เสียงกรีดร้องของ Electric Guitar ดิบและเร่าร้อนจากทริโอแห่งดินแดนจุดเยือกแข็งอย่างนอร์เวยพร้อมเบสไลน์ที่แน่นปั๋งสลับกับงานกลองที่หนักหน่วงจากวง HM3 หรือ Hedvig Mollestad Trio ที่นำโดยมือกีตาร์หญิง Hedvig Mollestad Thommasen กับมืออิเล็กทริคและ Upright Bass ที่เป็นสุภาพสตรีเช่นกัน Ellen Brekken เหลือมือกลองที่เป็นผู้ชายหัวเดียวกระเทียมลีบ Ivar Loe Bjornstad แทบไม่อยากเชื่อว่าวงหนุ่มสาวสามประสานนี้จะนำเสนองานในแบบ Progressive Jazz Rock ที่ดุเดือดนับแต่ปี 2011 เป็นต้นมา
Hedvig Mollestad และเพื่อนร่วมวงสำเร็จการศึกษาสาขา Jazz Program จาก Norwegian Academy of Music ซึ่งเป็นสถานที่ฟูมฟักนักดนตรีรุ่นใหม่ของวงการดนตรีนอร์เวย์โดยมีประวัติยาวนานย้อนกลับไปในปี 1883 จากตระกูลนักดนตรี Lindeman และมีการตั้งเป็นสถานศึกษาดนตรีในแขนงต่างๆอย่างเป็นทางการในปี 1973 ทั้ง Classical, Folk, Church Music และ Jazz program ที่กาลกลับปรากฏว่าสร้างชื่อเสียงให้กับสถาบันดนตรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของนอร์เวย์แห่งนี้ในระยะหลายสิบปีที่ผ่านมา
NAM เสนอให้การศึกษาในแบบ Free Admission แต่ผ่านการ Audition หรือได้รับการรับรองเป็นพิเศษในความสามารถ นอกจากนั้นเป็นผู้ให้บริการจัดคอนเสิร์ตกว่า 300 โชว์ตลอดทั้งปีทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นเบ้าหลอมทางดนตรีให้กับคนรุ่นใหม่และผู้ชื่นชอบดนตรีคุณภาพได้รับการเติมเต็มตลอดทั้งปี เรียกง่ายๆว่าทั้งให้การศึกษาและให้การบันเทิงไปด้วยในตัว
Hedvig นั้นจัดว่าเป็นมือกีตาร์ดาวรุ่งและไม่ธรรดาของนอร์เวย์ทีเดียวเธอศึกษากับมือกีตาร์แถวหน้าของประเทศอย่าง Jon Eberson และได้รับรางวัล Young Jazz Talent of the Year 2009 จากเทศกาลดนตรีที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของสแกนดิเนเวีย Molde Jazz Festival (ซึ่งเทศกาลสำคัญอีกแห่งหนึ่งของนอร์เวย์คือ Kongsberg Jazz Festival) ซึ่งจะว่าไปแล้วในตอนแรกเริ่มนั้นเธอเล่นกีตาร์เมื่ออายุ 10 ขวบโดยไม่ได้รับการเรียนการสอนในแบบวิชาการ แต่จากแผ่นเสียงที่คุณพ่อของเธอสะสมทั้ง Rock & Roll และ Classic Jazz ก่อนที่จะเอาจริงเอาจังจนโดยร่ำเรียนใน Norwegian Academy of Music ซึ่งนอกจากกีตาร์แล้วเธอยังสามารถเล่น Hammond B3 ได้ด้วย
จากการสัมภาษณ์ใน Guitar Moderne ถึงแรงบันดาลใจของเธอที่มีรายชื่อยาวเหยียดเป็นหางว่าวแต่ที่จับสไตล์ที่เป็นเธออยู่ทุกวันนี้เห็นจะมี John Coltrane, Miles Davis, Joe Pass, Jim Hall, Mahavishnu Orchestra และ John McLaughlin ไปจนถึงสาย Rock อย่าง Jimi Hendrix, Black Sabbath, Led Zepplin หรือแม้กระทั่งคอมโพสเซอร์ระบือนามอย่าง Arvo Part ก็เป็นส่วนหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์ให้กับ HM3
เธอยังบอกอีกว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เธอพัฒนางานดนตรีจนเป็นรูปแบบในปัจจุบันนั้น เกิดจาการซ้อม หางานเพลงใหม่ๆมาฟัง ครุ่นคิดและสงสัยอยู่เสมอและจงออกไปแสดงคอนเสิร์ตซะ แต่สิ่งที่สำคัญในการนำเสนอผลงานของเธอคือต้องนำเสนอดนตรีที่ดีที่สุด และที่เหลือทิ้งไว้ให้แฟนๆเป็นคนตัดสินใจ
และเธอยังให้เคล็ดลับที่ในการสร้าง “Sound” ในแบบที่เป็นอยู่ด้วยเหตุผลง่ายและสั้นคือเธอไม่เคยเปลี่ยนและยึดมั่นในกีตาร์ แอมป์และPedalboards ตัวเดิมๆของเธอแทนที่จะเปลี่ยนโน่นเล่นนี่อยู่เสมอเหมือนนักดนตรีที่มักจะสะสมเครื่องดนตรีที่โปรดปรานแทนที่จะฝึกซ้อมจนเค้นศักยภาพทางดนตรีของตัวเองให้สุดๆไปเลย กีตาร์ที่เธอใช้ก็ไม่เทพเท่าไหร่แค่ Gibson ES-335 SC Showcase Edition 1988 ที่ผลิตราว 300 ตัวทั่วโลกรวมถึงซื้อกีตาร์ต่อจากอาจารย์ของเธอ Jon Eberson เจ้า Gibson SG Les Paul Custom I นอกเหนือจาก ES 345, ES 135 และ Martin D28 1970 ที่เธอครอบครองอยู่ก่อนแล้ว (ไม่เท่าไหร่ ต้องบอกอย่างนั้น) และอุปกรณ์ Hardware จาก Fender และ Ibanez ต่างๆ
HM3 ได้เพื่อนร่วมสถาบันอย่างมือเบส และเครื่องทูบา Ellen Brekken ผนึกกำลังเป็นสองสาวแกร่งสร้างผลงานร่วมกันตั้งแต่ 2011 จนถึงปัจจุบัน และ Iva Loe Bjornstad มือกลองซึ่งทั้งสามคนชื่นชอบการบันทึกเสียงสดในสตูดิโอเพื่อให้งานเพลงมีความสดใหม่และฉับพลันโดยไม่ต่างกับการแสดงสดต่อหน้าคนดูที่ไม่มีเวลาให้ความผิดพลาด การยึดมั่นในสิ่งนี้ทำให้งานเพลงไม่ว่าจะเป็นสตูดิโอหรือ Live ไม่มีความแตกต่างและสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่เป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนๆของ HM3 อย่างมาก
วงได้ออกผลงานรวมกว่า 5 อัลบั้มและได้รับการตอบค่อนข้างดีเมื่อคำนึงถึงวงที่มีนักดนตรีหญิงถึงสองคนและไม่ได้สร้างชื่อเสียงจากการร้อง แต่บรรเลงเท่านั้นโดยเฉพาะอัลบั้มที่สอง All of Them Witches 2013 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงอัลบั้มยอดเยี่ยมใน Norwegian Grammy สาขาดนตรี Rock โดยเธอได้รับการรีวิวจากทั้ง New York Times, Rolling Stones, Mojo, Classic Rock และ All About Jazz เว็บไซต์แจ๊สอันดับหนึ่งของโลก
ในมือของผมมีแผ่น Shoot! ที่เป็นอัลบั้มแรกของวง HM3 ในปี 2011 ที่ต้องบอกว่าเผ็ดร้อนเป็นอย่างมาก เริ่มด้วยแทร็ค Gun The E-Kid ในจังหวะ Rock ที่ติด Groove พร้อมเสียงท่อนริฟกีตาร์วนๆซ้ำๆเท่ๆทำให้เราต้องโยกตัวตามได้ไม่ยากและเหมือนจะเข้าเพลงสองคล้ายกับเป็น Medley ในชื่อเพลง Ashes ในสไตล์ Hard rock ที่คลีนก่อนที่จะใส่ Free Form ในตอนต้นแทร็คที่ 3 ด้วยเสียงกีตาร์ที่แตกพล่า แหบดิบ โหยหวนกังวานกว่า 1 นาทีก่อนที่ Rhythm section จะเข้ามาในแบบ Soft Rock และชิฟท์ไปสู่ Rock เต็มตัวที่สุดเหวี่ยงกับความยาว 5.44 ที่มันส์จริงๆ และคลายอารมณ์ในแทร็ค Doom’s lair ในท่วงทำนอง Blues ฟังเรื่อยๆ
ถัดมากับ The Dead One ที่กลองนำเข้าเพลงอย่างกรู๊ฟเพื่อส่งให้กีตาร์ปล่อยริฟสวยๆสลับกับโซโล่ที่ดีที่สุดแทร็คหนึ่งตลอดทั้งเพลง โดยเมื่อฟังผ่านๆเหมือนมีการใส่ Effect ที่ให้เสียงในแบบ Hammond B3 เลยดูเหมือนมีผู้เล่นที่ 4 ที่ให้ดนตรีแน่นขึ้นไปอีก และมันส์ต่อในแทร็คที่ชื่อว่า Sidetracked ที่ Double Bass จาก Ellen Brekken โซโล่ในแบบ bass talk ราว 1 นาทีทีมีกลองตีประคองตลอดและแน่นอนจบด้วยกีตาร์ที่ใส่ชุดใหญ่เพลินกันละ
โดยแทร็คที่ 7 No Encore ที่ทำหน้าที่โซโล่โดยมือกลองกว่า 2:15 นาที Free Improvise และตามมาด้วย Double bass พร้อม Hedvig ที่เด่นเหลือกำลังอีกครั้ง และช่วงหนึ่งที่จิกโน้ตเดิมๆเหมือนใจจะขาดให้ได้โดยปล่อยให้กลองหวดรัวๆอยู่เบื้องหลังและปล่อยฟรีจนจบเพลง ถัดมากับเพลงเก่าของ Buzz Ozborne ชื่อ Blood Witch ที่ทั้งวงก็ได้ร้องตะโกนพร้อมจังหวะริฟท์ของกีตาร์และวงที่ย้ำๆสลับกันไปมา หนักแน่น โยกหัวสั่นหัวคลอนกับไปกว่า 2 นาทีเศษ
และเหมือนการจากลาด้วยเพลงในท่วงทำนอง Blues อีกครั้งในเพลงสุดท้าย The Valley ค่อนข้างเงียบเหงาแต่ก็ Contrast กับบทเพลงทั้งหมดที่เล่นกันอย่างสุดเหวี่ยงก่อนหน้านี้ เป็นการจบโดยสมบูรณ์ Sound โดยรวมคง Surprise สาวกดนตรี Metal, Prog ที่อาจไม่เคยได้ยินชื่อวงนี้มาก่อน แถมเป็นหญิงที่เป็นหัวหน้าวง งานนี้เลยทำให้ต้องกด Play ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าใช่แน่นะ 555