K 271 (หลังจากนี้ผมจะตัดคำว่า MK II ออกไปนะครับ เพราะมันยาว) เป็นหูฟังที่ออกแบบมาเพื่อการสวมใส่เป็นระยะเวลานานโดยเฉพาะ ด้วยน้ำหนักที่เบา และ ear pad ที่กระชับรับกับศีรษะได้ดี ผมสามารถใส่นอนได้โดยไม่ปวดขมับแม้แต่น้อย (แต่เมื่อยคอ เพราะหันหน้าไม่ได้)
นอกจากนี้ การสวมใส่ยังง่ายเหมือนรุ่นใหญ่อย่าง K 701 เพราะคุณแค่หยิบมันขึ้นมาสวมเท่านั้น ไม่ต้องปรับความยาวของ Headband แต่อย่างใด
2. เรื่องการเก็บเสียง K 271 มีความสามารถทั้งการกันเสียงเข้าและกันเสียงออกได้ดี ด้วย Closed-back ear cup และความกระชับของ pad บวกกับ switch ที่อยู่ตรงขอบด้านบนของ driver ข้างซ้าย เมื่อคุณถอดหูฟังออก switch ตัวนี้จะปิดการทำงานของหูฟังโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่มีเสียงออกไปรบกวนอุปกรณ์อื่นๆ
3. สามารถเปลี่ยน pad และสายสัญญาณได้ โดยที่ตัว MK II จะมีเพิ่มมาจากตัวเดิมคือ มีสายนำสัญญาณ 2 แบบ คือสายตรงและสายเกลียว และมี ear pad 2 แบบ คือ หนังเทียมและกำมะหยี่ นอกจากนี้ทาง AKG ยังจำหน่ายสายและ pad สำรองอีกด้วย ฉะนั้น หมดกังวลเรื่องสายขาดหรือ pad พังไปได้เลยครับ
จุดด้อยที่ต้องทราบในหูฟังคู่นี้
1. รูปร่างหน้าตา ถ้าใครเคยเห็นหน้าตามันแล้ว คงจะนึกสงสัยว่า &dquot;นี่มันของสำหรับโปรฯ หรือนี่ หน้าตากิ๊กก๊อกชะมัด&dquot; วัสดุภายนอกของ K 271 เป็นพลาสติกครับ แม้เป็นของเกรด A แต่ความทนทานคงไม่มากเท่าโลหะเป็นแน่ ซึ่งยิ่งตอกย้ำความเป็นหูฟังสำหรับงาน Studio ที่เน้นความเบาสบายเป็นที่ตั้ง คงไม่มีใครใส่มันไปกระโดดโลดเต้นในที่โล่งแจ้งหรอก จริงไหมครับ (ใครใส่เดินไปมาอาจถูกมองว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว)
2. Head band ของ K 271 ยึดกับตัว Ear cup ด้วยสายเส้นเล็กๆ เท่านั้นครับ แม้ความยืดหยุ่นจะสูง แต่คงไม่มีใครรับรองว่ามันจะยืดดดดดดด จนหย่อนเมื่อไร นี่เป็นจุดที่ผู้ที่มี K 701 ในครอบครองทราบกันดี
เวทีเสียงของเจ้า K 271 ก็ไม่ได้กว้างขวางเหมือนพวก Audiophile headphone แต่มันก็กว้างพอให้มีที่ใส่เสียงโดยไม่รู้สึกว่าเสียงซ้อนทับกัน หรือเรียกในภาษาบ้านๆ ว่า &dquot;ขี่คอกันเล่น&dquot;
การแยกชิ้นเครื่องดนตรี
K 271 เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ครับ เสียงต่างๆ แยกขาดจากกันอย่างสังเกตได้ ยิ่งใช้ฟังเพลงที่มีเครื่องหลายชิ้นยิ่งสังเกตได้ชัดเจน เสียงของเครื่องดนตรีที่เบามากๆ อย่าง triangle หรือ guitar ที่หลบอยู่ไกลๆ ก็สามารถรับฟังได้ แม้กระทั่งเสียง chorus ก็สามารถแยก line ได้ (ทั้งนี้เพลงต้องบันทึกมาดีพอสมควรด้วยนะครับ)
การทดสอบด้วยเพลงต่างๆ
เนื่องจากเพลงที่ผมฟังส่วนใหญ่จะเป็นแนว New Age กับ JPop (เฉพาะเพลงประกอบ Animation เท่านั้นนะครับ) การทดสอบนี้อาจไม่เป็นกลางเพราะผมไม่ค่อยฟังเพลงแนวอื่นๆ สักเท่าไร
-[Yanni] The Rain must fall (Live) เป็นเพลงแสดงสดที่ใช้เครื่องดนตรีไม่มากแต่ล้วนมีความโดดเด่นในตัว คือ Piano, Electric bass, Violin, Drum set
หลังจากฟังด้วย K 271 ไม่มีใครเด่นกว่าใครจริงๆ ครับ เสียงสับสแนร์ที่ละเอียดยิบ percussion เบสและไวโอลิน ไม่มีใครกินใครเลยครับ เวทีเสียงแม้ไม่กว้างขวางโอ่โถงแต่ก็สามารถจับตำแหน่งเครื่องดนตรีได้ชัดเจน
-[Yanni] Love is all อีกหนึ่งเพลงแสดงสดที่มีจุดเด่นคือเสียงร้องที่ทรงพลังและ Acoustic guitar ที่พริ้วไหว
K 271 นั้น ไม่เหมาะที่จะใช้ฟังเพลงร้องเท่าไรนัก เนื่องจากเสียงร้องอยู่ในระดับความลึกเดียวกันกับเครื่องดนตรีอื่นๆ ถึงกระนั้น เสียงร้องก็ยังคงมีพลังและมีรายละเอียดครบ ในขณะที่เสียงกีตาร์นั้น ได้ความคม ชัด ได้ยินแม้กระทั่งเสียงรูดและกรีดสาย
K 271 (หลังจากนี้ผมจะตัดคำว่า MK II ออกไปนะครับ เพราะมันยาว) เป็นหูฟังที่ออกแบบมาเพื่อการสวมใส่เป็นระยะเวลานานโดยเฉพาะ ด้วยน้ำหนักที่เบา และ ear pad ที่กระชับรับกับศีรษะได้ดี ผมสามารถใส่นอนได้โดยไม่ปวดขมับแม้แต่น้อย (แต่เมื่อยคอ เพราะหันหน้าไม่ได้)
นอกจากนี้ การสวมใส่ยังง่ายเหมือนรุ่นใหญ่อย่าง K 701 เพราะคุณแค่หยิบมันขึ้นมาสวมเท่านั้น ไม่ต้องปรับความยาวของ Headband แต่อย่างใด
2. เรื่องการเก็บเสียง K 271 มีความสามารถทั้งการกันเสียงเข้าและกันเสียงออกได้ดี ด้วย Closed-back ear cup และความกระชับของ pad บวกกับ switch ที่อยู่ตรงขอบด้านบนของ driver ข้างซ้าย เมื่อคุณถอดหูฟังออก switch ตัวนี้จะปิดการทำงานของหูฟังโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่มีเสียงออกไปรบกวนอุปกรณ์อื่นๆ
3. สามารถเปลี่ยน pad และสายสัญญาณได้ โดยที่ตัว MK II จะมีเพิ่มมาจากตัวเดิมคือ มีสายนำสัญญาณ 2 แบบ คือสายตรงและสายเกลียว และมี ear pad 2 แบบ คือ หนังเทียมและกำมะหยี่ นอกจากนี้ทาง AKG ยังจำหน่ายสายและ pad สำรองอีกด้วย ฉะนั้น หมดกังวลเรื่องสายขาดหรือ pad พังไปได้เลยครับ
จุดด้อยที่ต้องทราบในหูฟังคู่นี้
1. รูปร่างหน้าตา ถ้าใครเคยเห็นหน้าตามันแล้ว คงจะนึกสงสัยว่า &dquot;นี่มันของสำหรับโปรฯ หรือนี่ หน้าตากิ๊กก๊อกชะมัด&dquot; วัสดุภายนอกของ K 271 เป็นพลาสติกครับ แม้เป็นของเกรด A แต่ความทนทานคงไม่มากเท่าโลหะเป็นแน่ ซึ่งยิ่งตอกย้ำความเป็นหูฟังสำหรับงาน Studio ที่เน้นความเบาสบายเป็นที่ตั้ง คงไม่มีใครใส่มันไปกระโดดโลดเต้นในที่โล่งแจ้งหรอก จริงไหมครับ (ใครใส่เดินไปมาอาจถูกมองว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว)
2. Head band ของ K 271 ยึดกับตัว Ear cup ด้วยสายเส้นเล็กๆ เท่านั้นครับ แม้ความยืดหยุ่นจะสูง แต่คงไม่มีใครรับรองว่ามันจะยืดดดดดดด จนหย่อนเมื่อไร นี่เป็นจุดที่ผู้ที่มี K 701 ในครอบครองทราบกันดี
เวทีเสียงของเจ้า K 271 ก็ไม่ได้กว้างขวางเหมือนพวก Audiophile headphone แต่มันก็กว้างพอให้มีที่ใส่เสียงโดยไม่รู้สึกว่าเสียงซ้อนทับกัน หรือเรียกในภาษาบ้านๆ ว่า &dquot;ขี่คอกันเล่น&dquot;
การแยกชิ้นเครื่องดนตรี
K 271 เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ครับ เสียงต่างๆ แยกขาดจากกันอย่างสังเกตได้ ยิ่งใช้ฟังเพลงที่มีเครื่องหลายชิ้นยิ่งสังเกตได้ชัดเจน เสียงของเครื่องดนตรีที่เบามากๆ อย่าง triangle หรือ guitar ที่หลบอยู่ไกลๆ ก็สามารถรับฟังได้ แม้กระทั่งเสียง chorus ก็สามารถแยก line ได้ (ทั้งนี้เพลงต้องบันทึกมาดีพอสมควรด้วยนะครับ)
การทดสอบด้วยเพลงต่างๆ
เนื่องจากเพลงที่ผมฟังส่วนใหญ่จะเป็นแนว New Age กับ JPop (เฉพาะเพลงประกอบ Animation เท่านั้นนะครับ) การทดสอบนี้อาจไม่เป็นกลางเพราะผมไม่ค่อยฟังเพลงแนวอื่นๆ สักเท่าไร
-[Yanni] The Rain must fall (Live) เป็นเพลงแสดงสดที่ใช้เครื่องดนตรีไม่มากแต่ล้วนมีความโดดเด่นในตัว คือ Piano, Electric bass, Violin, Drum set
หลังจากฟังด้วย K 271 ไม่มีใครเด่นกว่าใครจริงๆ ครับ เสียงสับสแนร์ที่ละเอียดยิบ percussion เบสและไวโอลิน ไม่มีใครกินใครเลยครับ เวทีเสียงแม้ไม่กว้างขวางโอ่โถงแต่ก็สามารถจับตำแหน่งเครื่องดนตรีได้ชัดเจน
-[Yanni] Love is all อีกหนึ่งเพลงแสดงสดที่มีจุดเด่นคือเสียงร้องที่ทรงพลังและ Acoustic guitar ที่พริ้วไหว
K 271 นั้น ไม่เหมาะที่จะใช้ฟังเพลงร้องเท่าไรนัก เนื่องจากเสียงร้องอยู่ในระดับความลึกเดียวกันกับเครื่องดนตรีอื่นๆ ถึงกระนั้น เสียงร้องก็ยังคงมีพลังและมีรายละเอียดครบ ในขณะที่เสียงกีตาร์นั้น ได้ความคม ชัด ได้ยินแม้กระทั่งเสียงรูดและกรีดสาย