มาถึงตัวแพ็คเกจกันบ้างครับ ข้างในก็จะมีตัวหูฟังพร้อมกับเคสใส่แบบเป็นแม่เหล็ก สะดวกเวลาเปิดปิดดีครับ นอกจากนั้นก็จะมีจุกหูฟังเป็นจุกยางซึ่งให้มาถึง 5 ไซส์และจุกโฟมอีก 2 คู่ กับคลิปหนีบเสื้อมาให้ด้วยครับ
ภายในนั้นใช้ไดร์เวอร์แบบไดนามิค เพียงตัวเดียวที่มีขนาด 11 มม. ซึ่งจะใหญ่กว่าอินเอียร์ทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ไดรเวอร์แบบ 10 มม.อยู่เล็กน้อยครับ ในส่วนของสายนั้น สายเดิมจะเป็นทองแดง OFC 6N ซึ่งคุณภาพค่อนข้างดีเลย และยังถอดสายเปลี่ยนและอัพเกรดได้โดยใช้ขั้วแบบ MMCX ครับ

ตัว Housing นั้น ทาง JVC ได้เลือกใช้ไม้ Black Wood และส่วนประกอบภายในถัดเข้ามาชั้นแรกตรงท่อใหญ่ๆสีทองนั้นจะเป็นส่วนของ Brass Ring ที่ทำจากทองเหลือง และ Ring Damper ซึ่ง 2 ส่วนนี้จะมีหน้าที่ลดแรงสั่นสะทือนที่เกิดขึ้นภายในตัวหูฟังครับ ,
ขยับเข้ามาในส่วนที่เป็นตัวไดร์เวอร์กันบ้าง ก็จะมีส่วนของ Wood Dome Unit ซึ่งข้างในจะมีแผ่นไดอะแฟรมที่ทำจากไม้ Birch ซึ่งเป็นไม้ที่นิยมนำมาทำเครื่องดนตรีอย่างเช่นกลอง หรือกีต้าร์ มาไสให้เป็นแผ่นที่บางที่สุด ด้านล่างจะเป็น Wood Plate ก็เป็นไม้เช่นเดียวกับตัวไดอะแฟรมครับ เหตุที่ใช้ไม้ก็เนื่องมาจากจากการดูดซับและการสะท้อนของเสียงเสียงที่เป็นธรรมชาตินั่นเองครับ
(ภาพจาก Aliexpress.com)

ในส่วนของจุกยาง จะเป็นจุก Spiral Dot ที่มีรูวงกลมเล็กๆเรียงกัน ซึ่งจะช่วยให้เสียงนั้นเคลียร์ขึ้นครับ เพราะเสียงที่ไปกระทบกับรูนั้นจะกระจายตัวได้ดีกว่าพื้นผิวเรียบๆครับ ถ้าลองเปรียบเทียบก็อาจจะคล้ายๆกับ การที่ลูกกอล์ฟมีรูรอบๆเพื่อให้ลดแรงต้านทานของอากาศที่กระทบกับพื้นผิว ทำให้ลูกที่ตีนั้นไปได้ไกลขึ้น ( อันหลังนี่ผมเดาเอาเองนะครับ 55+ )

มาลองฟังเสียงกันบ้างครับ พอเปิดเพลงปุ๊บ สิ่งที่โดดเด่นออกมาก่อนเลยคือ เบสลูกโตกับขนาดอิมเมจชิ้นดนตรีที่ใหญ่จนไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากหูฟังเล็กๆอย่างอินเอียร์เลยครับ
เบสที่มีทั้งคุณภาพและปริมาณ แม้จะมวลจะเยอะแต่เป็นเบสที่มีน้ำหนัก มีเนื้อมีหนัง ไม่ใช่มาแบบลอยๆ และยังลงได้ลึกมากๆ จนรู้สึกว่าดิ่งลงได้ได้ลึกถึงหน้าอกเราเลยทีเดียวครับ รวมถึงอิมแพคที่กระแทกกระทั้นได้หนักหน่วง เป็นแรงลมที่เกิดขึ้นจากการกระพือของไดรเวอร์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไดร์เวอร์แบบไดนามิค บวกกับการเก็บตัวที่ค่อนข้างไว แต่ไม่เร็วจนถึงกับห้วน จังหวะทีกระเดื่องรัวๆ เก็บได้ทันใจ ไม่มีอาการเนิบนาบหรือเอื่อยเฉื่่อยเลยครับ ฟังเพลงที่จังหวะเร็วๆอย่างในเพลง Nightmare ของ Avenged Sevenfold ให้สปีดที่ดีมาก กระเดื่องที่มาเป็นลูก ตอบสนองได้ฉับไว ดุดันตามแบบที่ควรจะเป็น ได้ยินถึงรายละเอียดการสั่นของหนังกลองได้ชัดเจนอีกด้วยครับ และไม่ใช่เบสแนวที่ติดโทนนุ่มครับ มาลองฟังไลน์เบสในเพลง Don't Know Why ของ Norah Jones ไลน์เบสนั้นมีหัวโน๊ตที่ชัดเจน จับจังหวะการดีดได้ทุกช็อต ไม่มีคลุมเครือ

เสียงกลาง-ต่ำ อย่างกีต้าร์ไฟฟ้าแนวร็อค เฮฟวี่เมทัลที่เล่นในคีย์ต่ำๆนั้นโดดเด่นทั้งอิมแพคและรายละเอียดพวกซาวด์ แตกๆ หรือ Distortion ทำได้ยอดเยี่ยม ชัดเจน ได้อารมณ์แบบโหดๆดิบๆ มายังไง ไปยังงั้นเลยครับ และด้วยขนาดชิ้นดนตรีที่ใหญ่ ให้ความรู้สึกกระหึ่ม เต็มอิ่มเหมือนเสียงที่ออกมาจากตู้แอมป์จริงๆเลยครับ
เสียงกลองสแนร์และกลองทอม จัดอยู่ในอันดับต้นๆของอินเอียร์ในช่วงราคานี้เลยครับ แน่น และลงน้ำหนักได้ดุดัน ถ้าเทียบกับตัวที่ให้เสียงสแนร์ยอดเยี่ยมอย่าง Westone UM Pro 30 นั้น เจ้า FX1200 จะแน่น คม และลงน้ำหนักได้รุนแรงกว่า แต่รายละเอียดของหนังหน้ากลองนั้น UM Pro30 ยังทำได้เหนือกว่าครับ รายนั้นทำได้เหมือนหนังกลองจริงๆมาก ฟังแล้วคล้ายๆกับว่า FX1200 ใช้ไม้กลองที่เนื้อไม้แน่น และมีน้ำหนักมากกว่า จังหวะฟาดลงไปก็เลยฟังแล้วหนักหน่วงกว่า ส่วนกลองทอมและกระเดื่อง เจ้า FX1200 มีอิมแพค มวลเสียงที่มีเนื้อมีหนังและอิมเมจชิ้นดนตรีที่ใหญ่กว่าจึงฟังดูเป็นธรรมชาติและสมจริงกว่าครับ

ในส่วนของเสียงร้อง มีมวลเสียงที่อิ่ม ฉ่ำ ตำแหน่งอยู่กลางๆไม่ Forward มาข้างหน้ามากเกินไปครับ ให้โทนที่ค่อนข้างเป็นกลาง เรียกว่าถ้านักร้องเสียงหวาน ก็ออกมาหวาน ถ้าเข้มมันก็เข้มได้เหมือนกันครับ เนื้อเสียงลื่นไหลตามสไตล์ไดนามิคไดร์เวอร์ครับ
เสียงแหลมชัดเจน จริงจังมากกว่าประนีประนอมนักครับ ออกไปทาง Bright นิดๆ เนื้อเสียงแหลมนั้นไม่บาง ไม่ถึงกับละเอียดเป็นฝอยๆ แต่ก็เป็นข้อดีอย่างนึงเหมือนกัน ในแนวเพลงที่มีการตีฉาบ แฉ ที่รุกเร้า FX1200 จะให้อารมณ์ที่คึกคัก สะใจกว่าเสียงแหลมที่ละเมียดละไมครับ ปลายเสียงแหลมนั้นทอดไปได้ไกลอีกด้วยครับ
เวทีเสียงค่อนข้างกว้าง ชิ้นดนตรีมีเลเยอร์ตื้นลึก ไม่แบนราบ รวมถึงการแยกแยะชิ้นดนตรีที่ทำได้ดีเลยทีเดียวครับ

แนวเพลงที่เหมาะกับ JVC FX1200 นั้นคงหนีไม่พ้นร็อค, เฮฟวี่เมทัล, EDM ด้วยเสียงเบสที่ยอดเยี่ยมอย่างอย่างหาตัวจับยาก และซาวด์กลอง,กีต้าร์,เบสที่โดดเด่น หรือจะนำมาฟังแนว Audiophile อย่างแนว Vocal หรือแจ๊สก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียวครับ กับเสียงร้องที่เป็นธรรมชาติ ให้รายละเอียดที่ดี แถมยังได้มิติที่โออ่าคล้ายหูฟังใหญ่อีกด้วยครับ

ราคาของ JVC รุ่น FX1200 นั้นอยู่ที่ 15,900 บาท สามารถแวะมาลองฟังที่สาขาเรือธงและพารากอนได้เลยครับ

Specification

Driver Unit : 11mm wood dome diaphragm driver
Frequency Response : 6 - 45,000 Hz
Impedance : 16 ohms
Sensitivity : 106 dB/1 mW
Max. Input Capability : 200mW(IEC)
Plug : 3.5mm 24 Gold plated metal Mini plug
Cord Length : 1.2m Y shape 6N-OFC cable MMCX design removable cord
Weight : 13g (without cord)

วันนี้ต้องลากันไปก่อนครับ ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงทุกท่าน สวัสดีคร้าบบบบบบบบ

ใช้อยู่ครับ เสียงเหมือน Full Size เลย

ผมก็มีใช้อยู่เหมือนกัน
และก็ขอยืนยันว่าเสียงเหมือน Full Size จริงๆครับ 555

ตัวนี้เจ๋งจริงครับ ถ้าใครชอบไดนามิกไดรเวอร์ หรืออยากได้แนว Dita ผมว่า JVC เป็นทางเลือกที่ดี ราคาย่อมเยาดีครับ เสียงอิ่มและหนา ฟังลื่นหูมากถึงมากที่สุดครับ 555

รู้มาว่าบางท่านจะไปสอย Dita ได้ตัวนี้กลับมาเฉยเลยก็มีครับ เป็นซีรี่ย์ของ JVC ที่อยากแนะนำจริงๆ ใครอยากได้แนวๆ Dita ลองฟังตัวนี้เทียบดู อาจจะประหยัดไปได้เยอะ ถ้าให้เทียบก็ Dita จะออกแนวคมชัดกว่า เสียงกลางลอยขึ้นมามากกว่า ซีรี่ย์นี้ของ JVC กลางมันจะถอยนิดๆน่ะครับ ไม่มาก แต่เอาเข้าจริงๆผมว่ามันฟังสบายกว่า Dita ด้วยน่ะ มันออกนวลๆไหลๆ มากกว่า Dita เสียงจะคมกว่า Stage กว้าง โปร่ง ทั้งคู่

ถ้าใครคิดว่าตัวนี้ Bass มากไป ลอง FX850 (น้องตั้มรีวิวต่อเลยครับ55555) ผมว่าเบสกำลังดี โทนัลบาลานซ์น่าจะดีกว่าตัวนี้ด้วย แต่ตอนไปฟัง มันยังไม่ได้เบิร์นเลย เลยไม่ฟันธงว่าเป็นอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า เพราะมีบางท่านเล่าให้ฟังว่า FX850 เบสเยอะกว่า แต่ตอนผมลอง มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น แต่อย่างที่บอกล่ะครับ ตอนฟัง 850 ยังไม่ได้เบิร์น และก็ฟังแบบรีบๆด้วย จุกก็คนล่ะจุกกัน อาจพอดีหูผมไม่มเท่ากัน ต้องไปเทียบจริงๆจังๆ อีกที

ข้างบนอาจจะมีอ่านแล้วงงๆ ตรงท้ายพารากราฟแระ เพิ่มความชัดเจนว่า Dita เสียงจะออกคมๆกว่า jvc ครับ

ตั้มเราพลาดฟังตัวนี้ไปได้อย่างไรนี่

โอ้ ขอบคุณคุณตั้มมากเลยครับ ที่อุตสาห์ทำ Review ให้พี่ๆน้องๆหลายๆคนได้อ่านกัน เห็นด้วยกับเฮียมั่นเลยครับ เพราะเมื่อวันเสาร์ผมพึ่งไปนั่งฟัง JVC ตัวนี้ (ซึ่งของผมเองอันนี้) กับ Dita Truth หูฟังทั้ง 2 ตัวให้บรรยากาศที่ใกล้เคียงกันเลยครับ ต่างกันด้วยความคมของเสียงที่ได้ยิน ซึ่ง Dita นั้นมีความคมชัดมากๆในเสียงดนตรีแต่ละเสียง ในส่วน JVC นั้นเสียงจะมีความนุ่มมากกว่า ตัวดนตรีนั้นจะไม่คมชัดเท่ากับ Dita แต่สิ่งที่ทั้ง 2 เหมือนกันเลยคือบรรยากาศการฟัง มิติของเสียง ซึ่งผมคิดว่าเป็นลักษณะเฉพาะของ Dynamic Driver เลยครับ และเสียงเครื่องดนตรี โดยเฉพาะเวลาฟังกับเพลงบรรเลง ไม่ว่าจะเป็น Classic, New Age จะให้เสียงของเครื่องดนตรีที่ลื่นไหล และรู้สึกเสมือนจริงกว่า ถ้าเทียบกับหูฟังที่ใช้ BA (อันนี้เทียบกับ Shure 535 และ IM04 ที่ผมมีน่ะครับ ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัวเลยครับอันนี้)

ดังนั้นสำหรับท่านไหนที่ชอบเสียงแบบ Dynamic Driver แล้ว หูฟังตัวนี้เป็นหนึ่งในหูฟังที่น่าจะมาลองฟังกันดูครับ และที่สำคัญราคาถูกกว่า Dita เกินครึ่งอีกครับ (ขออภัยครับเฮีย ขออนุญาตแสดงความเห็น เพราะ Dita มันแพงงงง จริงๆครับ ผมเองก็ได้แต่มอง ฮ่าๆๆๆๆ)

ปล. สำหรับหูฟังตัวนี้สำหรับท่านที่ไม่ชอบเสียงเบสที่หนักแน่นมากๆจากสายที่มากับตัวหู สามารถลองปรับเปลี่ยนสายได้เช่นกันครับ ซึ่งเห็นผลพอสมควรเลยครับ

โอ้ววววววว รีวิว+มีคำยืนยันกันอย่างนี้ ต้อง "ไม่" ไปลองซะแล้วเดี๋ยวเสียตังค์ ฮ่าๆๆๆ

เสียงดีนะครับ วันนี้ไปลองฟังที่สนามบินแฟนก็เลือกซื้อของส่วนผมว่างๆไม่รุทำไรเลยเอาหูตัวนี้เสียบกับไอฟงหก นึกว่าเสียงจะกากๆที่ไหนได้เสียงดีครับออกแน่วอิ่มหยานแตะไดนามิคแรงปะทะดีมากเบสไม่บวมเลยแจ่มๆ

กะลังหาตัวแทน turbine ไม่รู้ว่าไหวไหมตัวนี้