Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

ถึงคุณ XXiii เห็นสั่งของ ebay บ่อยรบกวนสั่งอันนี้ให้ด้วยครับ

nopphong

27/03/2008 20:28:53
คืออยากได้ kefir น่ะครับแต่เมืองไทยท่านบอกให้แจก ห้ามขาย สุดท้ายเลยหาไม่ได้เพราะไม่รู้จะไปขอใคร
เห็นใน ebay เขามีขายเลยอยากรบกวนให้ซื้อให้ด้วย ถ้ารวมค่าส่งแล้วไม่เกินพันนิดๆล่ะเอามาเลยครับ
ลิ้งครับ
http://cgi.ebay.com/More-than-1-4-cup-of-live-organic-milk-kefir-grains_W0QQitemZ110236103512QQihZ001QQcategoryZ1279QQssPageNameZWDVWQQrdZ1QQcmdZViewItem

ส่วนท่านที่อยากรู้ว่า kefir คืออะไรเดี๋ยวจะมาต่อให้ครับ อิอิ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

nopphong

27/03/2008 20:32:30
อันนี้แปลมาจากเว็ปของฝรั่งชื่อ www.kefir.net ครับ
เอามาฝากเผื่อเพื่อนๆที่รักสุขภาพจะได้หามาทานกันครับ

1.บัวหิมะคืออะไร บัวหิมะ ฟรั่งเรียก kefir (ตั้งแต่นี้ผมจะเรียก kifir นะครับ เพราะเรียกบัวหิมะแล้วรู้สึกมันเวอร์ๆ โฆษณาเกินจริงยังไงก็ไม่รู้) มีต้นกำเนิดแถวๆตุรกี เป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายๆชนิดอยู่ร่วมกัน ประกอบด้วย (เป็นชื่อแบคทีเรียต่างๆผมแปลไม่ออก พอดีไม่ใช่หมอน่ะครับ อิอิ)
Lactococcus lactis subsp. lactis
lactococcus lactis subsp. cremoris
Lactococcus lactis subsp. diacetylactis,
Leuconostoc mesenteroides subsp. cremoris
Lactobacillus Kefyr (thermophilic)
Klyveromyces marxianus var. marxianus
Saccaromyces unisporus

2.แล้วมันต่างหรือเหมือนกับโยเกิตไหม
ต่างกันครับ kefir จะเหลวกว่ากลิ่นแรงกว่า และมีแบคทีเรียที่มีประโยชน์หลายชนิดกว่า วิธีการทำก็ค่อนข้างต่างกัน คือเจ้าแลคโตบาสิลัสในโยเกิตมันข้อนข้างอ่อนแอ ทำให้เวลาทำต้องมีการต้มฆ่าเชื้อสารพัดและต้องใช้อุณภูมิที่เหมาะสมในการทำด้วยจึงจะได้ผลิตภัณท์ที่ดีและจะต้องผลิดจากนมเท่านั้น ส่วนเจ้า kefir มันสามารถผลิตได้จากหลายๆอย่างเช่น นม น้ำเต้าหู้ น้ำกะทิ หรือแม้แต่น้ำหวาน การผลิตก็ไม่ยุ่งยาก แค่ต้องระวังให้ภาชนะสะอาด เรื่องอุณภูมิมันสามารถอยู่ได้ในอุณภูมิที่กว้างมาก (2-40 C)
ถ้าพูดกันในแนวของประโยชน์โดยตัดเรื่องของสารอาหารออกไป(เพราะเรื่องของสารอาหารมันเยอะมากเดี๋ยวจะมั่วไม่ได้ภาพพจน์)
เจ้าโยเกิตกินเข้าไปมันจะช่วยให้ทางเดินอาหารสะอาดและให้อาหารกับแบ็กทีเรียที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในลำใส้เรา แต่จะเป็นแบบชั่วคราวคือกินแล้วก็แล้วกัน ส่วนเจ้า kifir มันจะมีประโยชน์เหมือนกับโยเกิตแต่จะต่างกันตรงเจ้านี้จะเข้าไปอาศัยอยู่ในลำใส้เราได้เลยทำให้มีประโยชน์ในระยะยาวกับระบบทางเดินอาหารของเรา
แล้วมันยังมียีสเช่น Saccharomyces kefir และ Torula kefir ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคที่จะเข้ามาในทางเดินอาหาร และจะทำให้เรามีความต้านทานต่อเชื้อโรคเช่น อีโคไล และปรสิตต่างๆดีขึ้น
นอกจากนี้เจ้า kifir จะช่วยย่อยอาหารทำให้อาหารดูดซึมดีขึ้น ทำให้ลำใส้สะอาดมีสารพิษตกค้างน้อยลง
และขนาดของ kifir จะเล็กกว่าโยเกิตทำให้ย่อยได้ง่ายกว่า

3.สารอาหารใน kefir มีอะไรบ้าง
นอกจากแบคทีเรียที่มีประโยชน์ และยีสแล้ว ใน kefir ยังมีกรดอมิโนที่จำเป็นต่างๆ และโปรตีนในนมซึ่งถูกย่อยไปแล้วเป็นบางส่วนโดยเจ้า kefir จะมีข้อดีคือดูดซึมได้ง่ายกว่าดื่มนมโดยตรง นอกจากนี้ยังมี แคลเซี่ยมและแมกนีเซี่ยม ช่วยบำรุงระบบประสาท มี ฟอสฟอรัส วิตตามิน B1,B12 วิตตามิน K

4.kefir มีประโยชน์อะไรบ้าง
ใช้ดื่ม ทำให้ระบบทางเดินอาหารดีขึ้น มีสารอาหารต่างๆมากมาย ช่วยให้ระบบประสาทดีขึ้น ทำให้จิตใจสงบลง ช่วยในท่านที่นอนไม่ค่อยหลับ ส่วนสรรพคุณอื่นๆเห็นทางเว็ปเมืองนอกและคนที่เคยดื่มมีบอกไว้สารพัด แต่ผมไม่กล้าเอามาบอกเพราะดูจะเกินจริงไปหน่อยเลยอยากให้ไปอ่านเองจากต้นฉบับและใช้วิจารณะญาณเอาเองครับ
อ้อส่วนสำหรับท่านสาวๆใช้พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก เห็นเขาว่าทำให้ผิวดีขึ้นและขาวขึ้นได้ดีกว่าใช้โยเกิตครับเพราะยีสต์ใน kefir ช่วยในการฆ่าเชื้อได้ส่วนนึง เห็นเขาว่าสิวนี่ลดลงเยอะเลยครับ

5.จะทำ kefir อย่างไร

ก่อนอื่นต้องไปหาหัวเชื้อมาครับ แย่ตรงที่คนไทยเชื่อกันผิดๆว่าห้ามซื้อขาย(ฝรั่งขายกันโครมๆ แพงเสียด้วย) ทำให้หาซื้อไม่ได้ ต้องตีซี้ขอเอาจากคนที่มีอยู่แล้วทำให้ลำบากพอสมควร
พอได้มาแล้วก็เอามาใส่ลงไปในขวดที่ลวกน้ำร้อนแล้ว เทนมรสจืดลงไปหนึ่งกล่อง ไม่ต้องปิดฝาแต่ให้ใช้ผ้าขาวบางปิดปากขวดไว้ ทิ้งไว้ที่อุณภูมิห้อง 24-48ชั่วโมงแล้วแต่ว่าชอบเปรี้ยวมากหรือน้อย แล้วให้เทนมออกมาโดยกรองเอาเจ้าหัวเชื้อ(ที่เป็นเม็ดๆก้อนๆสีขาวๆ)เก็บเอาไว้ เอานมที่ว่าไปดื่มโดยใส่น้ำผึ้ง ผลไม้ ฯลฯ ตามชอบแช่ตู้เย็นไว้กินเย็นๆก็ได้ หรือจะเอาไปทาหน้าทาตัวก็แล้วแต่
ส่วนเจ้าหัวเชื้อก็ให้เอาไปใส่ขวดแช่นมเอาไว้เพื่อทำkifirชุดใหม่ต่อไป เจ้าหัวเชื้อนี้ไม่ว่าเราจะต้องการน้ำ kefir หรือไม่เราก็ต้องเปลี่ยนน้ำนมให้มันอย่างน้อยทุกๆสามวันครับ หากจะเก็บไว้นานกว่านั้นต้องเก็บในตู้เย็น แต่ยังไม่มีรายงานว่าเก็บได้นานสุดเท่าไรก่อนที่เชื้อมันจะตายครับ

เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ kefir
1.ห้ามขาย อันนี้ไม่จริงฝรั่งเขาขายกันเพียบเลยครับ ด้วยคนไทยเชื่อว่าห้ามขายอย่างนี้ถึงได้หากินกันยากนักหนานี่แหละครับ เสียดายจริงๆ
2.ห้ามโดนภาชนะโลหะ อันนี้ไม่จริง แต่ไม่ควรหมักในภาชนะโลหะเพราะกรดที่เกิดจากการหมักจะไปกัดเอา โลหะขึ้นสนิม หรือออกมาปะปนกับน้ำ kefir ที่เราจะใช้ดื่มได้
ความคิดเห็นที่ : 2

nopphong

27/03/2008 20:34:22
คำแนะนำผมอาจจะต่างจากความเชื่อของคนไทยเยอะหน่อยนะครับ แต่รับรองว่าใช้ได้ดีเพราะทางเมืองนอกเขาทำกันมาเป็นหลายสิบปี
คือ
1.ทานตอนไหนก็ได้ครับไม่ต้องท้องว่างก็ได้
2.จริงๆไม่ควรล้างเจ้าคีเฟอร์นะครับ (อ่านวิธีการด้านล่าง)
3.มันไม่กลัวโลหะครับ ช้อนหรือกระชอนสแตนเลสนี่สบายมากใช้มาตลอดไม่มีปัญหาอะไร

วิธีการทำคีเฟอร์ที่ผมใช้อยู่ประจำมีดังนี้ครับ
1.ผมจะซื้อโหลแก้วขนาดไม่ใหญ่มาซักสามขวด
2.ผมจะเอาหัวเชื้อคีเฟอร์ใส่ลงไป เทนมรสจืดตามไปซักหนึ่งกล่อง (สำหรับผมบางทีชอบข้นๆก็จะไม่ใช้นมกล่องแต่จะใช้นมขวด แบบไม่พร่องมันเนย ได้คีเฟอร์ข้นปึ้ก อร่อยมากๆ) เอาผ้าขาวบางปิดปากขวดไว้ กันมดกันฝุ่น
3.ทิ้งไว้ 24ชั่วโมง
4.เอาขวดเปล่ามา ใช้ตะแกรง(ผมใช้กระชอนสแตนเลสขนาดพอๆกับปากขวด) ค่อยๆกรอง โดยถ้ามันตันก็เคาะๆมันจะไหลต่อได้ เก็บตัวคีเฟอร์ที่เป็นเม็ดๆเอาไว้ใช้งานต่อเลยไม่ต้องล้าง ที่ใช้กระชอนสแตนเลสเพราะหาง่ายมีหลายขนาด และทำความสะอาดได้ง่าย
5.เอาขวดที่รับน้ำคีเฟอร์มาปรุงรสตามสบายเช่นใส่น้ำตาลเทียม ใส่น้ำส้มซันควิก(อร่อยมากๆครับแนะนำให้ลองดูเป็นการเพิ่มประโยชน์จากวิตามินซีด้วย)
เอาขวดเก่าที่เคยใช้หมักไปล้างด้วยน้ำยาล้างจานแล้วตากให้แห้งรอใช้ในคราวต่อไป
เอาขวดเปล่าอีกใบที่เหลือมาใช้หมักตามข้อสองต่อไป

ข้อดีสำหรับการใช้สามขวดคือ แน่ใจได้ว่าขวดที่จะใช้ในการหมักจะผ่านการล้างและตากให้แห้งทุกๆรอบของการทำครับ ส่วนเจ้าตัวคีเฟอร์ไม่ต้องล้างนะครับ ที่คนไทยเชื่อว่าให้ล้างทุกครั้งน่ะผิด เพราะมันจะไปล้างเอาส่วนที่กำลังเจริญเติบโตออกไป แถมบางทีคลอรีนในน้ำประปายังทำมันตายได้อีกต่างหาก ไม่ต้องกลัวเชื้อจะปนเปื้อนเจ้าคีเฟอร์(บางคนคิดว่าถ้าไม่ล้างนมของเก่าที่ติดตัวมันจะทำให้บูด) จริงๆแล้วเจ้าคีเฟอร์มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อในตัว ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่านมจะบูดหรือเสียครับ

ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนนมทุกวันนะครับ บางคนเห็นว่ามันยุ่งยากต้องดูแลคอยเปลี่ยนนมทุกวัน
ความจริงคือถ้าไม่ได้ใช้ดื่ม(อาจใช้ทาหน้า หรือ ไม่ได้ใช้ทำอะไรแค่ต้องการเลี้ยงไว้เฉยๆ) ไม่ต้องเปลี่ยนทุกวันครับ นานสุดที่แนะนำคือเปลี่ยนนมสามวันครั้ง ถ้าหากใช้ทาหน้าแนะนำให้แช่สองวัน เพราะจะมี AHA มากซึ่งจะมีผลดีมากกว่าแช่ไว้วันเดียวครับ
หากไม่ว่างคือจะไม่ใช้มันไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ให้ใส่นมตามปรกติแล้วแช่ตู้เย็นไว้(ไม่ใช่ช่องฟรีท) จะอยู่ได้ 1-2 อาทิตย์ แต่ถ้าสุดๆคือจะไปไหนเป็นเดือน ให้เอามากรองในผ้าขาวบางล้างให้สะอาด แล้วแขวนไว้ในที่ร่มจนมันแห้ง เอาใส่ถุงปิดปากแช่ตู้เย็นเก็บไว้ได้เป็นปีครับ (ถ้าหากมีคีเฟอร์เหลือควรทำวิธีนี้เตรียมไว้ เผื่อมีปัญหากับเจ้าตัวที่ใช้ประจำจะได้เอาตัวนี้ออกมาใช้ได้ ไม่ต้องไปขอใครใหม่) แต่ถ้าทำวิธีนี้ เวลาจะใช้ต้องใส่นมน้อยๆพอท่วมแล้วเปลี่ยนนมทุกวันประมาณ 3-4 วันเพื่อให้มันฟื้นตัวครับ

ความคิดเห็นที่ : 3

xxiii23

27/03/2008 21:20:00
เอางี้ เลยเหรอพี่ เอิ๊กๆ...555
เด๋ว ขอติดต่อพี่ทางเมล์ พี่ดีกว่า
มันมะเกี่ยวกับ หูฟังหรือแอมป์
เกรงใจเฮีย กับเพื่อนๆในบอร์ด
55555:192:
ความคิดเห็นที่ : 4

นายมั่นคง

27/03/2008 22:12:26



555 โอ๊ยไม่เป้นไรหรอกครับ จะคุยเรื่องสมุนไพรกวาวเครือ หรือคุยเรื่องยาดองเหล้าม้ากระทืบโรง หรือโด่ไม่รู้ล้มก็คุยได้ครับ 555

พี่ nopphong จะฝากผมสั่งให้ก็ได้ครับ ไม่ต้องเกรงใจจริงๆ ครับ (ไม่คิดค่าบริการเลยครับ) 555
ความคิดเห็นที่ : 5

xxiii23

27/03/2008 22:28:42
ครับเฮีย

bid ให้แล้วครับเค้าประกาศไว้หลายอัน $0.99 ค่าส่งอีก $16 มั้งครับ
อีก 6 ชม. รู้ผล ประหยัดให้ $2 ไม่น่ามีคน bid ทับนะ
เอิ๊กๆ...
ความคิดเห็นที่ : 6

nopphong

27/03/2008 22:37:03
ไว้ได้มาแล้วจะแบ่งให้เฮียไปลองซักหน่อย จะได้ช่วยลดริ้วรอย และขับถ่ายดี เฮียจะได้อยู่เปิดร้านไปอีกนานๆครับฮ่าๆๆ
ความคิดเห็นที่ : 7

นิ

18/03/2015 13:08:03
อยากได้บัวหิมะจากเมืองนอกคะ เพราะขนาดตัวจะใหญ่และแข็งแรงกว่า แต่สั่งในอีเบลย์ไม่เป็น รบกวนผู้รู้หน่อยคะ หรือ 084-9998823
Line : Ninew_nisa ขอบคุณคะ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
"ถึงคุณ XXiii เห็นสั่งของ ebay บ่อยรบกวนสั่งอันนี้ให้ด้วยครับ"