Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

อยากรู้ว่าคุณภาพเสียง Hi-Res เนี่ย คือไฟล์อะไรหรอครับ

paramore

01/06/2015 12:11:20
0



พอดีแฟนผมเค้าซื้อเครื่องเล่นเพลงมาตามรูป แต่ไม่รู้ว่า hi-res ต้องใช้ไฟล์อะไร จะได้ใช้คุ้มประสิทธิภาพ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

Alone[]

01/06/2015 12:26:44
6
ใช้ให้คุ้มประสิทธิภาพที่สุดคงไฟล์เพลง 24bit (ไฟล์เพลงส่วนใหญ่ 16bit และ mp3 ก็ด้อยลงไปอีก) ซึ่งให้เสียงที่รายละเอียด และ ความสมจริง ดีกว่า mp3 และ .flac .wav ทั่วไป (ต่างมาก หรือ น้อย แล้วแต่หูคน)
ซึ่งราคาของไฟล์เพลงพวกนี้ ประมาณอัลบั้มละ 1,000 บาท และไม่มีเพลงไทย รวมถึงเพลงสากลที่ฮิตๆก็ไม่ค่อยมี ......

แต่ .. ถึงอย่างไร เครื่องเล่นนี้ก็เล่นเพลงทั่วๆไปได้ครับ และให้เสียงที่ดีกว่าโทรศัพท์ทั่วไปด้วย
ซึ่งเสียงดีหมายถึง ให้รายละเอียดที่ดีกว่า ทั้งย่านต่ำ(เบส) ย่านกลาง(เสียงร้อง กีต้าร์ กลอง) และย่านสูง(เสียงเครื่องสายต่างๆ รวมถึงเสียงกลอง hi-hat ต่าง)

ส่วนความคุ้มค่า ก็อยู่ที่ว่าคนใช้จะฟังออกต่างจากมือถือทั่วไปมากน้อยเท่าไร บางคนฟังแล้วต่างกันไม่มาก(โชคดีสุดๆ) ก็ใช้แค่มือถือ+เพลง mp3 320k ก็ฟินละ แถมสะดวกไม่พกหลายอัน .... แต่น่าเสียดายที่ พอเข้าวงการนี้แล้ว ส่วนใหญ่ จะติดเขาวงกตวงการเล่นหูฟังครับ ... ยินดีต้อนรับครับ อิอิ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

Tum เรือนเสียง

01/06/2015 13:11:39
7
คห.1 ทิ้งท้ายได้น่ากลัวมากครับ 5555!
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

หลุยส์ munkonggadget

01/06/2015 13:50:15
1,057
Hi-Res เป็นไฟล์ความละเอียดสูงกว่า บิทเรทสูงกว่า และใช้พื้นที่ในการจัดเก็บมากกว่าครับ

อย่างเช่น
MP3 320kbp ขนาดไฟล์เพลงละ 10 mb.
Flac 24 bit. ขนาดไฟล์เพลงละ 200 mb. เลยก็มี

ซึ่งไฟล์พวกไฮเรสจะมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่าตัว แต่ก็เเลกกมากับเสียงที่ดีกว่าเช่นกันครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

ohwownoone

01/06/2015 14:39:51
370
ลองอ่านดูครับ ผมว่าน่าจะมีความเข้าใจมากขึ้น

http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=172244
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

hockamania

02/06/2015 10:28:49
จากที่แรกๆ ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเสียงมาก ฟังเพลงไปเรื่อยๆ แต่พอรู้จักกับ 24bit เท่านั้นแหละครับ ชีวิตเปลี่ยน เริ่มเดินเข้าสู่วงการหูฟังเมื่อไหร่ ติดเขาวงกตเหมือน คห.1 นั่นเลย ฮ่าๆๆๆ ผมก็เพิ่งโหลดเพลง FLAC มาฟัง ขนาดไฟล์ใหญ่กว่า คุณภาพเสียงดีกว่า แล้วแต่ประสบการณ์หูกันเลยครัช
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

paramore

02/06/2015 10:40:15
0
โหหหหห ขอบคุณครับ ผมอะลองเอาเพลง mp3 ปกติมาฟังละ เสียงมันก็ดีกว่าตัวอื่นๆ แล้วก็ลองโหลด flac 24 bit หาเพลงนอกมาฟัง เสียงเหนือชั้นมากครับ ฟังออกนะว่ามันดีกว่ากัน แต่เรื่องหูฟังสงสัยต้องเดือดร้อนกระเป๋าตังอีกละ 55 sony ตัวนี้เสียงแจ่มจริงครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

TTPOD ZERO

02/06/2015 10:47:39
11
ไฟล์ FLAC เท่าที่ เคยฟังมา เสียงจะ SMOOTH ราบเรียบ ดีเทล ฉากพื้นหลังนิ่งสงัดมาก เสียงสะอาด ลื่นไหล เป็น ธรรมชาติ กว่า ไฟล์ MP3 ไปมาก ยิ่ง ถ้า RIP เพลง จะ CD ลิขสิทธิ์แท้ ยิ่ง ใช่เลย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

muay-inear

02/06/2015 11:08:57
มันไม่ใช่นามสกุลอะครับ มันเป็นตระกูล ก็มีพวก flac , aiff , wav , alac เป็นต้น ส่วนเครื่องเล่นไฟล์พวกนี้ก็จะให้เสียงที่เทพขึ้นไปกว่า mp3 ที่ผมรู้จักตอนนี้ก็ Sony นะ มีหลายรุ่นเลยครับ ส่วนตัวใช้ A15 อยู่
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

m and m

02/06/2015 18:58:28
38
ตามคห.1 อีกเสียงครับ สมัยก่อนเพลงอะไรก็ฟังได้ พอเจอDx90เดิมๆ ก็ว่าจะจบ แล้วก็โดนแอมป์ Aune B1 กำลังหาสายm2mดีๆสักเส้น วงการนี้หยุดยาก จริงๆ T-T
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

taorel

03/06/2015 07:15:41
โง่ ....

เรื่องแค่นี้ยังต้องถาม ... ถามแบบคนไม่ฉลาดเลย เสียเวลาอ่าน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 11

MacKerelz

03/06/2015 08:23:41
0
^repบน
คุณโง่เองครับที่เข้ามาอ่านให้เสียเวลา
คนเราไม่รู้ก็ต้องถามถูกแล้วครับ จขกท.ไม่รู้อะไรถามมาเถอะครับไม่งั้นก็ไม่รู้อยู่วันยังค่ำ
หลายคนก็ยังไม่รู้อะไรคือHi-res
คนเราจะทำอะไรก็ได้ครับ แต่อย่าทำเซียน
ให้กำลังใจ 1
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

m and m

03/06/2015 17:23:58
38
อย่าไปคิดมากครับ พวกอยากดัง เกรียนตามคีย์บอร์ด
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

yooooooong

06/06/2015 15:18:58
0
ไฟล์เสียง


เคยรู้สึกกันมั้ยครับ ทำไมเพลงที่เราฟังกันทั่วไป บางเพลงถึงเสียงดี บางเพลงถึงเสียงไม่ดี…..
ความจริงแล้วเพลงที่เราใช้ฟังกันโดยทั่วไป เสียงจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับ ยกตัวอย่างเช่น ลำโพงหรือหูฟังที่เราใช้อยู่ สามารถตอบสนองย่านความถี่ได้มากน้อยขนาดไหน หรืออาจเป็นต้นกำเนิดเสียงที่อาจไม่ดี หรือมีคุณภาพเสียงต่ำมาตั้งแต่แรก ซึ่งแน่นอนว่าเพลงที่เราใช้ฟังกันในปัจจุบันส่วนใหญ่จะถูกจัดเก็บในรูปแบบของไฟล์ และนั่นเป็นสิ่งที่เราจะนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ครับ

ในโลกใบนี้มี “ไฟล์เสียง” มากมายหลายรูปแบบ มีสถานะการจัดเก็บอยู่ในรูปแบบของไฟล์ ไฟล์บางชนิดก็ให้เสียงที่มีคุณภาพดี ย่านความถี่ครบเหมือนกับเสียงที่ถูกบันทึกเข้ามาเลย ซึ่งธรรมชาติของไฟล์แบบนี้ จะมีขนาดใหญ่กว่าไฟล์ที่ถูกบีบอัดมาแล้ว ซึ่งการบีบอัดเสียงนี้ก็มีอยู่ 2 ประเภท เราลองไปดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง



การบีบอัดเสียง มี 2 ประเภท คือ Lossless กับ Lossy

1. Lossy Audio

ไฟล์ประเภทนี้ คือไฟล์ที่ถูกลดบั่นทอนคุณภาพลงมา เพื่อแลกกับขนาดไฟล์ที่เล็กลง (เหมือน Winzip) นามสกุลที่เรามักได้เจอกันบ่อยๆก็คือ .MP3 แต่ถึงแม้จะบอกว่า .MP3 เหมือนกันแต่ก็มี Bitrate ที่แตกต่างกัน เช่น 93kbps, 126kbps, 198kbps อันนั้นก็คือระดับคุณภาพของไฟล์นั่นเองครับ ยิ่งมีเลขที่เยอะ ก็คุณภาพดีขึ้นตามไปด้วย แต่ก็แลกมาด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้นนั่นเอง (สังเกตุง่ายๆพวกแผ่นผี Vampire มักจะยัดเพลงลงได้เยอะๆ เพราะเน้นแต่ Bitrate ต่ำๆนั่นเอง)

ถามว่า Bitrate ที่ต่างกัน มันจะมีผลอย่างไร ตอบได้เลยครับว่าแตกต่างมาก เพราะเพลงที่ Bitrate ต่ำ มันก็เหมือนอัดมาไม่ละเอียด ตอนฟังเราจะรู้สึกเสียงอับๆ ฟังแล้วอึดอัด เสียงแตกๆบ้างก็มีครับ

พูดมาถึงขนาดนี้แล้วหลายๆคนคงจะเกลียด .MP3 กันไปเลย แต่จริงๆแล้วนั้นคุณภาพของไฟล์ MP3 ก็ไม่ได้ขี้เหร่มากนัก เพราะถ้าหาก Rip ไฟลืจาก CD แท้ มาที่ 320kbps นั้นก็ถือว่าคุณภาพใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าหูไม่เทพจริงก็แยกกันไม่ออกหรอกครับ

ปล. มาถึงนี่หลายๆคนคงคิดจะลักไก่เอา โดยการเอาไฟล์ Bitrate ต่ำๆลองมาแปลงเป็น Bitrate สูงๆ อันนี้บอกได้เลยครับว่าเปล่าประโยชน์ เพราะการทำแบบนี้ คุณภาพเสียงที่ได้ก็จะอ้างอิงจากต้นฉบับ Bitrate ต่ำๆเหมือนเดิม แถมขนาดไฟล์ที่ได้ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย

2. Lossless Audio

ไฟล์ประเภท Lossless Audio คือไฟล์ที่ไม่ได้ผ่านการถูกบีบอัด หรือไฟล์ที่ปราศจากการสูญเสีย คุณภาพเสียงจะเท่าเทียมกับพวกแผ่น CD ต้นฉบับที่วางขาย สมมุติ CD แผ่นนึงมีความจุ 500mb ไฟล์ Lossless 1 อัลบั้ม ก็มีขนาด 500mb เกือบเท่า CD 1 แผ่นเลย ไฟล์ชนิดนี้เป็นที่นิยมสำหรับกูรูนักฟังที่ฟังเพลงกันเป็นชีวิตจิตใจครับ

ข้อดีของไฟล์ Lossless นั้นนอกจากจะได้คุณภาพเสียงที่ดีแบบสุดๆแล้ว ยังมีข้อดีที่ Lossy ทำไม่ได้อีกก็คือ การแปลงไฟล์จาก Lossless ไป Lossless นั้นไม่ได้บั่นทอนคุณภาพลดลงไปเลย สำหรับการหาไฟล์ Lossless นั้นก็สามารถ Rip ได้จากแผ่น CD ต้นฉบับโดยตรงเลยครับ ผ่านโปรแกรมต่างๆเช่น iTunes แต่โดยส่วนตัวผมแนะนำโปรแกรม EASY CD-DA Extractor จะดีกว่าครับ

ปล. ขอเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ การแปลงไฟล์จาก MP3 ไปเป็น Lossless นั้นไม่มีประโยชน์นะครับ เพราะเหมือนกับเอาผ้าขาดๆออกมาขยายให้ใหญ่ขึ้น สุดท้ายยังไงมันก็ขาดอยู่ดี เสียงที่ได้ก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิมครับ
ทีนี้เรามาดูกันแบบละเอียดอีกนิดนึงดีกว่าครับ ว่ารูปแบบไฟล์เสียงที่เรานิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีไฟล์ชนิดไหนกันบ้าง

AIFF
ย่อมาจาก Audio Interchange File Format เป็นรูปแบบที่ใช้กันมากกับโปรแกรมบน Mac เพราะ Apple เป็นผู้ริเริ่ม เป็นได้ทั้ง Mono และ Stereo ความละเอียดเริ่มต้นที่ 8 Bit/22kHz ไปจนถึง 24 bit/96kHz และมากกว่านั้น

WAVE
ไฟล์เสียง wave เป็นไฟล์เสียงที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด ไฟล์ประเภทนี้มีนามสกุล .wav จัดเป็นไฟล์เสียงมาตรฐานที่ใช้กับ Windows คุณสมบัติที่สำคัญคือครอบคลุมความถี่เสียงได้ทั้งหมด ทำให้คุณภาพเสียงดีมาก และยังให้เสียงในรูปแบบสเตอริโอได้อีกด้วย ข้อเสียคือไฟล์ .wav มีขนาดใหญ่ทำให้สิ้นเปลืองพื้นที่ในการเก็บข้อมูลมาก

CDA (CD Audio)
ไฟล์ CDA เป็นไฟล์เพลงบนแผ่น CD ที่ใช้กับเครื่องเล่น CD ทั่วไป ไฟล์ประเภทนี้เมื่อนำมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรมสำหรับเล่น CD จะมองเห็นข้อมูลเสียงในรูปของแทร็กเสียง (Audio Tack) แต่ถ้าดูด้วย Windows Explorer จะเห็นเป็นไฟล์มีนามสกุล .cda ไฟล์ CDA มีคุณสมบัติทางเสียงเหมือนกับไฟล์ wave คือให้คุณภาพเสียงที่ดีเป็นธรรมชาติ จึงนิยมใช้บันทึกลงบนแผ่น CD เป็นสื่อดนตรี เรียกทั่วไปว่า “CD เพลง” ถ้าต้องการ copy หรือนำไฟล์ประเภทนี้มาใช้งานกับโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ จะต้องแปลงให้เป็นไฟล์ wave หรือไฟล์ที่โปรแกรมประยุกต์นั้นๆรู้จักเสียก่อนจึงจะใช้ได้ หรืออาจจะใช้โปรแกรมที่สามารถ Extract ไฟล์ Audio CD ออกมาเป็นไฟล์ wave ซึ่งก็มีใช้หลายโปรแกรม เช่น Sound Forge, Ware Lab

FLAC
ไฟล์ FLAC ย่อมาจากคำว่า Free Lossless Audio Codec เป็นฟอร์แมตเพลงชนิดที่เป็นแบบ lossless คือไม่เสียคุณภาพของเพลงไป ได้รับการยอมรับว่าคุณภาพของเสียงที่ได้นั้นอยู่ในขั้น “ไฮ-ไฟ” หรือที่เราคุ้นกับคำว่า “ไฮ-เอ็นด์” ที่สำคัญไฟล์ในรูปแบบนี้ก็ยังเป็น open source ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ใดๆให้ต้องระแวง สามารถหาฟังกันได้แบบฟรีๆ ไฟล์ชนิดนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อลดข้อจำกัดของเพลงในรูปแบบ .wav ที่มีขนาดใหญ่ แต่ไม่สามารถเก็บ Metadata (ข้อมูลต่างๆของไฟล์เพลง) ซึ่งไฟล์ FLAC นั้นคล้ายๆกับการเอา .wav มาทำการ Zip ไฟล์ให้มีขนาดเล็กลง และทำการคลาย Zip ในขณะเล่นเพลงด้วย Codec ที่ฝังอยู่ในโปรแกรมเล่นเพลงต่างๆ โดยไฟล์รูปแแบบ FLAC นี้สามารถลดขนาดจากไฟล์ .wav ลงได้ถึง 50-60% ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บ และยังมีคุณภาพเสียงที่คงเดิมอยู่

MP3
ไฟล์เสียง MP3 เป็นไฟล์เสียงยอดนิยมในปัจุบัน มีนามสกุล .mp3 เป็นไฟล์ที่ถูกบีบอัดข้อมูลทำให้ไฟล์ประเภทนี้มีขนาดเล็กลงมาก ลดลงประมาณ 10 เท่าเมื่อเทียบกับไฟล์ wave คุณภาพเสียง mp3 ค่อนข้างดีจึงนิยมใช้ไฟล์ประเภทนี้บันทึกข้อมูลเพลงลงบนสื่อคอมพิวเตอร์หรือ แผ่น CD การเล่นไฟล์ mp3 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องใช้โปรแกรมโดยเฉพาะซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย นอกจากนี้ยังสามารถเล่นได้กับเครื่องเล่น VCD ,DVD, CD ติดรถยนต์, เครื่องเล่น MP3 แบบพกพา (ใช้หน่วยความจำเฉพาะ เช่น Flash Memory หรือ memory Stick) รวมทั้งโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆอีกด้วย

RealAudio
คนชอบฟังเพลงบน Internet คงรู้จักกันดี ไฟล์ RealAudio จะแสดง Extension เป็น .ra หรือ .rm ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบ RealSystem G2 ไว้สำหรับการเล่น multimedia จาก RealNetworks ซึ่งจะมี Tools ในการเล่น, encode รวมไปถึง tools ในการทำ server ให้ใช้ฟรีๆ ในการส่ง Audio, Video, Animation ผ่านเวป แต่แม้ว่าโปรแกรมดนตรีส่วนใหญ่จะไม่ใช้ RealAudio ในการบันทึก แต่กับบางโปรแกรม เราสามารถเก็บงานของเราเป็น RealAudio เพื่อใช้บนเว็ป ซึ่งแน่นอนว่า RealAudio ก็เป็น Lossy Format เหมือนกับ MP3

OGG
เป็นรูปแบบของไฟล์เสียงใหม่ล่า สุด มีชื่อเต็มคือ Ogg มีนามสกุล .ogg ไฟล์ Ogg Vorbis ใช้เทคโนโลยีการบีบอัดไฟล์แบบใหม่ ทำให้ไฟล์ที่ได้มีขนาดเล็กกว่า MP3 เสียอีก แต่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าและที่สำคัญคืออยู่ในกลุ่มของ Open Source Project ทำให้กลายเป็นฟรีแวร์ อีกทั้งยังมีความสามารถด้าน Streaming ด้วย ทำให้ได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้เล่นอินเตอร์เน็ต ไฟล์ Ogg Vorbis สามารถเล่นได้โดยใช้โปรแกรมสำหรับเล่นไฟล์ MP3 โดยมีข้อแม้ว่าโปรแกรมนั้นจะต้องมี Plug-in สำหรับ Ogg ด้วย Ogg Vorbis นับเป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการไฟล์เสียง เพราะมีขนาดที่เล็กมาก สามารถเข้ารหัสเสียงได้หลายแบบทั้ง mono,stereo จนถึงระบบ 5.1 Surround Sound

MIDI
ไฟล์เสียง MIDI ไฟล์ข้อมูลเสียงดนตรี โดยมีนามสกุล .midi จะบรรจุข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้เสียงดนตรี เมื่อเล่นไฟล์ MIDI ก็จะเป็นการสั่งให้อุปกรณ์นั้นๆให้มีเสียงดนตรีออกมา เมื่อนำมาเรียงกันก็จะกลายเป็นท่วงทำนองดนตรีซึ่งก็คือเสียงเพลงนั่นเอง MIDI มีขนาดของไฟล์ที่เล็กมากทำให้นิยมใช้ในการเก็บข้อมูลที่เป็นเสียงดนตรี ดังจะเห็นได้จากวงดนตรีประเภทเล่นคนเดียว จะใช้ข้อมูลเพลงจากแผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลดนตรีได้เป็น 10 เพลง ใส่เข้าไปในเครื่องสร้างเสียงดนตรี (Sequencer) เพื่อให้สร้างเสียงเพลงตามข้อมูลดนตรีที่อ่านจากแผ่น สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็สามารถเล่นไฟล์ MIDI ได้โดยใช้โปรแกรมประเภท MIDI Player ซึ่งมีให้เลือกใช้มากมาย เสียงเพลงที่ได้จากโปรแกรมคาราโอเกะก็เป็นเสียงที่ได้จากไฟล์ MIDI เช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจึงสามารถนำเสียงเพลงจากโปรแกรมคาราโอเกะมาใช้ได้ แต่ถ้าจะให้สะดวกก็ควรแปลงให้เป็น wave เสียก่อนจะทำให้สามารถนำไปตัดต่อและใช้งานได้ง่ายขึ้น

WMA
ไฟล์ WMA เป็นรูปแบบไฟล์แบบหนึ่งของบริษัทไมโครซอฟต์ ชื่อเต็มคือ Windows Media Audio เป็นไฟล์ทีมีนามสกุลเป็น .wma จัดได้ว่าเป็นคู่แข่งของ mp3 และ Real Audio เพราะมีคุณสมบัติด้านการ Streaming เช่นเดียวกัน แต่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าในขณะที่ขนาดของไฟล์เล็กกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้ใช้เวลาน้อยกว่าในการดาวน์โหลดผ่านอินเตอร์เน็ต เมื่อก่อนการเล่นไฟล์ประเภทนี้ต้องเล่นผ่านโปรแกรม Windows Media Player เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีโปรแกรมหลายโปรแกรมที่สามารถเล่นไฟล์นี้ได้

AAC
ไฟล์ AAC มาจาก Advanced Audio CODEC เป็นรูปแบบไฟล์บีบอัดอีกรูปแบบหนึ่งที่นับวันจะได้รับการยอมรับ และจะเป็นรูปแบบไฟล์แห่งอนาคต โดยมีคุณภาพเสียงที่ดีกว่า MP3 แต่มีขนาดไฟล์ที่เล็กกว่า มี bit-rates ต่ำกว่า

M4A
ไฟล์ M4A เป็นมาตรฐานที่พัฒนามาจาก AAC โดยทางผู้ผลิตคือบริษัท Apple ได้สร้างมาตรฐานนี้ขึ้นมา ให้ใช้กับโปรแกรม iTune โดยมีความสามารถในการบีบอัดได้หลายขนาดและทางบริษัท Apple ต้องการให้ฟอร์แมตนี้ ขึ้นมาแทนที่ฟอร์แมต AAC เดิม โดยนอกจากความสามารถในการบีบอัดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแล้ว m4a ยังมีความสามารถ ในการรองรับ Tagging Standard นั่นคือสามารถเก็บชื่อเพลงและชื่ออัลบั้มได้ ซึ่งความสามารถนี้ในฟอร์แมต AAC ไม่มี

DSD
ไฟล์ DSD นั้นย่อมาจาก Direct Stream Digital เป็นเครื่องหมายการค้าของ Sony และ Philips สำหรับรูปแบบสัญญาณเสียงที่ใช้ใน Super Audio CD สิ่งที่ทำให้ DSD แตกต่างจากสัญญาณเสียงแบบอื่น ๆ ที่เราฟังกันอยู่ทั่วไปคือ DSD จะใช้การเข้ารหัสแบบ PDM หรือ Pulse-density modulation แทนแบบ PCM หรือ Pulse-code modulation ที่เราเคยเจอกัน โดย DSD ตอนนี้จะมี Sampling rate ที่ 2.8 MHz และ 5.6 MHz ซึ่งเชื่อว่าการเข้ารหัสสัญญาณเสียงแบบนี้จะทำให้คงคุณภาพของสัญญาณได้เหมือนดั่งสัญญาณเสียงต้นฉบับเลยทีเดียว
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
"อยากรู้ว่าคุณภาพเสียง Hi-Res เนี่ย คือไฟล์อะไรหรอครับ"