สืบเนื่องจากการที่ผมได้ตระเวนหาหูฟังมาใช้ฟังเวลาอ่านหนังสือ หรือพิมพ์งานต่างๆ ซึ่งโจทย์ของผมในคราวนี้นั้นแตกต่างจากครั้งก่อนๆที่ผมหาหูฟังโดยสิ้นเชิง คืนเน้นน้ำหนักที่เบา มีคุณภาพเสียงดีเยี่ยม ที่สำคัญต้องไม่เกี่ยง source จิ้มเล่นอะไรก็ให้เสียงที่ดีฟังเพลินได้ เพราะผมเดินทางบ่อย แต่ก็อยากได้เสียงดีด้วยในตัว จึ่งค่อนข้างเน้นเรื่อคุณภาพเสียงมากๆ จุดสำคัญอีกจุดคือน้ำหนักที่เบา ผมก็ไล่ฟังตั้งแต่ HD600 HD650 HD800s Audio technica ad2000 AKG K712 K812 ค่ายต่างๆรวมไปถึง Grado ps500e ps1000e และ gs1000e สำหรับเพลงที่ผมใช้ฟังนั้น ก็ครอบจักรวาลไล่ตั้งแต่เพลง jazz ยันเพลง heavy metal ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังกับ Grado มากนัก เพราะตัวเลือกในใจนั้นผมมีอยู่แล้ว ผสมกับที่อ่านดูจากรีวิวผสมกับประสบการณืที่เคยเล่น Grado ทั้ง GS1000/PS500/RS1/SR80/SR125/PS1000 รุ่นเดิมๆ ที่ค่อนข้างจุกจิกทั้งการส่วมใส่ การแมชชิ่ง รวมถึงคุณภาพเสียงรวมๆที่ออกเฉพาะทางมากเกินไป มิติบี้ๆตีๆกันไร้ทิศทางโดยสิ้นเชิง แต่ลึกๆผมยังชอบฮาร์โมนิกของๆเสียงแหลมจากกราโด้ รวมถึงชอบเสียงร้องของๆ Grado ซึ่งสมัยที่เล่นตัวซีรีย์เก่าๆ เวลาเบินร์ได้ที่แล้ว ผมคิดว่าให้เสียงร้องที่ฉ่ำพริ้ว กังวาล ไม่หนาไม่บางเป็นธรรมชาติมากๆ แถมยังพุ่งมาในตำแหน่งที่พอเหมาะพอเจาะพอดี ซึ่งสองข้อนี่นั้นผมประทับใจมันมากๆ แต่รวมๆ ก็ยังไม่ได้คาดหวังอะไรกับ Grado มากเท่าไหร่ เพราะหลังจากที่เล่นหูฟังยุคหลังๆ พวก planar อย่าง Audeze/Hifiman ด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งลืม Gradoเดิมๆ เข้าไปใหญ่
ตัดฉากเข้ามาตอนที่ผมลองฟังครับ ตอนที่ผมฟัง ผมเน้นสามคำ ว่ารอบนี้ เน้น โปร่ง เนียน ฉ่ำกังวาล ตัวเลือกในใจก่อนไปฟัง คือ AKG k812/K712 พอฟังไปเรื่อยๆ ผมก็เจอกับปัญหา sibilance ของเสียงร้อง เวลานักร้องร้องเสียงสูงๆหรือขึ้ย้ำน้ำหนักพวกตัว ช ส ซ S ต่างๆ ปลายเสียงแตกพร่า ซึ่งผมลองทั้ง AKG Sennheiser Audio-technica เป็นกันหมดทุกตัว ไม่เว้นแม้แต่ HD800 อีกข้อหนึ่ง คือเสียงของเครื่องดนตรีบางชิ้น มันออกสังเคราะห์ๆไปหน่อย ซึ่งสองข้อนี้ ผมค่อนข้างเน้น แรกๆผมตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นที่การแมซซิ่ง เพราะร้านที่ผมลอง ใช้แอมป์หูฟัง Moon 430HA ซึ่งมันก็ถือว่าอยู่ในระดับ ultra hi-end ของโลกหูฟัง DAC ที่ใช้คู่กันนั้น ถ้าดูไม่ผิด น่าจะเป็น Bryston แต่เป็น DAC1/2 ผมไม่แน่ใจ แต่ที่มั่นใจคือทั้งสองค่ายนี้ เสียงมันออกไปท่างโปร่งใส ค่อนไปทางคม ซึ่งเครื่องเสียงบ้านของ Moon ก็ออกไปทางแนวนั้นจากที่ผมเคยสัมผัส ผมเลยสรุปเอาเอง ณ ตอนนั้น ว่าน่าจะเป็นที่ชุดอาจจะสว่างเกินไป แถมหูตัวถัดไปที่กำลังจะหยิบมาสวมหัว เป็น Grado GS1000e ซึ่งจากประสบการของผม ทำให้ผมไม่คาดหวังอะไรมันมาก เพราะในใจของผม ก็ยังฝังอยู่ว่า ถ้า HD800 ไปไม่รอด GS1000/PS1000 ทั้งคู่คงไม่ผ่านแน่ๆ
แต่นี่แหละครับ Surprise ครั้งใหญ่ เพราะถึงแม้เสียงของ Grado ที่ยังไม่ burn-in เต็มที่ จะออก แห้ง บาง คม ว่าง่ายๆคือมันไม่มีอะไรไปสู้ใครเค้าได้เลย รอบนี้ที่ฟัง ก้ยังได้อารมณ์ความทุเรสแบบครบๆ เพราะร้านหยิบตัวจากกล้องให้ฟังเลย ซึ่งจะว่าแล้วก้ไม่แฟร์เพราะตัวคู่ชกทั้งหลายผ่านการรันอินมานับชัวโมงไม่ถ้วน ทว่า เสียง Sibliance ที่ผมตั้งใจจับแบบใจจดใจจ่อ มันไม่มีแล้วครับ เสียงกลม ส่วนเบส แม้จะไม่ได้เป็นสายลงลึกพื้นสั่น แต่มาเป้นลูกๆ timing ดี กระชับ อิมแพคแรง นี่คือความรู้สึกรวมๆที่ผมจับได้ ในความ muddy มันก้ยังเหลือ คาแร๊กเตอร์เหล่านี้อยู่ครับ ส่วนเสียงแหลม ปลายแหลมก็ตามฟอมร์ของหูที่ยังไม่เบินร์ครับ คือสากแห้ง แต่ในความสากแห้งห้วนของมัน ผมจับได้ว่ามันมีน้ำหนักมากกว่าทั้ง K812/HD800 คือาไตล์อาจจะดุกว่า ปริมานมากกว่า แต่มันมาแบบไม่บาดหูครับ กลมกลื่นไปกับย่านอื่นๆมากกว่า ซึ่งหลังจากที่สลับเข้าสลับออกไปๆมาๆระหว่าง 812/800/1000 ผมก็ยอมเสียงวัดดวงกับกราโด้ และพวานาว่าหลังเบินร์อิน พวกมิติ ดุลเสียงต่างๆ รวมถึงโฟกัส เบส เสียงกลางต่ำ จะฉ่ำใสทันสมัยเหมือนค่ายอื่นๆ เพื่อแลกกับเสียงแหลมที่ดูเกรนเนียนมีน้ำหนักมากกว่าคนอื่น คือตัวอื่นๆจะมาเป็นประกาย มีความคม มากกว่า Grado แม้อาจจะมีปริมานไม่มากเท่า แต่สำหรับผม ผมว่าด้วยบุคลิกแหลมแบบนี้ ภาพรวมฟังนานๆจะล้าหูครับ สรุปได้ Grado GS1000e กลับบ้าน ส่วน PS1000e แกะกล่องมาก็อาการเดียวกับ GS ครับ แต่ด้วยน้ำหนักของมันที่พอๆกับ LCD-3/HE-500 ที่ผมใช้อยู่ ผมเลยตัดมันทิ้งไปครับ
พอมาถึงบ้าน ลองแกะฟังจิ้มกับแอมป์ DAC ชุดที่ใช้ เสียงมันไม่เหมือนกับ Grado ยุคแรกๆที่ผมเคยใช้ครับ คือมันพอฟังได้ตั้งแต่แกะลอง แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้าฟังจริงจัง ผมถือว่าราคา 3000 ยังแพงเกินไป สำหรับหูฟังสามหมื่นเฉียดสี่หมืนแบบนี้ แต่จากที่ผมเล่นกราโด้มาทั้งหัวเข็มทั้งหูฟัง ก้ทราบดีกว่ามันต้องรันอินนานพอสมควร ผมเปิดเพลงรันมันไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ใช้แผ่นของๆ Wilson Audio, PAD รวมถึงเพลงร๊อคของๆ Metallica, Nightwish ยันแจ๊สของๆ Miles davis, michael frank รวมๆน่าจะ 50-60 ชม เรื่อยๆครับ หยิบมาฟังอีกที ผมถึงกับตกใจ เพราะขนาดจิ้มต่อจาก LCD-3 ผมไม่รู้สึกว่าเสียงมันแห้ง หยาบ โด่งกลาง แหลมพุ่ง อะไรเลย ซึ่งมันต่างจากความรู้สึกสมัยที่ผมใช้กราโด้เดิมๆชิ้นเชิง กลับกัน ที่ผมสัมผัสได้ คือเสียงแหลมที่เนียนมากๆ กังวาลมากๆ และฉ่ำมากๆ ต่อมาเสียงกลาง มันไม่ใช่กลางที่หนาอิ่มแบบหูฟังตัวอื่นๆที่ผมมี มันเป็๋นเสียงกลางที่โปร่งติดหวานด้วยครับ มวลไม่บางไม่หนา มีความไหลลื่นสูง และไม่แห้งหยาบแบบที่ซีรีย์ก่อนๆ ออกใสหวาน พุ่งนิดๆ คือติดอ้อนนิดๆครับ ส่วนเบส ผมไม่ประทับใจอะไรเป็นพิเศษนะครับ แต่ถือว่ามีมวลมากกว่าที่ผมเคยได้จาก GS1000 กับสะอาดขึ้นหน่อยๆ ภาพรวมๆผมถือว่าก่อนเบินร์หลังเบินร์ ต่างกันเยอะมากน่าจะราวๆ 40% ได้เลยครับ คือแนวมันไม่ได้เปลียนเป็นหูคนละตัวครับ แต่บรรยากาศ ความใสเคลียร์ เนื้อเสียง มิติ โฟกัส มันดีขึ้นแบบลืมความทุเรสตอนแกะกล่องเลยครับ รวมๆบุคลิก กลายจากสากเสี้ยนเป็น ms-pro ที่มีเบสมีมิติมีเนื้อหนังมากขึ้น ซึ่งถือว่าถูกใจอย่างแรงสำหรับผม แต่ไม่ใช่มันร๊อคไม่ได้นะครับ เปิดเพลงร็อควัยรุ่นอย่าง avenged sevenfold อิมแพคของกระเดือง เสียงกลางพลุงพล่ายของกีต้า ยังมาแบบสไตล์ Grado แบบครบๆครับ ที่ต่างจาก RS-1 เดิมๆ ผมว่าตัวนี้สะอาดกว่าครับ คลีนขึ้น ถ้าเล่นกีต้า เหมือนอัพจาก Gibson SG ไปเป็น ES335 หรือ Les Paul แหละครับ
โดยรวมๆถือว่าเป็นหูฟังที่ผมประทับใจมากที่สุดที่เคยซื้อตัวหนึ่งเลยครับ เสียงของมัน เหมือนลำโพง magnepan ตัวเก่งของผมมากๆครับ ซึ่งเอาเข้าจริงๆผมว่า E series นี่ อัพเกรดจากของเดิมๆมาค่อนข้างเยอะครับ เท่าที่ผมฟังแบบจับผิด ผมว่า e series น่าจะเก็บพวกรายละเอียดปลียย่อย ไมโครดีเทลต่างๆ ให้มันสมัยนิยมกับ audiophile มากขึ้นครับ เพราะเท่าที่ผมจำได้ตอนขาย GS1000/PS1000 ตัวเดิมๆ นั้น ผมไม่ได้ชอบมันขนาดนี้ และจำได้ว่ามันสากเสี้ยน มัว บาด จุกจิกเรื่องset up ไม่ครบเครื่องเท่านี้ ทีเด็ดมากๆของ e series อีกอย่างคือมิติครับ มันไม่ได้กว้างเท่าพวก K812/HD800 หรือสูงเท่า LCD3 แต่ที่มันให้มา คือช่องไฟระหว่างชินดนตรี กับมิติเชิงลึก และโฟกัสครับ มันนิ่งมาก และเวทีสวยมากๆ ครับ ซึ่งตัวซีรีย์ก่อนๆ จะ จะว่าไป ที่ผมเขียนมา ไม่ใช้ผมเพ้อไปเองเรื่องการเบินร์หรืออะไรครับ เพราะผมเทียบกับ LCD-3 ตลอด 50-60 ชม นั้นครับ ซึ่ง ชม แรกๆ ก็อย่างว่าครับ แทบเก็บเข้ากล่อง พอหลังๆ ผมก็มารู้ตัวอีกทีว่าเสียงแบบนี้นี่แหละ ที่ผมตามหามานานตลอดการเล่นหูฟัง คือมันไม่ได้ให้เสียงที่เที่ยงตรงอะไรเชิงเทคนิคที่สุด ใครที่ชอบแนวๆหนาอิ่ม เนิบๆ โออ่า ขึ้นสุดลงสุด น้ำหนักชัดเป็นชัด หนักเป็นหนัก พวกนี้หาไม่ได้ใน grado ครับ สิ่งที่ Grado ใหม่ๆให้ได้ คือความโปร่งกังวาล ละเอียด ฉับไว เนียน สะอาด นิ่ง อีกจุดย่อยๆที่ผมจังเกตุได้อีก คือผมคิดว่ามันให้ timbre ของเครืองดนตรี และบรรยากาส สมจริงเหมือนเล่นสดมากกที่สุดตัวหนึ่งเลยครับ เหมือนเราหลับตาแล้วอยู่กลาง hall concert ยังไงยังงั้นครับ แถมฟังเพลงได้ทุกแนวแบบสนุกๆไม่เกียง ซึ่งตอนฟัง แทบทุกครั้งผมเพลินกับเสียงเพลงมากๆจนไม่คิดจะจับผิดเสียงอะไรเลย ซึ่งอารมณ์แบบนี้ หาได้ยากมากกับหูฟังยุคนี้หรือแบรน์อื่นๆครับ คือฟังแล้วได้อารมณ์ร่วมกับเพลงนั่นเอง
ปิดท้ายที่อีกตัวที่ผมประทับใจมากๆ คือ PS500e ครับ ถ้าไม่ได้จะฟังจับผิด ฟังแบบเพลินๆ สนุกๆ ได้ทุกอารมณ์ ในไลน์กราโด้ ผมว่ารองจาก GS1000/PS1000 นี่น่าจะเป็นตัวนี้แหละครับที่ลงตัวมาก มีสเน่ห์แบบกราโด้ครบๆโดยแก้ไขเรื่องบาล๊านส์ดุลเสียงของกราโด้ยุค rs-1 ครองโลกได้อย่างลงตัว ps500e ตัวที่ร้านที่ผมลองนั้นผ่าน burn-in แล้ว เสียงมันโทนเดียวกับ GS1000e ของผมตอนนี้เลยครับ เพียงแต่แหลมอาจจะ roll-off มากกว่า และมีปริมานนที่น้อยกว่าหน่อย แต่ภาพรวมนั้นใกล้กันมากครับ ต่างกันที่เกรนเสียง กับความกระจ่างหน่อยๆ แต่สำหรับราคานั้น ผมให้เป็น best buy เลยครับเมือเทียบกับตัวอื่นๆที่ราคาเดียวกัน คือมันอาจจะไม่สุดสักด้านเท่าตัวอื่นๆ แต่มันครบเครื่องฟังได้ทุกอารมณ์ หลากหลายที่สุดครับ ซึ่งถ้าใครมีอะไรแชร์ คุย สอบถาม ก็เชิญนะครับ สุดท้ายนี้ถ้าท่านไหนอยากไปลองฟัง หรือซื้อครอบครอง ต้องทำใจนิดๆนะครับเพราะว่าตัวลองนั้นเสียงมันไม่เหมือนตัวที่พ้นเบินร์เอาเสียเลยครับ ดังนั้นถ้าเกิดสนใจขึ้นมา อย่างเพิ่งพลานหัวเสียกับบทความของผมครับ ลองทนเบินร์ด้วยไฟล์ดีๆเพลงดีๆ แล้วมันจะกลายร่างเป็นเสียงที่ผมบรรยายเลยครับ ซึ่งของผม พอเบินรืได้ 80 ชม เอาไปให้ที่ร้านลอง ทั้งคนขายทั้งเจ้าของร้านตกใจกับเสียงทุกคนเหมือนกันครับ