
จากปืนใหญ่ใต้อ่าวปัตตานี สู่ตำนาน มหาเลลา ที่ถูกลืม
อาวุธปืนโบราณที่ถูกขุดพบระหว่างการลอกร่องน้ำแม่น้ำปัตตานี คืออีกหนึ่งความภาคภูมิของคนปัตตานีในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นซึ่งมีมาอย่างช้านาน
ทั้งนี้ ประวัติราชอาณาจักรมลายูปตานี โดย ฮิบรอฮิม ซุกรี บันทึกไว้ภายหลังสยามยึดปัตตานีได้แล้วตอนหนึ่งว่า “(ในสมัยรัชกาลที่ ๑ สยามได้ทำสงครามกับปตานี และสยามเป็นฝ่ายมีชัย)เมื่อได้วางกฎหมายการปกครองเรียบร้อยแล้ว แม่ทัพสยามจึงมีคำสั่งให้ทหารสยามลงเรือรบกลับ พร้อมกับกวาดต้อนเชลยชายหญิงและทรัพย์สมบัติที่ยึดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปืนใหญ่สมัยรายาบีรูได้นำกลับเมืองสยาม ปัจจุบันปืนใหญ่กระบอกนั้นยังตั้งสง่าอยู่หน้ากระทรวงกลาโหมที่กรุงเทพฯ และอีกกระบอกหนึ่งตกลงในทะเลที่ปากอ่าวปตานี”
นอกจากนั้น ครั้งที่นำปืนใหญ่พญาตานีเข้าสยาม มีจารึกสั้นๆ เป็นบทกลอนสะท้อนความรู้สึกของ “ประแดะ” มเหสีของท้าวประดู่ หญิงผู้ซึ่งเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในกลุ่มของครัวแขกที่ถูกพ่วงมาด้วย
นางก็ไร้ญาติวงศ์พงศา หมายพึ่งบาทาพระโฉมศรี
โคตรพ่อโคตรแม่ก็ไม่มี อยู่ถึงเมืองตานีเขาตีมา
เพราะภาวะที่ทุกคนต่างอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดกับเหตุการณ์ความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การขุดคุ้ยตำนานความเป็นมาของปืนโบราณจึงเปรียบเสมือนจุดเทียนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวขึ้นมาอีกครั้ง
นอกจาก “ปืนพญาตานี” ซึ่งวันนี้ตั้งอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานครแล้ว น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ยังมีปืนพี่ปืนน้อง “ศรีนครา” และ “มหาเลลา” ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
และทำให้มหากาพย์หน้าหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ปัตตานีนั้น ยังคงมีเศษเสี้ยวที่เป็นความลับซ่อนอยู่
หากอ้างอิงตำนานการสร้างปืนใหญ่พญาตานี ที่มาจากฐานข้อมูลอันหลากหลาย แม้จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันแน่ชัดคือ มีการสร้างปืนใหญ่ที่เมืองปัตตานี
ดังที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ว่า ในยุคที่ ปาตานีดารุสสลาม อยู่ภายใต้การปกครองของ 4 ราชินี คือ ราชินีฮิเญา( หรือ มัรฮูม ตัมบังงัน),ราชินีบีรู ราชินีอูงู และราชินีกูนิง ระหว่างปี 2159-2268
โดยระบุว่า ปืนใหญ่พญาตานี ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัย ราชินีบีรู เพื่อเตรียมรับมือกับการโจมตีของกรุงศรีอยุธยา
“อาณาจักรปตานียุครายาบีรูนั้น มีกระแสข่าวเสมอว่าพระเจ้าแผ่นดินสยามกำลังตระเตรียมทัพใหญ่เพื่อยาตราทัพมาโจมตีอาณาจักรปะตานี...เพราะเหตุว่ากองกำลังชาวสยามนั้นมีความพร้อมยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาวุธปืนใหญ่ที่มีพิษสงร้ายแรง ตรงกันข้ามกับกองทัพอาณาจักรปตานีไม่มีความพร้อมที่จะใช้อาวุธ...เมื่อทรงมองเห็นภัยอันตรายและจุดอ่อนดังกล่าว รายาบีรูจึงทรงปรึกษาหารือกับเสนาบดีผู้ใหญ่เพื่อหาทางเตรียมอาวุธให้ครบครัน...บรรดาเสนาบดีผู้ใหญ่ต่างยอมรับข้อเสนอของรายา และจากบัดนั้นเป็นต้นมานายช่างก็ลงมือหล่อปืนใหญ่...การหล่อปืนใหญ่ดังกล่าวสำเร็จผลเป็นอย่างดี เพราะนายช่างหล่อปืนนั้นเป็นชาวจีนชื่อ ลิ่มโกเคี่ยม ต่อมาเข้ารีตเป็นมุสลิมด้วยความสมัครใจและมีนามว่า โต๊ะเคี่ยม อาศัยอยู่กับเสนาบดีผู้ใหญ่ของรายา เนื่องจากอัธยาศัยอันดีงามจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เก็บภาษีเข้าออกที่ท่าเรือปากอ่าวนครปตานี”
ในครั้งนั้นมีการหล่อปืนใหญ่ขึ้น 3 กระบอก คือศรีปาตานี,ศรีนาฆารา และมหาเลลา โดย 2 กระบอกแรกมีความยาวเท่ากันที่ 3 วา 1 ศอก 1 คืบ 2 นิ้วครึ่ง กระสุนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 11 นิ้ว ส่วนกระบอกสุดท้ายที่สั้นที่สุดและไม่รู้ว่า ณ วันนี้อยู่ที่ไหน สร้างเสร็จหรือไม่มีบันทึกไว้ว่ายาว 5 ศอก 1 คืบ 9 นิ้ว กระสุนเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 นิ้ว
ปืนพญาตานีเป็นปืนเด่นที่สุดด้วยความเป็นมาที่มีสีสันกว่าปืนกระบอกอื่น เอกสารทางประวัติศาสตร์กล่าวถึงประวัติของปืนกระบอกนี้ว่า ครั้งนั้นหล่อปืนขึ้นทั้งหมด 3 กระบอก สองกระบอกแรกสำเร็จด้วยดี เหลือแต่กระบอกที่สามพยายามหล่ออยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงตั้งโต๊ะเซ่นไหว้เอาชีวิตของตนถวายถ้าหล่อปืนได้สำเร็จ ปรากฏว่าเมื่อหล่อได้แล้วนายช่างหล่อปืนจึงไปยืนหน้ากระบอกปืนแล้วจุดทดลองยิง เมื่อปืนลั่นก็พาร่างของเขาลอยหายไปในอากาศ นอกจากนั้นปืนกระบอกนี้ยังมีขนาดใหญ่และยาวที่สุดในบรรดาปืนที่จัดวางไว้ที่นี่ ใช้วัสดุสำริด ส่วนท้ายปืนเป็นรูปสังข์ปลายงอน ที่เพลามีรูปราชสีห์ บนกระบอกปืนมีจารึกว่า ”พญาตานี” มีห่วงสำหรับยก 4 ห่วง มีรูชนวนบริเวณท้ายปืน ความยาว 6.82 เมตร ตั้งอยู่บริเวณสนามฝั่งทิศใต้
เพราะฉะนั้น การค้นพบปืนโบราณที่บริเวณปากอ่าวปัตตานีเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา จึงสร้างความปลื้มปีติให้แก่คนปัตตานีเป็นอย่างมาก
รศ.ดร.ครองชัย หัตถา นักวิชาการด้านภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี) ผู้ทำรายงานการศึกษาสำรวจเพื่อขยายฐานความรู้ทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ในพื้นที่ ต.ตันหยงลุโละ อ.เมือง จ.ปัตตานี กล่าวว่า
“ปืนที่พบไม่น่าจะเป็นปืนมหาเลลา เพราะมีลวดลายวิจิตรประณีต และยังมีล้อที่บ่งบอกว่าสามารถหมุนตัวกระบอกปืนได้ โดยส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นปืนประจำเรือที่ติดอยู่กับสำเภามากกว่า เนื่องจากปืนรบอย่างศรีนคราหรือมหาเลลานั้น เป็นปืนที่สร้างมาเพื่อศึกสงคราม ไม่มีลวดลาย”
“และเนื่องจากไม่พบประวัติการสูญหายทำให้ตีความยาวกว่าใครเป็นผู้ผลิต สร้างเมื่อไร อีกทั้งปืนฝังอยู่ใต้พื้นดินกว่า 5 เมตรนั้น คาดการณ์ได้ว่าน่าจะมีอายุประมาณ 2-3 ร้อยปี แต่คงจมมาได้สัก 100 ปี นอกนั้นหลักฐานที่พบไม่สามารถบอกประวัติได้เลย แต่ก็สามารถพิสูจน์ประวัติศาสตร์ได้ว่าปัตตานีในอดีตนั้นมีความเจริญรุ่งเรือง มีการค้าขายทางเรือ และผลิตปืนใหญ่ส่งออกด้วย”
ถึงกระนั้น อ.ครองชัย ให้ความเห็นว่า สิ่งที่สำคัญในการพบปืนใหญ่โบราณคือลวดลายบนกระบอกปืนที่ผสมผสานศิลปะมลายูท้องถิ่น จีน อาหรับ ลายไทยและตะวันตก (ฮอลันดา)
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชานุญาตให้หล่อปืนพญาตานีจำลอง เพื่อนำกลับมาไว้ที่ จ.ปัตตานี แล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เริ่มต้น ผมหวังว่าหากมีการค้นหาปืนใหญ่ศรีนคราที่ทางตำนานบอกว่าจมอยู่ในทะเลปัตตานีกว่า 500 ปี รวมถึงปืนโบราณต่างๆที่คาดว่าน่าจะมีอีกมากที่อยู่ใต้พื้นทะเล จะสร้างความภูมิใจให้กับคนปัตตานี และทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต่อไปได้” นักวิชาการด้านภูมิศาสตร์กล่าว
และเมื่อย้อนดูขนาดของปืนมหาเลลาที่บันทึกไว้ว่ามีความยาว 5 ศอก 1 คืบ 9 นิ้ว กับ ความยาวกว่า 2 เมตรของปืนใหญ่กระบอกนี้ อีกทั้งลวดลายที่คล้ายคลึงกับปืนใหญ่พญาตานี ซ่อนประวัติศาสตร์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ในยุคปัตตานีดารุสสลามไว้อย่างน่าค้นหา
จากหนังสือ ฮิกายัตปาตานี ระบุว่า ตอนที่พวกปาเล็มบัง มาโจมตีปาตานีทั้งสองครั้งนั้น พวกปาเล็มบังไม่สามารถเข้าประชิดกำแพงเมืองได้เลย เพราะบนกำแพงเมืองปาตานีมีปืนใหญ่วางเรียงรายเป็นแถว ห่างกันกระบอกละ 1 วาเท่านั้น
“ตอนที่ฝรั่งชนชาติฮอลันดามาถึงปาตานีใหม่ๆนั้น บางคนได้รายงานเปรียบเทียบวังปาตานีกับวังเมืองอัมสเตอร์ดัมในฮอลันดาว่า วังของเมืองปาตานียาวกว่าวังของเมืองอัมสเตอร์ดัม แต่ในด้านกว้าง วังอัมสเตอร์ดัมกว้างกว่าวังเมืองปาตานี ส่วนปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าประตูเมืองปาตานีนั้นใหญ่กว่าปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าประตูวังที่อัมสเตอร์ดัม”
เพราะฉะนั้น หากปืนใหญ่ที่พบหน้าปากอ่าวปัตตานีไม่ใช่ปืนใหญ่มหาเลลา ก็อาจจะเป็นปืนใหญ่โดยทั่วไปที่วางเรียงรายเป็นแถวห่างกันกระบอกละ 1 วา หรืออาจจะเป็นแค่สินค้าส่งออกเท่านั้น
ในขณะที่บางตำนาน เล่าขานกันว่าปืนมหาเลลาสร้างไม่เสร็จบ้าง กระบอกปืนแตกบ้าง หรือเป็นปืนที่โดนสาปบ้าง
แต่ถึงกระนั้น ตำนานปืนใหญ่ไม่ว่าจะถูกจารึกบันทึกขีดเขียนแตกต่างกันมากน้อยตามความเข้าใจอย่างไรนั้น ยังไม่สำคัญเท่าประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานีที่มี เรื่องราวของราชินีผู้ยิ่งใหญ่ และสัมพันธภาพระหว่างปัตตานีกับสยาม
ซึ่งไม่ว่าปืนที่ขุดพบคือมหาเลลาหรือไม่ ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด คือปืนใหญ่ได้กลับมาแล้ว 1 กระบอก