แพ็คเกจภายในนั้นก็จะให้อแดปเตอร์ชาร์จ,สายรัดแอมป์กับ Player อีก 3 เส้นครับ และมีคู่มือการใช้เกี่ยวกับช่องต่อ Input Output ต่างๆ และไฟบอกสถานะแบตเตอรี่ครับ

ในส่วนของงานประกอบภายนอกนั้นใช้ตัวบอดี้แบบเดียวกับรุ่นเดิมครับ เป็นโลหะให้ความรู้สึกแน่นหนาดี ด้านหน้าก็จะมีปุ่มโวลุ่ม และปุ่มปรับเบสอยู่ใกล้ๆกันเลยครับ ถัดมาจะเป็นสวิทซ์ปรับ Gain ซึ่งเลือกได้ 3 ระดับคือ Low , Mid , High ในส่วนของแบตเตอรี่นั้นอึดมากๆ อยู่ได้ถึง 19 ชั่วโมงเลยทีเดียวครับ

Input ทั้ง Balanced และ Single End จะอยู่ด้านหลัง ส่วนช่องแจ็ค 3.5 มม. นั้นออกแบบมาให้ยื่นออกมาเล็กน้อย เพื่อลดแรงกดที่จะมีเข้าไปในแผงวงจรครับ

ในเรื่องของเสียงนั้นก็ปรับปรุงจากรุ่นเดิมอยู่พอสมควรเลยครับ โทนโดยรวมจะออกไปทางฟังสนุก ในส่วนของเบสนั้นมาเป็นลูก มวลนั้นหนา ลูกใหญ่พอสมควรครับแต่มีขอบเขตที่ชัดเจน ลงได้ลึกและให้อิมแพคที่โดดเด่น เป็นเบสที่ค่อนไปทางนุ่มไม่แข็งกระด้างครับ ในส่วนของฟังก์ชั่นปรับเบสนั้น ใช้งานได้ดี โดยค่อยๆเพิ่มขนาดของมวลเบสทีละนิด ไม่กระโชกโฮกฮาก และยังคงขอบที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่ไม่ถึงกับเบลอครับ เสียงเครื่องดนตรีในย่านต่ำอย่างเสียงกระเดื่องกลองนั้นฟังแล้วมีความเป็นธรรมชาติ ทั้งอิมแพคและมวลที่ไม่กลวงหรือแน่นเกินจนรู้สึกแข็งครับ เบสมีหัวโน๊ตที่ชัดเจน และเก็บตัวได้ไวครับ
เสียงกลางหนานุ่มเหมือนพิซซ่า อ้าว !!! ไม่ใช่ครับ อิอิ เสียงกลางรวมถึงเสียงร้องมีมวลที่อิ่ม นุ่มนวลและไหลลื่น และมีเสียง Sibilience พวกเสียงรอดไรฟัน ส ซ ค่อนข้างน้อยครับ เมื่อเทียบกับแอมป์ในระดับเดียวกัน อย่างเพลง S'Wonderful ของ Diana Krall นั้นเห็นได้อย่างชัดเจน แม้จะมีตัว S เต็มไปหมดเลย แต่ฟังได้สบายหูดีทีเดียวครับ ตำแหน่งของนักร้องนั้นไม่ถอยไปด้านหลัง ถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่าง Cypher Labs Duet แล้ว เจ้า MK3 B+ จะ Forward มาใกล้เรามากกว่า เสมือนนั่งใกล้ขอบเวทีมากขึ้น แต่ก็ไม่อึดอัดครับ ซาวด์กีต้าร์นั้นโดดเด่นทั้งขนาดของอิมเมจที่ค่อนข้างใหญ่ มีไดนามิคและแรงปะทะที่ทรงพลัง ให้อารมณ์คล้ายตู้แอมป์จริงๆเลยครับ รายละเอียดพวกซาวด์แตกๆทำได้สมจริง แตกออกมาเป็นเม็ดๆเลยครับ รวมถึงหัวโน๊ตที่ชัดเจน ท่อนโซโล่นั้นไล่เมโลดี้ได้ดี ไม่มีอาการคลุมเครือ เสียงกลองอย่างสแนร์และทอมนั้นลงตอนฟาดลงไปสัมผัสถึงน้ำหนักและความตึงของหนังกลองได้เป็นอย่างดีครับ
เสียงแหลมออกไปทางเนียนและละเอียด ติดวอร์มนิดๆ ฟังสบายโดยไม่ล้าหูเลยครับ ถ้าเทียบกับตัวท็อปของค่ายอื่น อย่าง Cypher Labs Duet ซึ่งเจ้า Duet จะให้เสียงแหลมที่จะแจ้งค่อนไปทางโทน Bright กว่าครับ
เวทีเสียงนั้นค่อนข้างกว้าง การแยกชิ้นดนตรีนั้นทำได้ดีตามาตรฐานตัวท็อป ตำแหน่งชิ้นดนตรีอย่างกีต้าร์ กลองแต่ละชิ้นนั้น มีที่ทางที่ชัดเจน การไล่เสียงจากซ้ายไปขวาทำได้เนียนครับ
ในส่วนของกำลังขับนั้นสูงทีเดียวครับ แม้จะใช้ช่อง Single End ก็ขับหูฟังอย่าง Yuin PK1 นั้นใช้เพียงแค่ Mid Gain ก็เพียงพอแล้วครับ รวมไปถึง Full - size ยอดนิยมอย่าง AKG K701 ได้สบายๆอีกด้วยครับ
โดยรวมนั้นเป็นแอมป์ที่ฟังง่ายสไตล์ Musical ไม่ถึงกับ Audiophile จ๋าจนเกินไป และให้เบสที่มีคุณภาพกับเสียงกลางแหลมที่ไม่จัดจ้าน และแนวเสียงนั้นค่อนข้างแมชท์ชิ่งกับหูฟังได้ง่าย ยิ่งถ้าเป็น Grado และ Alessandro นั้นเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยครับ เรียกว่าเป็นแอมป์ที่ฟังร็อค, ป็อบร็อค, เฮฟวี่เมทัล ,EDM ได้สนุกที่สุดตัวนึงเลยครับ
ราคาของ ALO รุ่น RX MK3 B+ นั้นอยู่ที่ 21,900 บาท สามารถแวะทดลองฟังได้ที่มั่นคงแก็ดเจ็ทสาขาเรือธงเลยจ้าาาา

อุปกรณ์ที่ใช้เทส
Player : Astell & Kern AK120ii , Cowon P1
Cable : ALO Reference 8 , DHC Complement 4
Headphone : Yuin PK1 ,Canal Works L71a, Grado RS1e , Grado PS500 ,Alessandro MS-Proi ,AKG K701, Sennheiser HD650

วันนี้ต้องลากันไปก่อนครับ^^
สวัสดีคร้าบบบบบ

ขอบคุณครับ กำลังจะถอยแอมป์พอดี เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ต้องไปลองฟังครับ

เสียงดีครับ ไปลองมาวันก่อน ขอบคุณ คุณตั้มมากนะครับ บริการดีมากๆเลย

ขอบคุณเช่นกันครับพี่^^
ลองตัวนี้แล้วอย่าลืมลองให้ครบกันนะครับ กับจตุรเทพแอมป์พกพา
- Cypherlabs AlgoRhythm Duet
- Cypherlabs AlgoRhythm Trio
- Amaze 6.8
- ALO RX MK3 B+