที่อิ่มและแลดูมีน้ำมีนวล

แนวเสียงหลักจากเบิร์นครบแล้ว

เบส

ตัวนี้เป็นหูฟังในแนวที่เน้นเบสค่อนข้างพอสมควร มีเบสลูกปานกลางถึงใหญ่ ค่อนข้างออกไปทางนุ่ม ลงได้ลึกมากๆ หัวโน้ตค่อนข้างชัดเจนและไม่บวมจนกวนย่านอื่น สำหรับคอเบสไม่ควรพลาด สามารถแยกไลน์ เบส และกลองออกมาได้ค่อนข้างชัด (ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีตัวอื่น ทำได้ดีกว่านี้) เก็บตัวปานกลาง ซึ่งผมชอบเพราะจะได้ยินเสียงหางเบสเอาไว้ แบบโรยตัวช้าๆ

แรงปะทะ

                ตัวนี้ให้แรงประทะที่ค่อนข้างดี แม้จะไม่ได้กระแทกแบบตายไปข้าง แต่มีมาแบบพอดีๆ ไม่รุกเร้าจนเกินไป เน้นคุมจังหวะและออกมันส์ๆ นิดๆ

เสียงกลาง

                เสียงกลางค่อนข้างคมชัด และออกจะถอยไปด้านหลังเล็กน้อย นักร้องจะร้องเหมือนกับอยู่ห่างจากเราประมาณ 5 ก้าว ไม่ได้แนบชิดติดหู เพื่อแลกมากับการที่เสียงดนตรีออกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนตัวเสียงกลางค่อยข้างเหมาะกับแนวเพลงเบาๆ อย่าง Vocal และ Jass มากๆ ฟัง Norah Jones มีเคลิ้มบอกเลย

                หลังจากพ้นเบิร์น แล้วพบว่าเสียงกลางเปิดมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเสียงร้องของนักร้องนี่มันมีเสน่ห์ มากขึ้น มีเสียง ซ ส ที่ชัดแต่ไม่บาดหู ฟังแล้วได้อารมณ์มากๆ (แทบโยนหูฟังตัวเก่าทั้ง ฮ่าๆๆๆๆ)

เสียงสูง

                เป็นอีกสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ เพราะว่าเป็นหูฟังเน้นเบสที่ ให้เสียงแหล่มที่ค่อนข้างดี คือจะออกใสๆ พลิ้วไหวพอสมควร คมชัดได้ยินรายละเอียดดีทุกโน้ต เป็นเสียงแหลมที่ผมตามหาคือ คมชัด แต่ไม่บาดหู ช่วงแรกๆแอบกังวลว่าถ้าเบิร์นเสร็จมันจะออกมาบาดหูมั้ย แต่พอพ้น 400 ชั่วโมงไป เสียงนี่ไปได้ไกลสุดๆ ต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง และ DEMO เทียบไม่ติด

มิติโอบล้อมและเวทีเสียง

                ตัวนี้ถือว่าเป็นตัวที่มีเวทีเสียงปานกลาง ไม่ได้แคบและไม่ได้กว้างจนเกินไป ให้มิติโอบล้อมที่ค่อนข้างดีในช่วงด้านกว้าง ในด้านลึกมีความพอสมควร มันไม่ได้ลึกมาก แต่ลึกแบบพอดีๆ ทำให้เรารู้สึกของความลึกของเพลงได้ แยกแยะซ้ายขวาและ บาลานส์เครื่องเสียงระหว่าง สองข้างได้ดี  ทำให้แยกแยะตำแหน่งชิ้นดนตรีได้แม่นยำ

การปิดกั้นเสียง

                ตอนปิดเพลง เราจะได้ยินข้างนอกประมาณ 15%-20% ถือว่าซีลเสียงได้ดีในระดับนึง แต่พอเปิดเพลงเท่านั้นแหละ ไม่ได้ยินอะไรเลยครับพี่น้อง ดังนั้นใส่ไปข้างนอกต้องระวังเอามากๆ  

สรุป

                สำหรับคนชอบฟังเบส เป็นหูฟังอีกตัวที่พลาดไม่ได้เลย เพราะทำเบสออกมาได้ดี และจูนเสียงด้านอื่นๆ มาได้อย่างลงตัว แต่ว่าด้วยเสียงกลางที่ถอยหลังเล็กน้อย สำหรับคนที่ชอบฟังเสียงร้องอาจจะรู้สึกขัดใจนิดหน่อย แต่ถือว่าไม่ได้ถอยไปไหน แค่ออกห่างจากเราไป 1-2 ก้าว เท่านั้น เสียงแหลมทำได้ค่อนข้างดีทีเดียวสำหรับหูฟังแนว Warm tone ค่อนช้างคมชัดและทอดตัวไปได้ไกล

                ตัวเสียงนั้นค่อนข้างติดหูและฟังง่ายมากๆ เอาพวกเพลงตลาดๆ ทั่วๆไปได้อย่างดี รวมถึงเพลงช้าหรือแม้กระทั่ง Audiophile ก็สามารถฟังได้ แต่เสียงแหล่มยังสามารถไปได้สุดกว่านี้ถ้าหาสาย Upgrade ดีๆซักเส้น จะสามารถขุดรายละเอียดออกมาได้อย่างเต็มที่ (ซึ่งผมก็เลือก Pandora มา จะรีวิวเพิ่มเติมอีกที) อาจจะเป็นเพราะว่าค่อนข้างจะเน้นเสียงเบส จึงทำให้เสียงแหล่มไปได้ไม่สุดเท่าที่ควร แต่ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก

เหมาะกับแนวเพลงแบบไหน

                จริงๆ ค่อนข้างเหมาะกับทุกแนวเพลง ทั้งช้าทั้งเร็ว ตั้งแต่ Vocal Jass จนถึง Rock เลยทีเดียว แต่ๆๆ  ถ้าใครฟังขึ้นขั้นอยากได้เสียง กีตาร์ แสบๆหู มีอิมแพคแรง อย่าง metal มันจะไปได้ค่อนข้างดี แต่ไม่สุดนะ สำหรับแนวเพลงที่ต้องการเวทีเสียงกว้างๆแบบมหาสมุทรก็ไม่เหมาะ ฮ่าๆๆๆ เพราะตัวนี้เวทีมันกว้างปานกลาง

สำหรับคนที่อยากเพิ่มสาย Upgrade

                เนื่องจากขั้วมันแน่น มากๆๆๆๆๆๆ ต้องเอาคีมคีบออกทีเดียว ดังนั้นแรกๆจะเปลี่ยนสายลำบากหน่อย แต่ถ้าเปลี่ยนบางครั้งมันจะถอดได้ง่ายขึ้น ข้อควรระวังวำหรับ การเปลี่ยนสาย 2 pin นะครับ คือ เปลี่ยนสายบ่อยๆอาจจะทำให้ขั้วมันหลวมได้ดังนั้น อย่างเปลี่ยนบ่อยจนเกินไป

                        เอากล่องใหญ่ของทาง UE เลยนะครับ ไม่งั้นอาจจะใส่ไม่พอ เวลาใส่สาย Upgrade เพิ่ม

ข้อเสียที่ไม่ชอบ

1. คนอื่นใส่ไม่ได้ อยากจะแบ่งปันประสบการณ์แตคนอื่นมันใส่ไม่ได้ซะงั้นเศร้า (อันนี้ทำใจไว้แล้ว)

2. กล่องเหล็กทำให้พกพายากนิดนึงต้องใส่ในกระเป๋าใหญ่ ซึ่งกล่องเล็กมีข้อเสียต่อ อีกคือ มันใส่สาย Upgrade ไม่ได้ ต้องเอากล่อง G-SHOCK มาใส่แทน ซึ่งกล่องใหญ่มันก็พกยากอีก (สุดท้ายเฮียเอาประเป๋าตัวใหม่ Nobunaga Labs มาขายโคตรดีใจ เพราะมันทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ คือ กะทัดรัดและใส่ได้พอดีแบบใส่หูฟัง 2 ตัวได้สบายๆ โดยไม่เพิ่มพื้นที่เยอะ)

3.ต้องมาคอยแคะหูขี้หูออกเป็นระยะๆ

หมายเหตุการณ์ใส่ CIEM ครั้งแรก และอื่นๆ

1.มันจะเจ็บหูแบบสุดๆ เพราะเรายังไม่รู้มุมกับไม่ชิน

2. ต้องหมั่นทำความสะอาดเอาขี้หูออกเพื่อไม่ให้เกิดความชื้นสะสม

ตอนที่ 2 : เสียเงินรอบสองกับ Pandora เพราะเผลอไปอ่านรีวิวของ ท่านอาจารย์ Asura (เขรรรรรรร์)

                หลังจากฟังตัว UE11PRO ไปได้ประมาณ 3 เดือน ผมก็เริ่มอยากครอบครองสาย Upgrade ซะแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปบางอย่าง โดยเสียงแหลมที่คิดว่ามันน่าจะไปได้ไกลกว่านี้สิ เวทีเสียงมันต้องกว้างกว่านี้สิ เสียงกลางมันต้องอื่มกว่านี้สิ มันต้องมีแรงประทะมากกว่านี้สิ

                เป็นไงละ อาการคันหูรอบสองไง!! ประมาณช่วงต้นๆ ธันวาคม 2559 ผมกลับไป ร้านเฮียอีกครั้ง แล้วเริ่มทะยอยละเลงกำลังจะเทศ สาย Upgrade ปรากฏว่า ขั้วมันแน่นมาก เลยถอดไม่ออก ทำไงละครับ ต้องรบกวนพี่ๆที่สยามเอาคีมมาดึงให้

               ฟังไปฟังมา ไปติดใจสาย Leonidas ของ Effect Audio ว่าติดใจแล้ว แต่มันก็ยังขาดอะไรไปอยู่ดี  รู้สึกว่า เวทีมันยังไม่กว้างมาก  แล้วก็แหลมมันก็กระด้างเกินไป จึงไปศึกษาเพิ่มของคุณสมบัติเสียงของสายเงิน สายทองและ ทองแดงอีกครั้ง เลยสงสัยว่า มันจะมีซักเส้นมั้ย ที่รวมข้อดีทั้ง 3 อย่างเข้าด้วยกัน ค้นไปค้นมา ก็พบกับรีวิว Pandora ของ อาจารย์ Asura เข้าให้ (ตามไปดูได้ที่นี่ครับ https://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=209075)

                อ่านไปอ่านมา ของแบบนี้ต้องไป พิสูจน์เองสิ บึ่นไปสาขาเฮียอีกรอบในอีก 2 วันถัดมา จัด DEMO Pandora แบบไม่รอช้า แล้วพบว่านี่แหละ มันใช่เลย มันใช่ยังไง ต้องไปดูในหัวข้อเสียงของสายเมื่อ แมชกับ UE11PRO แล้ว

เริ่มต้นที่ Specification ของ Pandora กันก่อน

1. 99.9992% Pure Silver (Certified by SGS) hybrid with Gold plated 7NOCC Conductor in the outer layer (4 Gold wires)

2. 99.9992% Pure Silver (Certified by SGS) + 7N OCC Copper (6 Metallic Brown wires)

                แปลจากด้านบนนะครับ โดยเจ้า Pandora เนี่ย ประกอบไปด้วยสายทั้งหมด 10 เส้น ถักร้อยกันอย่างประณีตจนกลายมาเป็นสายหูฟังระดับพรีเมี่ยม โดย 4 เส้นแรกจะเป็นเงินบริสุทธิ์ 99.9992% ชุบด้วยทองคำบริสุทธิ์ (จะเป็นสีออกทองๆ) และ อีก 6 เส้นเป็น เงินบริสุทธิ์ผสมทองแดง(จะมีสีออกน้ำตาล)

                จัดมาแบบเป็น 2 Pin และหัวเป็น 2.5mm เพราะกะว่าอาจจะมีซื้อ เครื่องเล่นต่อ และ Adaptor 2.5mm to 3.5mm อีก 1 เส้น 

ตอนที่ 2 : เสียเงินรอบสองกับ Pandora เพราะเผลอไปอ่านรีวิวของ ท่านอาจารย์ Asura (เขรรรรรรร์)

                หลังจากฟังตัว UE11PRO ไปได้ประมาณ 3 เดือน ผมก็เริ่มอยากครอบครองสาย Upgrade ซะแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปบางอย่าง โดยเสียงแหลมที่คิดว่ามันน่าจะไปได้ไกลกว่านี้สิ เวทีเสียงมันต้องกว้างกว่านี้สิ เสียงกลางมันต้องอื่มกว่านี้สิ มันต้องมีแรงประทะมากกว่านี้สิ

                เป็นไงละ อาการคันหูรอบสองไง!! ประมาณช่วงต้นๆ ธันวาคม 2559 ผมกลับไป ร้านเฮียอีกครั้ง แล้วเริ่มทะยอยละเลงกำลังจะเทศ สาย Upgrade ปรากฏว่า ขั้วมันแน่นมาก เลยถอดไม่ออก ทำไงละครับ ต้องรบกวนพี่ๆที่สยามเอาคีมมาดึงให้

               ฟังไปฟังมา ไปติดใจสาย Leonidas ของ Effect Audio ว่าติดใจแล้ว แต่มันก็ยังขาดอะไรไปอยู่ดี  รู้สึกว่า เวทีมันยังไม่กว้างมาก  แล้วก็แหลมมันก็กระด้างเกินไป จึงไปศึกษาเพิ่มของคุณสมบัติเสียงของสายเงิน สายทองและ ทองแดงอีกครั้ง เลยสงสัยว่า มันจะมีซักเส้นมั้ย ที่รวมข้อดีทั้ง 3 อย่างเข้าด้วยกัน ค้นไปค้นมา ก็พบกับรีวิว Pandora ของ อาจารย์ Asura เข้าให้ (ตามไปดูได้ที่นี่ครับ https://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=209075)

                อ่านไปอ่านมา ของแบบนี้ต้องไป พิสูจน์เองสิ บึ่นไปสาขาเฮียอีกรอบในอีก 2 วันถัดมา จัด DEMO Pandora แบบไม่รอช้า แล้วพบว่านี่แหละ มันใช่เลย มันใช่ยังไง ต้องไปดูในหัวข้อเสียงของสายเมื่อ แมชกับ UE11PRO แล้ว

เริ่มต้นที่ Specification ของ Pandora กันก่อน

1. 99.9992% Pure Silver (Certified by SGS) hybrid with Gold plated 7NOCC Conductor in the outer layer (4 Gold wires)

2. 99.9992% Pure Silver (Certified by SGS) + 7N OCC Copper (6 Metallic Brown wires)

                แปลจากด้านบนนะครับ โดยเจ้า Pandora เนี่ย ประกอบไปด้วยสายทั้งหมด 10 เส้น ถักร้อยกันอย่างประณีตจนกลายมาเป็นสายหูฟังระดับพรีเมี่ยม โดย 4 เส้นแรกจะเป็นเงินบริสุทธิ์ 99.9992% ชุบด้วยทองคำบริสุทธิ์ (จะเป็นสีออกทองๆ) และ อีก 6 เส้นเป็น เงินบริสุทธิ์ผสมทองแดง(จะมีสีออกน้ำตาล)

                จัดมาแบบเป็น 2 Pin และหัวเป็น 2.5mm เพราะกะว่าอาจจะมีซื้อ เครื่องเล่นต่อ และ Adaptor 2.5mm to 3.5mm อีก 1 เส้น 

หน้าต่อหล่อเหลาเอาการมากๆ สวยแต่ปัญหามีข้อเดียว ผมคงใช่เวลาซักพักกว่าจะกล้าใส่ไปข้างนอก เดี๋ยวมีคนฆ่าชิงทรัพย์ ฮ่าๆๆๆ

                มาดูที่ตัวกล่องที่ให้มานั้นค่อนข้าง ดูพรีเมี่ยมมากๆ ภายในเป็น ผ้าสักหลาด พร้อมกับถุงใส่สายเป็นกำมะหยี่ ภายนอกดูแลมากๆครับ (พอดีน้องผมมือบอล มันเอาสติ๊กเกอร์ที่ติดข้างในมาติดข้างนอกด้วยความหวังดี ฮ่าๆๆๆ)

                ตัวสายค่อนข้างหนากว่าสายอื่นๆครับ ถัก 10 เส้นสวยงาม พร้อมให้แจ็คแบบตรงสีทองสวยงาม ตรงขั้วมีการสลักตัวอักษร L และ R ไว้อย่างลงตัว และมีพลาสติดเป็นฉนวนหุ้มตรงช่วงสายบริเวณขั้ว ทำให้เป็นรูปทรงคล้องหูได้อย่างง่ายดาย

                สายนี้ค่อนข้างมีน้ำหนักพอสมควรครับ ถ้าใครไม่ชินอาจจะรู้สึกหนักหูได้ครับ

ในส่วนของ Adaptor นั้นคือสาย Pandora นั่นเอง!!!! แบบโดนตัดมาแล้วเอาขั้วมาต่อ 2.5mm-3.5mm ดีกว่า Version เก่าครับ เมื่อเชื่อมติดกับตัวหลักนึกว่าสายเส้นเดียวกัน!!

หมายเหตุสำหรับ Adaptor คือ พี่เค้าก็เตือนแล้วว่ามันมีโอกาสเสียง่าย แต่ด้วยความที่ว่า วางแผนจะเอาเครื่องเล่น แล้วไงต่อละ ต้องพับเก็บเพราะแฟนไม่ให้ งานเข้าเบย ส่งเคลมไป 1 รอบแล้วด้วย ผมเลยเสียวๆว่ามันจะเสียอีกเมื่อไหร่

***ซึ่งลักษณะอาการที่เสียคือ มันจะไม่แยกซ้ายขวา เสียงทุกอย่างจะกองรวมกันจนเละเทะไปหมด***

หลังจากเบิร์นจนเสร็จจนครบ 300 ชั่วโมง มาดูการเปลี่ยนแปลงของเสียงดีกว่า

                สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม

                เริ่มจากเวทีเสียงก่อน เพราะเป็นสิ่งที่ เห็นได้ชัดมากๆ เพราะมันกว้างขึ้น เหมือนฟังใน ฮอล ยังไงอย่างงั้นเลย ทั้งมิติด้านกว้างและลึกถูกดึงออกไปอีก จากห้องอัดกลายเป็นฮอล เวอร์ไปป่าวเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่

สเกลเสียงของเครื่องดนตรีและนักร้องที่ใหญ่ขึ้น!! ใช่แล้ว เวทีกว้างขึ้น โดยที่ชิ้นดนตรีก็แสดงศักยภาพออกมามากขึ้นด้วย ทำให้ได้ยินพวก Micro Detail พวกการสั่นของพวกเครื่องสายนี่คือชัดเจนมากโดยที่ไม่ต้องเร่งเสียง ให้ดังมาก

ผมยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จากไฟล์ MQA (ผมไม่รู้ชื่อเพลงนะ เพราะชื่อไฟล์มันเป็นตัวเลข รู้ว่ามีเพลงนึงคือ Hotel California) พวก Detail เล็กๆ แต่ไม่แน่ใจว่าพวกหูรุ่นใหญ่ๆกว่าจะทำให้ชักกว่านี้รึเปล่า

                ในส่วนของ เบส นั้น ทำให้เบสกระชับมากขึ้นแต่ไม่ทำให้การโรยตัวอย่างเป็นธรรมชาติหายไป และขอบเขตและหัวโน๊ตของเบสชัดมากขึ้น โดยไม่ทำลายบุคลิก ดั้งเดิมของหูฟัง ในส่วนของแรงปะทะทำได้ยอดเยี่ยมกว่าที่เคย คือมันจะเพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึงและสมจริงกว่าเดิม แต่ไม่ได้กระแทกกระทันแบบสะใจ ยังไงเป็น อิมแพคที่มีความ ดุดันในความสุภาพนอบน้อม

                เสียงกลางพวกนักร้อง ทำได้ดีขึ้น โฟกัสนิ่งขึ้น โดยเฉพาะนักร้องหญิงที่ทำให้ได้ยินคำร้องชัดถ้อยชัดคำมากขึ้น และเสียงกลางของกีตาร์โปร่งที่บอกได้เลยว่า ได้อารมณ์สุดๆ มันคือเสียงที่ผมตามหา ตอนนี้นั่งฟังพวกเพลง Acoustic เพราะขึ้นอีก เสียงกลางแหลมก็เป็นอีกตัว ที่ทำได้ดีครับมันเปิดมากขึ้น (แต่อันนี้ผมไม่ชอบจุดเดียว ทำให้เสียง ซ และ ท ตามไรฟันมันบาดเล็กน้อย แต่พอรับได้เพราะมันไม่มากนัก)

                เสียงแหลมตามคาดครับ ไปไกลกว่าเดิมอีกเท่าตัว โดยการตีฉาบในเพลง Cryout ของ One Ok Rock ผมสัมผัสได้ถึงเสียงฉาบและ สแนร์ ที่ชัดเจนและเสียงใสขึ้นมาก โดยที่ไม่บาดหูให้กวนใจ มีประกายเสียงแหลมที่สะอาดมากขึ้นตามลำดับขั้น

สรุป

                สาย Pandora เป็นสายที่มี คาแรกค์เตอร์เสียงกลางๆ คือ เมื่อใช้กับหูฟังอะไรก็ตาม เหมือนเป็นการอัพเกรดคุณภาพเสียงในทุกๆด้านมากกว่า ที่จะเปลี่ยนแปลง คาแรคเตอร์ของหูฟังไปเลย เป็นอีกสายที่ดีและผมคิดว่าคุ้มค่ามากๆ เสียอย่างเดียว เส้นมันใหญ่ไปหน่อย!!! ฮ่าๆๆๆ และตามที่ท่านอาจารย์ Asura บอกไว้ไม่มีผิดว่า “มันทำให้หูฟัง IEM กลายเป็น Full Size ขนาดย่อมๆได้เลย”  มันเป็นสายที่เก่งทุกด้านโดยเฉพาะย่านกลางจริงๆ และทำให้การฟังเพลงดีขึ้นไปอีกหลายขุม

ส่งท้าย

                ทุกคนคงจะสงสัย ผมใช้เพลงหรือเครื่องเล่นอะไรฟัง โดยหลักๆนะครับ ผมใช้ Iphone 6S วะ!! งงเด้ๆๆ กับ App Neutron ตามที่คุณหลุยส์เคยแนะนำไว้ ซึ่งมันเป็น App ที่ดีตัวนึงเลย เล่นไฟล์ได้เกือบทุกนามสกุล ถึง DSD เลยทีเดียว แต่ผมก็ยังคิดว่า เครื่อวเล่นก็ยังดีกว่า เพราะเคยฟังเทียบแล้วมันคนละชั้นจริงๆ แต่ผมต้องฟังพวก AK380 นะ เพราะฟังจาก AK300 แล้วฟังไม่ค่อยออกจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ

จบบริบูรณ์