จากคราวที่แล้วได้มีโอกาสพูดถึง John McLaughlin ในอัลบั้ม After The Rain และอิทธิพลงานเพลงจาก The Mahavishnu Orchestra ในช่วงเวลาเดียวกับที่ John มีการรวมวงขึ้นใหม่อีกครั้งระหว่างช่วงกลางศตวรรษที่ 80s จนถึงช่วงสุดท้ายของวง Mahavishnu Orchestra ได้มีมือเบสกีตาร์คนใหม่ที่มีสไตล์น่าสนใจจนเตะตา John จากการแนะนำของ Michael Brecker นั่นคือ Jonas Hellborg มือเบสกีตาร์ชาวสวีเดนที่ได้มีส่วนร่วมกับ John Mclaughlin ในอัลบั้ม Mahavishnu และ Advertures in Radioland ในทศวรรษดังกล่าว
ผมได้มีโอกาสต้อนรับ Jonas Hellborg เมื่อครั้งเดินทางมาเที่ยวเกาะสมุยและกำลังจะกลับตปทเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเพราะมีความสนใจในค่ายเพลง Bardo Music ของเค้ามานาน ด้วยสังขารที่เปลี่ยนไปทำให้ผมแทบจำไม่ได้ หนุ่มรุ่นใหญ่ตัดผมทรงสกินเฮดในชุดดำทะมึนดูช่างเป็นคนลึกลับเฉกเช่นเดียวกับงานเพลงในแบบ Experimental Rock, Indian Jazz Fusion ที่สร้างชื่อเสียงให้เขานับแต่แยกจากวง Mahavishnu Orchestra และไปปักหลักใน New York, Paris อย่างยาวนานออกผลงานร่วมกับศิลปินสาย Underground ทั้งในสหรัฐและยุโรปภายใต้สังกัด Day Eight Music และท้ายสุดกับค่ายตนเอง Bardo Music
ในราวช่วงเปลี่ยนผ่านใน 2000 ผมได้มีโอกาสฟังผลงานที่ไม่สามารถหาคำนิยามของ Jonas Hellborg ที่ได้รับอิทธิพลทางดนตรีจาก Jimi Hendrix ในอัลบั้ม Good People in Times of Evil ที่เป็นการออกผลงานร่วมกันระหว่างเขากับพ่อมดมือกีตาร์อย่าง Shawn Lane และมือเพอร์คัสชั่นชาวอินเดีย V.Selveganesh ที่มีชื่อเสียงน่าจะเป็นรองแค่ Zakir Hussain มือ Tabla ตำนานของโลก โดยที่ Selveganesh เป็นที่รู้จักเพราะเป็นลูกชายของมือเพอร์คัสชั่น Vikku Vinayakram แห่ง John McLaughlin’s Shakti ต้นฉบับและขณะเดียวกันเขาได้กลับมาร่วมงานแทนคุณพ่อเมื่อ John McLaughlin ต้องการฟอร์มวง Remember Shakti อีกครั้งในช่วงเปลี่ยนผ่านปี 2000 หลังจากนั้นมาโลกได้รู้จัก V.Selveganesh ที่สืบทอดตำนานการเล่น Gatham (คล้ายไหดินเหนียวที่มีโทนเสียงที่แตกต่างกันในการตีบนตัวไหด้วยปลายนิ้วที่สวมปลอกนิ้ว) และ Kanjira (เป็นเฟรมดรัมคล้ายๆ Tambourine) ซึ่งจัดเป็นเครื่องดนตรีโบราณของอินเดียตอนใต้
จะว่าไปแล้วผมได้มีโอกาสชมการเล่นของ V.Selveganesh เมื่อเล่นร่วม Remember Shakti เมื่อสิบกว่าปีก่อน พร้อมมือ Electric Mandolin (เป็นแบบพิเศษที่ใช้เป็น 5 Single Strings) ที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง U Srinivas (น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมาเอง) ทั้งสองแสดงความมหัศจรรย์ทางดนตรีในแบบที่เรียกว่าเป็น Virtuoso เรียกเสียงปรบมือกึกก้องทุกครั้งที่โซโล่ ซึ่งทั้งคู่เป็นคนหนุ่มที่คาดหมายจะเป็นดาวจรัสแสงในวงการดนตรี East Meet West ถึงขนาดที่ U Srinivas ได้รับการเรียกขานจากสื่อในอินเดียว่าเป็น Mozart of Classical Indian Music กันเลยทีเดียว
ส่วน Shawn Lane มือ Electric Guitar ที่เล่นได้ไวและมีจินตนาการอย่างมาก (ก็มาด่วนจากไปอีกคนเมื่อปี 2003) โดยมีความชำนาญทั้งการเล่น Keyboard และ Guitar อย่างหาตัวจับยากได้รับอิทธิพลจาก Allan Holdsworth, Art Tatum, Franz Liszt ก่อนที่จะร่วมหัวจมท้ายกับ Jonas Hellborg ในช่วงราวกลางทศวรรษที่ 90 จนถึงบั้นปลายสุดท้ายของชีวิต
โดยผลงาน Good People in Times of Evil ที่ออกในปี 2000 กับความสะใจทางดนตรีกว่า 52นาทีนั้นเป็นบันทึกการแสดงสดในบอมเบย์หรือมุมไบในปัจจุบันโดยได้แขกรับเชิญนักเล่น Sarangi (เครื่องสายคล้ายไวโอลินแต่มีซาวด์เฉพาะตัวอีกหนึ่งเครืองดนตรีโบราณของอินเดีย) Ustad Sultan Khan มาช่วยเติมสีสันให้ในสองแทร็คคือ Aga of The Ladies และ Bhaki Ras ที่เหลือเป็นการบันทึกในสตูดิโอที่อิตาลีทำให้ดนตรีทีมิกซ์ระหว่าง Improvised Music, Classical Indian และสปีดที่ว่องไวจาก Electric Guitar ของ Shawn Lane อันเป็นส่วนผสมทางดนตรีที่แปลกและเป็นเอกลักษณ์ของอัลบั้มนี้เป็นอย่างมาก โดยเป็นผลงานประพันธ์ที่ Jonas Hellborg แต่งเองเกือบหมดมีเพียงสองแทร็คที่ร่วมกับมือเพอร์คัสชั่น Selveganesh (How Would You like to Be?) และ Khan (Bhaki Ras) เท่านั้น
การเดินเบสของ Jonas Hellborg ต้องเรียกว่า exceptional performance จริงๆ ผมสัมผัสถึงจินตนาการที่ไม่หยุดนิ่ง การสร้างกรู๊ฟสวยๆให้กับวงหรือช่วงโซโล่ที่โดดเด่น สลับกับการกรีดกรายของงานกีตาร์จาก Shawn Lane และการให้จังหวะที่แทบไม่ผิดพลาดจากเครื่องดนตรีให้จังหวะอย่าง Ghatam และ Kanjira ของ Selveganesh มันประดุจกาแฟสำเร็จรูป 3 In 1 ที่ดูเหมือนชงดื่มได้เลยอย่างง่ายๆ แต่สำหรับผู้เล่นคงเป็นสิ่งที่ยากที่จะมีนักดนตรีในช่วงเวลาเดียวกันนับจากนี้ที่จะสร้างสรรค์ผลงานเช่นนี้อันเป็นการท้าท้ายโลกดนตรีและเป็นแนวทางให้ดนตรีรุ่นใหม่ๆได้ศึกษาที่จะนำเสนอผลงานที่แตกต่างให้กับวงการดนตรีที่เต็มไปด้วยการ Copy and Paste ในทุกวันนี้ครับ
งานปก Digipak ที่หลุดโลกกับลุงที่คาบไปป์ฺที่มันยาวมาก (ไม่รูว่าเรียกว่าอะไร) กับรายละเอียดเล็กน้อยเฉพาะการบันทึกเสียงมันช่างแตกต่างจากเรื่องราวทางดนตรีที่ซับซ้อนอย่างน่าฉงนอัลบั้มนี้จริงๆ