ผมยังไม่ได้ศึกษารายละเอียดเลยครับ แค่อ่านผ่านๆตา ซึ่งยังไม่รู้ข้อดีหรือข้อเสียแบบจริงๆจังๆเท่าไหร่ แต่เท่าที่รู้เหมือนระบบปกติจะทำกันได้อยู่แล้ว อย่างพวก paysbuy เค้ารองรับระบบธนาคารทุกอันอยู่แล้ว เลยไม่รู้ว่า prompt[ay จริงๆจะเวิร์คในแง่ไหนได้บ้างน่ะครับ 555

แต่เดี๋ยวผมจะหาข้อมูลเพิ่มเติมให้เลยครับ 555

โอนเงินไม่เสียค่าโอน ข้ามจังหวัดได้ ข้ามธนาคาร ได้สนับสนุนครับ

มันสะดวกตรงที่เมื่อโอนเงินต่ำกว่า5พัน แล้วมันฟรีค่าโอนครับ (สูงกว่านี้เสียค่าโอน แต่ก็น้อยกว่าค่าโอนของธนาคารในปัจจุบันเยอะ)

ขอแค่ทั้งสองบัญชีเป็นPrompPayเหมือนกันเท่านั้นครับ ไม่เกี่ยงธนาคาร ไม่เกี่ยงจังหวัด
และทั้งสองฝั่งก็จะสามารถตรวจสอบกันและกันได้ด้วย เพราะPrompPayต้องใช้หลักฐานระบุตัวตนในการสมัครซึ่งก็คือบัตรประชาชนหรือเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งเบอร์โทรศัพท์ทุกเลขหมายก็พึ่งโดนบังคับลงทะเบียนล๊อคกับบัตรประชาชนไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้มิจฉาชีพที่ชอบหลอกให้โอนเงิน อยู่ยากขึ้น เพราะคนโอนเงินไปให้สามารถไปสืบหาปลายทางได้หมด

และอีกอย่างที่เป็นข้อดีคือ เวลาประชาชนจะได้รับเงินจากรัฐบาลก็จะรับได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้น เพราะสามารถโอนโดยตรงจากกระทรวงการคลังเข้าเลขบัตรประชานของปลายทางได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าเงินจะตกจะหล่นเพราะผู้ไม่หวังดี กลางทาง
และในอนาคต เวลาโดนจับหมวกกันน๊อคก็อาจจะสามารถจ่ายค่าปรับตรงถึงรัฐได้โดย ไม่ต้องผ่านมือไปถึงเจ้าหน้าที่โต๊ะ ก.ไก่ แถวๆนั้น พวกด่านลอยด่านปลอมก็จะน้อยลง

และอีกอย่างอาจจะเป็นข้อเสียสำหรับผู้ประกอบการออนไลน์ทั้งหลาย คือ ข้อมูลการโอนเงินนั้นจะถูกส่งไปให้รัฐบาลทั้งหมดครับ ออกเท่าไหร่ เข้าเท่าไหร่ รัฐรู้หมด 

จากเมื่อก่อนซื้อขายออนไลน์กันรึ่มๆ เงินเข้าเท่าไหร่ก็ไม่รู้ สรรพากรก็ตรวจสอบเรียกเก็บภาษีก็ไม่ได้ ทำให้บางเจ้าก็เลยหนีภาษีกันเนียนๆไปเลยครับ

พอPrompPayมา ลูกค้าก็จะเรียกร้องให้ผู้ประกอบการใช้ด้วย จะได้ประหยัดค่าโอนไปในตัว ลูกค้าเหมือนกลายๆได้ส่วนลดนิดหน่อย แต่ผู้ประกอบการโดนเรียกภาษีเงินได้เพิ่ม(เอาจริงๆมันก็ควรต้องจ่ายอยู่แล้ว)
พูดง่ายๆเอาส่วนลดค่าโอนมาล่อเงินภาษีนั่นเอง

แต่ตอนนี้แม้รัฐจะผลักดันให้มีการใช้PrompPayมากขึ้น แต่ยังมีอีกข้อเสียนึงที่ ยังไม่มีใครเสนอตัวมาปรับแก้ซึ่งก็คือ

ถ้าโอนเงินออกแล้วเงินไม่เข้าปลายทาง ใครเป็นคนรับผิดชอบ ?
ซึ่ง ณ ตอนนี้
ธนาคารทุกธนาคารปฏิเสธความรับผิดชอบในส่วนนี้ ส่วนรัฐบาลก็เงียบกริบ

ระบบPrompPayมันเลยไม่โตซักกะทีก็เพราะตรงนี้นี่แหละครับ

เดี๋ยวผมจะลองสอบถามธนาคารถึงข้อเสียที่บอกเมื่อครู่ครับ ตอนนี้การโอนเงินของผมนั้นเข้าบริษัททั้งหมดไม่ใช่โอนในนามบุคคล ซึ่งมีการเสียภาษีตามปกติอยู่แล้ว ยิ่งเป็นธุรกรรมผ่านธนาคารทุกอย่างเป๊ะหมดนานแล้วครับ 555

ผมใช้ All Free ของ TMB นะ
โอนเข้า บช. ร้านเฮีย สะดวกมาก
ค่าธรรมเนียมไม่เสียครับ

ผมว่าเรื่องนโยบายซ่อนเร้นของ Prompt Pay 
ที่อธิบายไม่ได้ชัดเจน 
ทำให้คนไม่อยากลงไปเสี่ยงครับ

คือผมว่าอยู่ที่ความสะดวก ความสมัครใจ และความสบายใจ ของแต่ละคนครับ คนที่ไม่ได้สมัครใช้ Prompt Pay ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ แต่เหตุผลหลักคือเป็นเพราะเขากลัวเรื่อง Privacy  ต่างหาก ซึ่งหากรัฐบาลไม่สามารถสร้างความไว้วางใจนี้ได้ก็จะทำให้โครงการ National e-payment ไม่สำเร็จตามเป้า ซึ่งผมมองว่าต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันนโยบายการคืนภาษีผ่าน Prompt pay ซึ่งเร็วมากไม่เกิน 2-3 วัน ก็เป็นความพยายามอย่างหนึ่งเพื่อสนับสนุนให้คนหันมาใช้ Prompt pay มากขึ้น ที่ประเทศจีนระบบ e-payment (Ali pay) ของเค้านี่รุดหน้าไปมากครับ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เวลาใช้จ่ายทั่วๆไป เช่น ร้านอาหาร หรือ ร้านขายของชำ ร้านกาแฟ จะจ่ายด้วย e-money มีเพีนงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นเงินสด ซึ่งตอนแรกผมก็แปลกใจเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องจริงครับ ประเทศไทยในที่สุดก็คงต้องไปถึงจุดนั้นไม่ช้าก็เร็ว

จากการที่ผมศึกษามา ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันนะครับ ว่าที่เค้ากลัวๆเรื่องPrivacyนี่คือกลัวในกรณีไหนกันบ้าง

เพราะข้อมูลที่ใช้สมัครมันก็มีแค่ เลขบัตรประชาชน กับ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ

ซึ่งการรู้ข้อมูลสองอย่างนี้มันก็ไม่ได้ทำให้เงินในบัญชีของเราหายไปไหน
เพราะระบบPromptPayมันใช้หลักการ"โอนเงินเข้าเลขบัตรประชาชน/เลขโทรศัพท์" แทนการโอนเข้าเลขบัญชีเท่านั้นเอง

มันก็เหมือนกับ ผมรู้เลขบัญชีเฮียมั่น ผมสามารถทำกับเลขบัญชีนี้ได้อย่างเดียว คือ โอนเงินเข้าบัญชีนี้ 
ผมไม่สามารถไปถอนเงินจากบัญชีนี้ได้ เพราะผมไม่มีสมุดเงินฝาก/ไม่มีบัตร+รหัสATM
(ขออภัยเฮียมั่นด้วยนะครับ ที่เอามาอ้างอิงยกตัวอย่าง)


สาเหตุเดียวที่ผมยังกังวลตอนนี้ก็คือ โอนเงินแล้ว ถ้าเงินไม่เข้าปลายทาง ผู้บริโภคต้องทำยังไง

เรื่องPrivacyที่ควรจะห่วงนี่ ผมว่าอยู่ที่ตัวของธนาคารมากกว่า ลองสังเกตดูได้ เวลาเราไปทำธุรกรรมต่างๆที่ธนาคาร พอทำเสร็จหลังจากนั้นไม่กี่วัน จะมีพวกโทรศัพท์ขายประกันหรืออะไรเทือกนี้โทรเข้ามา

ถ้าเราสังเกตตอนที่เราทำธุรกรรม เช่นไปทำบัตร(ที่มันพ่วงประกัน) ในขั้นตอนการเซ็นเอกสาร มันจะมีหนังสืออนุญาตให้เปิดเผยข้อมูล แต่ตรงช่องเปิดเผยข้อมูลแก่บริษัท..... ช่องนี้มักจะเว้นว่างไว้ 

ใบนี้แหละครับ ถ้าเจอ ให้ส่งคืนให้พนักงานธนาคาร ไปเขียนชื่อบริษัทมาให้ครบถ้วนเลยครับ เพราะถ้ามันเว้นว่างไว้ มันสามารถเอาไปทำสำเนา แล้วเขียนชื่อบริษัทอื่นๆลงไปได้อีกหลายบริษัทเลยครับ ทีนี้เราก็จะเจอกองทัพโทรศัพท์ขายประกันระดมกันโทรเข้ามาเลย อย่างกับได้ประกัน 1แถม10

เป็นไปได้นอกจากให้มันเขียนชื่อบริษัทแล้ว หลังจากเซ็นเสร็จ บอกพนักงานทำสำเนาเอกสารทุกอย่าง เอาไว้ให้เราเก็บอีกชุดด้วย เผื่อเอาไว้ใช้ภายหลัง