ขอเจิมหน่อยครับ

อาเฮีย ติ้งไหล กลับมาเช่นกัน อาตี๋

ก่อนอื่นขอแทรก ลิงก ความเห้นเรื่อง ขาตั้งลำโพงกันก่อนน่ะครับ
จาก เว้ปไทยออดิโอคลัป
http://thaiaudioclub.net/board/index.php?topic=7059.0

ตามมาด้วยครับ

ห้องเงียบมากๆ

ตัวนี้สวยครับ ชอบมาก

ตามมาห่างๆครับ อิอิ

สายแบบนี้เสียงดีหรือเปล่า

คุณ jittakorn

ต้องซื้อมาลองครับพี่

ฟังตัวเดิมไปก่อนครับ

JBL C608GTI

ตัวนี้ซัพในรถหรือเปล่าครับ

รวมชิ้นแบบนี้เสียงจะดีมั๊ยครับ

คุณ jittakorn

JBL C608GTI เป็นลำโพงเสียงกลางครับ เป็นแบบแยกชิ้น ราคาเอาเรื่องอยู่ครับ ส่วนตัวรวมชิ้นผมยังไม่เคยใช้เลยครับต้องขออภัย

อัพนิดๆ

โอ้โห.....!! คุณจิตกรสะสมลำโพงเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ ฮ่าๆ

เอามาจากเนตครับเห็นมันเยอะดี

sony สวยๆ

ได้ชุดนี้ซักชุดจบเลยครับ

กำลังขับไม่เยอะแต่เสียงดีครับตัวนี้

เข้าฤดูหนาวเต็มตัวแล้วครับ บรรยากาศดีฟังเพลงเพราะ แต่อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะครับ

ตำแหน่งการวางลำโพงมีความสำคัญกับน้ำเสียงที่ได้รับจากลำโพงอย่างเหลือเชื่อครับ

อยากหาหัวอ่านมาเปลี่ยนจัง

ถ้ามีแบบนี้ก็ดีครับ

หัวอ่านของเทียมนะครับพี่จิตกร อิอิ

รูปล่างหัวอ่านทราบครับ ตอนนี้ของแท้เริ่มหายาก ของเทียมได้มาก็ยังดีครับ
ดีกว่าปล่อยให้เครื่องมันจอดแบบนี้

*-*

เดี๋ยวนี้ดูยากครับอันไหนของแท้ ของเทียม

ˇ０ˇ สำหรับหัวอ่านเบอร์ sony kss-213 และ 240 ปัจจุบัน ของแท้เลิกผลิตไปนานแล้ว มีแต่ของจีนที่ผลิตขึ้นมาทดแทนครับ เป็นเบอร์ยอดฮิตในยุค 90 ที่ cd เข้ามามีบทบาทมากในตลาดเครื่องสียง หลายยี่ห้อนิยมใช้ในเครื่องเสียงของแบรนด์ตัวเอง เพราะ sony เป็นผู้บุกเบิกและคิดค้นเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา

▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ สำหรับการเลือกยี่ห้อที่ผลิตหัวอ่าน ควรดูจากแพ็คเกจ เอกสารต่างๆ หรือดูกระทั่งมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของโรงงาน จะบ่งบอกได้ว่า สินค้ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ มีการควบคุมคุณภาพที่ดีและส่วนใหญ่จะราคาสูงกว่าของเกรดต่ำ



<("""O""")> ตัวอย่าง ในภาพจะเป็น marantz cd5001 ใช้ชุดหัวอ่าน sony kss213

ซึ่งในเครื่องเล่น cd ทั่วไป มักจะเป็นชุดแท่นมาตรฐานมีขายทั่วไป มีมอเตอร์ขับแผ่น ขับหัวอ่าน พร้อมหัวอ่านครบชุด สามารถเปลี่ยนได้ทันที ไม่ยุ่งยาก แต่ในบางยี่ห้ออาจเป็นชุดแท่นเฉพาะตนและมีแผงวงจรด้านล่างแท่น การเปลี่ยนหัวอ่านและมอเตอร์จะยุ่งยากขึ้นอีกระดับหนึ่ง

คุณ jittakorn
kss-240a ด้านบนก็เทียมครับพี่

คุณ jetsadaton9999
ข้อมูลแน่นๆมาอีกแล้วครับ



ยินดีกับทีมชาติไทยด้วยครับ แชมป์ๆ อิอิ

งั้นรบกวนคุณปูดำ ช่วยส่อดส่องหาให้หน่อยครับ -_-

ฝากน้องเจษครับ ช่วงนี้หนาวแล้วระวังปอดบวมด้วย

(；°○° ) นึกถึงซีรี่ในความทรงจำเรื่องหนึ่ง Macgyver ยอดคนสมองเพชร ไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่เขาซ่อมไม่ได้ แม้มีแค่เพียงมีดพับเล่มเดียวเท่านั้น เป็นแรงบันดาลใจใ้ห้ตัวเองเป็นนัก DIY

︸ ︹ ︺ โปรเจคที่ค้างคาใจมานาน ขอบลำโพงเปื่อย???

ขั้นแรกต้องหาวัสดุที่เป็นพระเอกในงานนี้ คือ ขอบลำโพง นั่นเอง

ให้ท่านถอดลำโฑงออกจากตู้และวัดขอบยางว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่าไหร่

ในที่นี้ Onkyo D-V7 ใช้ขนาด 4.5 นิ้ว

ปรากฎว่า ได้มา 2 แบบ แบบหนึ่งขอบใหญ่หนา และ อีกแบบขอบเล็กบาง ???

｡◕‿◕｡ เลือกแบบใหญ่ๆแล้วกันงานนี้ จะได้ใช้นานๆ

สำหรับอุปกรณ์ที่สำคัญคือ คัตเตอร์คมๆ กาวยาง รังถ่าน 3 v. พร้อมสายหนีบ เดี๋ยวจะเฉลยทีหลังว่าไว้ทำอะไรครับ

[>\/<] ใช้คัตเตอร์ตัดขอบลำโพงเก่าและขูดคราวกาวออกออกให้หมด

<("""O""")> ท่านต้องมาร์คที่ขอบกรวยลำโพง โดยวางขอบลำโพงตัวใหม่ลงไปก่อน แล้วใช้ดินสอร่างบางๆ เพื่อไม่ให้ทากาวเกินระยะที่กำหนดไว้ จะได้สายงามครับ

------\\(˙<>˙)/------ จากนั้นทากาวยางบางๆที่ขอบของขอบลำโพงตัวใหม่และฐานขอบลำโพงกับกรวยนอกลำโพง????

∪︿∪ รังถ่าน 3 v. พร้อมสายหนีบ ใช้ในขั้นตอนนี้ครับ

⊙︿⊙ ก่อนที่จะวางขอบลำโพงที่ทากาวแล้วลงไป ให้ท่านป้อนไฟไปที่ขั้วลำโพงในลักษณะกลับเฟส เพื่อให้กรวยลำโพงดึงลงด้านล่างสุด

(^人^) จากนั้น วางขอบลำโพงตำใหม่ลงไป ให้ลงตำแหน่งเดิมเพื่อไม่ให้เกิดการเสียศูนย์ลำโพงภายหลัง (*** เคยอ่านเจอบางตำรา ให้ถอดหมวกครอบว้อยออก แล้วใช้ฟิล์ม X-Ray ยัดซอกว้อยกับแม่เหล็กเพื่อให้ว้อยตรงได้ศูนย์)

(O ^ ~ ^ O) กดเฉพาะขอบนอกเท่านั้นเพื่อให้เนื้อกาวติดแน่น

⊙︿⊙ ให้ท่านป้อนไฟไปที่ขั้วลำโพงในลักษณะถูกเฟส เพื่อให้กรวยลำโพงดันขึ้นด้านบนสุด และกาวที่ขอบดานในจะติดแน่นกับขอบกรวยด้านนอก พอดบพอดี ให้ท่านค่อยๆกดให้เนื้อกาวติดจนทั่วขอบจากนั้น หยุดจ่ายไฟ

▂▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ ขั้นตอนแปะขอบป้อนไฟต้องทำอย่างรวดเร็วที่สุด เพราะลำโพงแต่ละยี่ห้อทนไฟได้ไม่เท่ากันครับ *****

°º¤ø,¸¸,ø¤º°`°º¤ø*.:｡✿*ﾟ‘ﾟ･✿ ทิ้งไว้ซักพัก ลองกดกรวยลำโพงดูว่าลำโพงได้ศูนย์หรือไม่ ถ้ากดลงไปแล้วไม่มีการเบียดเป็นอันใช้ได้ แล้วประกอบลงตู้ได้เลย ทิ้งไว้ซัก 24 ชั่วโมงจึงจะใช้งานได้ปกติ

เป็นอันจบโปรเจค Diy เปลี่ยนขอบลำโพงอย่างง่ายครับ

เยี่ยมมากครับ น้องเจษ แต่ผมก็ยังไม่กล้าทำอยู่ดี กลัวมันพังทั้งลำโพง

เห็นพี่เจษลงลำโพงเล็ก ขอลงมั้ง อิ อิ ...

มาทักทาย และ สวัสดีปีใหม่พี่ๆ ทุกๆคนครับบบบบบ ^___^

959ทำไมเหลือครึ่งเดียวครับ

มีครบครับ แต่เห็นมันวางกับลำโพงเล็ก วางชิ้นเดียวสวยดี อิ อิ ...

(；°○° ) ลืมภาพตอนทำเสร็จครับ อิอิ

jittakorn --- อิอิอิ เจอ FH แล้วน้ำลายไหลนะสิพี่จิตร

kuchi --- ถ้ามีลำโพงด้วยจะนั่งเบ้นซ์จากบ้านนอกไปรับเองเลย

พี่เจษ ~~~ ลำโพง มีคนนั่งรถเบนช์ในรูปของพี่มารับไปนานแล้วจ้าาาา อิ อิิ^___^

⊙▂⊙ โปรเจครีแพร์ขอบลำโพงเพิ่มมาอีกกับลำโพงรุ่นยอดนิยมในอดีต sony ss-vx700av

๑•ิ.•ั๑ เนื่องจากขอบยางเปื่อย คาดว่าโดนแดดโดนความร้อนมายาวนาน ทำให้ยางเสื่อมสภาพ แข็งเป็นหิน ถ้าขอบยางไม่มีความยืดหยุ่นแล้ว จะต้องเร่งเสียงจากแอมป์สูงขึ้นเพื่อให้ได้ความดังปกติ ทำให้สูญเสียประสิทธิภาพเชิงกลและไฟฟ้าไปโดยเปล่าประโยชน์ และที่สำคัญ เสียงเบสจะแข็งกระด้างไม่นุ่มนวล เป็นผลให้เสียงโดยรวมแย่ลง

o(‧'''‧)o ในเคสนี้ เมื่ออัดเบสมากๆ ยางที่ขาดการให้ตัว ทำให้เกิดรอยปริบริเวณขอบโค้งทำให้เวลาเปิดจะมีเสียงรบกวนตลอดเวลา ถ้าฝืนใช้นานๆ ว้อยส์คอล์ยจะเบียดแม่เหล็กและขดลวดช็อตกัน พลอยทำให้พาวเวอร์แอมป์ที่รักกลับบ้านเก่าไปด้วยครับ ประการละฉะนี้

┣▇▇▇═─ เคสนี้ใช้ขอบลำโพง 6.5 นิ้ว ถามหาตามร้านอะไหล่แล้ว ส่ายหัวกันหมดกับไซส์แบบนี้และขอบเซาะร่องแบบนี้ ตัดสินใจ เลือกขอบยาง 8 นิ้ว มาโมดิฟายซะเลย

๑۩ﺴ ﺴ۩๑๑۩۞۩ จากผลการทดสอบเสียงดีขึ้นกว่าเดิมมาก นุ่มนวลชวนฟัง

เท่าที่ศึกษามา ขอบลำโพงวูฟเฟอร์จะมีอยู่ 4 ชนิด

(/•ิ_•ิ)/ 1.ยาง 2.โฟม 3. ผ้าอาบน้ำยา 4.กระดาษอาบน้ำยา

การเลือกของผู้ผลิตจะขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและบุคลิคเสียงที่ต้องการ

วูฟเฟอร์ลำโพงบ้านส่วนใหญ่จะใช้ขอบโฟมและขอบยางซะส่วนใหญ่

»-(¯`v´¯)-» ขอบลำโพงที่เป็นอะไหล่ขายกันทั่วไปมี 2 แบบ คือ แบบยาง (ซ้าย) และ โฟม (ขวา)

°º¤ø,¸¸,ø¤º°`°º¤ø*. ขอบยางให้ปริมาณเสียงทุ้มต้นดังว่าขอบโฟม มีความหนักของเบสมากกว่าขอบโฟม ฟังเพลงแนวแดนซ์ ร็อค จะเหมาะมาก แต่ถ้าชอบความนุ่มลึกของเบส ขอบโฟมน่าจะตอบโจทย์มากกว่า

ที่มา : http://kpp.ac.th/elearning/elearning3/book-10.html

jetsadaton9999 @ ทดสอบลำโพงทีถึงขนาดควันโขมง ไม่เบาครับน้องเจษ
kuchi @ พอดีผมก็มี 959กับเค้าตัวนึง ตั้งแต่ซื้อมา ยังไม่เคยเอาเข้าบ้านเลยครับ
ช่างบอกว่า เหลือแต่โครงแล้วครับ งัดเอาอะไหล่ไปทำตัวอื่นเกือบหมด

jittakorn --- อิอิ อากาศหนาวต้องเบิร์นลำโพง

▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ วิธีตั้งศูนย์ลำโพงให้ตรงแบบไม่ต้องเปิดหมวกครอบว้อยส์ ใช้โปรแกรมสังเคราะห์ความถี่ต่ำป้อนสัญญานเข้าลำโพงขณะประกอบทากาวขอบในขั้นสุดท้าย

เชื่อกันว่า การถักสายลำโพงและสายสัญญาน ช่วยลดสัญญานรบกวนทางไฟฟ้าได้ในระดับหนึ่งทำให้สัญญานต้นทางที่จ่ายไปยังปลายทางมีความผิดพลาดน้อย ส่งผลให้เกิดความเที่ยงตรงของเสียงดนตรี ผมเคยทำกับสายสัญญานแล้ว เกิดผลได้จริงโดยเฉพาะครอสทอล์ค หรือ การกวนกันข้ามชาแนล มีผลอย่างมากครับ มีผลกับซาวด์เสตจ ผมลองเอาโปรเจคในเน็ตมาให้ดูเป็นแนวทางครับ

DIY ถักสายลำโพงและสายสัญญาน



ที่มา : http://www.htg2.net/index.php?topic=13055.0

merry christmas นะครับทุกท่าน ^^

เดี๋ยวลองเอาไปทำบ้างครับ เผื่อเสียจะดีขึ้น

Merry X'mas ด้วยคนครับ

@jetsadaton9999 มีความรู้ดีๆ มาแบ่งปันอีกแล้วนะครับ ชอบๆ

jittakorn --- ลองถักสายแบบในภาพนะพี่ เสียงดีจริงๆนะ

jorsak7 --- แบ่งปันประสบการณ์ครับพี่ 555

ไม่ไหวครับน้องเจษ กลัวเสียงดีเกินไปครับ
jorsak7,,, หายไปหลายวันเลยนะครับ

เตรียมเค้าดาวน์ บ๊ายบายปี 2014

วันนี้เอางาน DIY ขาตั้งลำโพงวางหิ้างมาให้ดูเป็นแนวทางครับ

http://www.6moons.com/audioreviews/myoss/myoss.html

มันเหมือนขาตั้งกล้องมาก ไม่รู้ใช่ด้วยกันได้มั๊ยครับ น้องเจต

ไว้ทำอะไรครับ คุณปู

สำหรับเหล่าเจดี(DJ)มืออาชีพทั้งมวลครับคุณปู่ อิอิ

ปีใหม่แล้ว ใครได้วอลม เครื่องเสียงสุดที่รักกันไปบ้างครับ คริๆๆ

ลองเอา Hearing Test มาให้ทดสอบการตอยสนองความถี่ของหูแต่ละท่านครับ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองความถี่ของหูฟังหรือลำโพงของท่าน ด้วยครับ)



≡(▔﹏▔)≡ ผลการทดสอบของผม

▂▃▅▆█ ซ้าย ประมาณ 13,000 Hz ----- ขวา ประมาณ 15,000 Hz ข้างซ้ายไม่ค่อยจะดีแล้วง่า (︶︹︺)

ผมได้แค่12,000Hzเองง่ะ

เครื่องเสียงสุดเลิฟ ทั้งเดือนไม่ได้เปิดเลย

สวัสดีปีใหม่(ย้อนหลัง)ทุกท่านครับ

ขอให้เครื่องเสียงสุดรักของทุกท่านมีสุขภาพดี ไม่งอแง
ให้มีเวลาในการพักผ่อน(ฟังเพลง)มากๆนะครับ

vaiothai --- อิอิอิ ความถี่ปลายๆจะลดลงตามความเก๋าครับ (^人^)

jittakorn --- ชอบตัวขวาสุดง่ะพี่จิตร อิอิ

jorsak7 --- สวัสดีปีใหม่เช่นกันครับ ข้างไม้ สวยมากครับ

เจอเครื่อง dj mix ที่บ้าน รู้งี้เล่นตั้งนานแล้ว

น้องเจษ dj mix นี่ถ้าเป็นลูกผม มีเตะกลิ้งจริงๆ เปลืองแก็สครับ
939 เอามายั่วครับ ไม่ได้เปิดเดือนกว่าๆแล้ว

สวัสดีปีใหม่ครับทุกท่าน ไม่ค่อยได้เข้ามา ถ้าว่างจะแวะมาครับ รักษาสุขภาพกันด้วยครับ

robot --- หายไปนานเลยพี่เร็ด รักษาสุขภาพเช่นกันครับ

วันนี้อากาศเย็นๆ ฝนพรำ ขอฟัง Yamaha ให้ฉ่ำหัวใจ

jittakorn --- เอา Yamaha มายั่วเช่นกัน ฮี่ๆๆ

อู๊ยยยยยยยยยยยยยย อยากได้อ่ะน้องเจษ
หวัดดีครับ เล็ด

ผมเอาฮอนด้ามาโชว์บ้างครับ รุ่นนี้รับรองความกระหึ่มครับ ฮ่าๆๆๆ

แพงป่าวเสี่ย

ประเมินค่ามิได้ครับ อิอิ

ใกล้วันครูแล้วครับ นึกถึงรถขวัญใจครูอยู่รุ่นหนึ่ง Honda ดรีม คุรุสภา ขวัญใจครูบ้านนอก ขี่ไปสอน นร. ขึ้นเขาลงห้วย ถึงไหนถึงกันไม่มีงอแง

ดรีม รุ่นนี้น่าจะทนถึกๆอยู่ครับ

สวยแบบคลาสสิค ประหยัดน้ำมัน ใช้โดดเรียนก็ดีครับ เพราะซ้อนกันที 5 คน
(**ผู้ปกครองควรพิจารณา**)

รูปใหม่ครับ คุณปูฝากมาให้ทุกท่าน

ชนิด Class ต่างๆของ PowerAmp





คลาสของเพาเวอร์แอมป์ คือลักษณะการทำงานของวงจรแอมปลิไฟร์ต่างๆ การออกแบบภาคขยายและการจัดเรียงไบอัสให้กับทรานซิสเตอร์นั่นเอง จึงได้เคยคลาสต่างๆขึ้นมาผมจึงได้รวมรวบมาให้ศึกษากันครับ

Class A

พาวเวอร์แอมป์ชนิดนี้ เน้นในเรื่องของคุณภาพเสียง ค่าความเพี้ยนตํ่า และเสียงรบกวนน้อย แต่มีข้อเสียในเรื่องของความร้อนที่ค่อนข้างจะสูงเพราะมีการป้อนกระแสไฟให้ ทรานซิสเตอร์อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่มีสัญญาณอินพุทเข้ามาก็ตาม และกำลังขับที่ได้นั้นก็ค่อนข้างจะน้อย แอมป์ประเภทนี้จึงเหมาะกับนักฟังที่เน้นรายละเอียดของเสียงกลาง-แหลม ไม่เน้นอัดตูมตาม

Class B

เป็นการใช้ทรานซิสเตอร์ 2ตัว ทำงานแบบ Push-Pull หรือ ผลัก ดัน ช่วยกันทำงานคนละครึ่งทาง และจะไม่มีการป้อนกระแสไฟล่วงหน้า ซึ่งมีข้อดีคือเครื่องไม่ร้อน แต่ข้อเสียกลับมากกว่าเพราะความผิดเพี้ยนสูงมาก เสียงจึงไม่มีคุณภาพ แต่ในปัจจุบันแอมป์ คลาสนี้คงจะไม่มีแล้ว

Class AB

เป็นการรวมตัวกันของแอมป์ทั้ง 2 คลาสที่กล่าวมา คือใช้ทรานซิสเตอร์ 2 ตัว แต่จะมีการป้อนกระแสไฟปริมาณตํ่าๆเอาไว้ล่วงหน้าอยู่ตลอดแต่จะไม่มากเท่าคลา ส A และการจัดวงจรก็ใช้แบบ Push-Pull เหมือนคลาส B จึงทำให้พาวเวอร์แอมป์ประเภทนี้มีคุณภาพเสียงที่ค่อนข้างดี ถึงแม้จะไม่เท่าคลาส A แต่ได้เปรียบในเรื่องของกำลังขับที่มากกว่า และเกิดความร้อนน้อยกว่า และคลาส AB นี้แหละเป็นแอมป์ที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน และสามารถนำไปขับได้ทั้งลำโพงกลาง-แหลม หรือแม้แต่ซับวูเฟอร์ก็ได้

Class D

ตัว “D”ไม่ได้ย่อมาจากคำว่า DIGITAL อินพุทถูกแปลงเป็นออดิโอ เวฟฟอร์ม ไบนารี 2 สเตท ความแตกต่างเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ CLASS D ออกแบบให้ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ แทนที่จะต้องเสียกำลังไปในทรานซิสเตอร์ เอาท์พุทก็จะถูกไม่เปิดตลอด ไม่มีโวลเทจเสีย ก็ปิดตลอด ส่งผลให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ดังนั้นอินพุทออดิโอถูกแปลงเป็น PWM (PULSE WIDULATED) ร่องสีเหลืองที่อยู่ขางใต้คือ เอาท์พุทของแอมพ์ ร่องสีฟ้าคือ เวฟฟอร์ม PWM เวฟฟอร์มสีฟ้าจะถูกป้อนให้กับฟิลเตอร์เอาท์พุท ซึ่งให้ผลเป็นเวฟฟอร์มเอาท์พุทสีเหลือง สังเกตว่า เอาท์พุทจะดูเหมือนอะไรบางอย่างที่เสียไปสัญญาณที่เสีย และเสียงสวิทชิงทั้งหมดไม่สามารถเอาออกไปได้ และจะเห็นผลได้ที่นี่ เพราะขั้นตอนการแปลงสัญญาณอินพุทไปเป็น pwn และแปลงกลับไปเป็นแอนาลอก ทำให้เกิดการเสียของสัญญาณไป ฟีดแบคทั่วไปก็เหมือนกับที่ใช้ในการออกแบบแอมพ์ CLASS “AB” เพื่อลดการเสียของสัญญาณ มอสเฟทเป็นทางเลือกเดียวสำหรับการออกแบบ CLASS “D” ซึ่งการออกแบบส่วนใหญ่จะมีประโยชน์แต่กับเพียงเบสส์แอมพ์ เมื่อมันไม่สามารถสวิทช์ได้เร็วเพียงพอ กับการผลิตความถี่สูงอีกครั้ง การออกแบบ CLASS “D” ฟลูล์เรนจ์คุณภาพสูงยังคงหาได้ ในเครื่องเสียงระดับมืออาชีพ แต่มันจะซับซ้อนกับเอาท์พุทมัลทิเฟล

CLASS T

(TRIPATH) เหมือนกับ CLASS D แต่ไม่ใช้ฟีดแบค แอนาลอก เหมือนกับ CLASS D ฟีดแบคจะเป็นสัญญาณดิจิทอล และเกิดกับส่วนบนของฟิลเตอร์เอาท์พุท เพื่อหลีกเลี่ยงการยกเฟสของฟิลเตอร์นี้เพราะการเสียของสัญญาณในแอมพ์ CLASS D และ CLASS T เกิดขึ้นจากไทมิงทำงานผิดจังหวะ แอมพ์ CLASS T จะป้อนข้อมูลในเรื่องจังหวะกลับไป ส่วนการเสียของสัญญาณ ยังเกิดจากที่เเอมพ์ใช้ตัวประมวลผลสัญญาณดิจิทอล เพื่อแปลงอินพุท แอนาลอกไปเป็นสัญญาณ PWM และประมวลผลข้อมูลก่อนจะส่งกลับ

การประมวล ผล จะดูที่ข้อมูลฟีดแบค และทำการปรับแต่งจังหวะ เพราะลูพฟีดแบคไม่ได้รวมฟิลเตอร์เอาท์พุทเอาไว้ด้วย ในแอมพ์ CLASS T มั่นคงมาก และสามารถทำงานได้เต็มช่องสัญญาณเสียง ซึ่งผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่สามารถได้ยินความแตกต่างระหว่าง CLASS T และ CLASS AB ที่ออกแบบดีๆได้

การออกแบบทั้ง CLASS Dและ CLASS T ต่างก็มีปัญหากันคนละอย่าง มันเกินกำลังมาก ที่รอบต่ำเพราะเวฟฟอร์มความถี่สูงๆ จะเกิดขึ้นตลอดเวลาแม้ในช่วงที่ไม่มีสัญญาณเสียงแอมพ์ก็ยีงมีความร้อนตกค้าง หลงเหลืออยู่แอมพ์บางรุ่นจะมีการตัดการทำงานของเครื่องเมื่อหยุดพักใช้งาน และจะกลับมาทำงานใหม่ เมื่อใช้งานโดยอัตโนมัติ

CLASS G

เพิ่ม ประสิทธิภาพขึ้นมาอีกขั้นธรรมดาแอมพ์ CLASS AB จะขับโดยเพาเวอร์ซัยพลาย MULTI-RAIL แอมพ์ 500 วัตต์ อาจจะมี POSITIVE RAIL 3 และ NEGATIVE RAIL 3 ซึ่ง RAIL VOLTAGES อาจจะเป็น 70,50,25 โวลท์เมื่อเอาท์พุทของแอมพ์ขยับไปใกล้ 25 โวลท์ ซัพพลายก็จะสวิทช์ให้ RAIL 50 โวลท์ และเมื่อเอาท์พุทขยับเข้าไปใกล้ 50 VOLT RAIL ซัพพลายก็จะสวิทช์ไปยัง RAIL 70 โวลท์ บางครั้งเรียกการออกแบบนี้ว่า RAIL SWITCH

การออกแบบนี้ เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ โดยลดการสูญเสียโวลเทจกับทรานซิลเตอร์เอาท์พุทโวลเทจนี้ เป็นความแตกต่างระหว่างซัพพลายบวก หรือแดง กับเอาท์พุทออดิโอ สีฟ้า CLASS G มีประสิทธิภาพเทียบเท่า CLASS D หรือ CLASS T ในขณะที่การออกแบบ CLASS G มีความสลับซับซ้อนมาก โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานแอมพ์ CLASS AB และมีคุณลักษณะใกล้เคียงกันมาก

CLASS H

มีความคล้ายกับ CLASS G ยกเว้น RAIL VOLTAGE ที่โมดูเลทสัญญาณอินพุทเท่านั้น ที่ไม่มีเพาเวอร์ซัพพลาย RAIL จะสูงกว่าสัญญาณเอาท์พุทเล็กน้อย ปล่อยโวลเทจให้กับทรานซิสเตอร์ตัวเล็ก และระบายความร้อนทรานซิสเตอร์เอาท์พุท วงจรที่คล้ายกับที่ใช้ในแอมพ์ CLASS D นี้ก็คือ มีโมดูเลทเพาเวอร์ซัพพลาย RAIL ที่เหมือนกัน ในส่วนของความสลับซับซ้อนแอมพ์แบบนี้ มีความเหมือนกับแอมพ์ CLASS D แต่ทำงานได้เหมือนกับแอมพ์ CLASS AB





ขอบคุณผู้เขียน : halem
เว็บไซต์ : http://www.tube-silicon.com
ลิ้งค์ที่มา : http://www.tube-silicon.com/?p=1532

ภาพประกอบจาก : http://www.tube-silicon.com

jorsak7 --- อิอิอิ ของเขาดีจริง

jittakorn --- วงจรอีโรติค!!!!!

vaiothai --- ข้อมูลแจ่มเลย

โชคดีได้ของเล่นเก่ามาเล่นใหม่ sony zilbap ลายละเอียดเสียงดีจริงๆ ตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน ฟังเพลงเบาๆ ฟินจุงบย

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Audio File Format

sound



เคยรู้สึกกันมั้ยครับ ทำไมเพลงที่เราฟังกันทั่วไป บางเพลงถึงเสียงดี บางเพลงถึงเสียงไม่ดี…..

ความจริงแล้วเพลงที่เราใช้ฟังกันโดยทั่วไป เสียงจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับ ยกตัวอย่างเช่น ลำโพงหรือหูฟังที่เราใช้อยู่ สามารถตอบสนองย่านความถี่ได้มากน้อยขนาดไหน หรืออาจเป็นต้นกำเนิดเสียงที่อาจไม่ดี หรือมีคุณภาพเสียงต่ำมาตั้งแต่แรก ซึ่งแน่นอนว่าเพลงที่เราใช้ฟังกันในปัจจุบันส่วนใหญ่จะถูกจัดเก็บในรูปแบบของไฟล์ และนั่นเป็นสิ่งที่เราจะนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ครับ

ในโลกใบนี้มี “ไฟล์เสียง” มากมายหลายรูปแบบ มีสถานะการจัดเก็บอยู่ในรูปแบบของไฟล์ ไฟล์บางชนิดก็ให้เสียงที่มีคุณภาพดี ย่านความถี่ครบเหมือนกับเสียงที่ถูกบันทึกเข้ามาเลย ซึ่งธรรมชาติของไฟล์แบบนี้ จะมีขนาดใหญ่กว่าไฟล์ที่ถูกบีบอัดมาแล้ว ซึ่งการบีบอัดเสียงนี้ก็มีอยู่ 2 ประเภท เราลองไปดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง



การบีบอัดเสียง มี 2 ประเภท คือ Lossless กับ Lossy

1. Lossy Audio

ไฟล์ประเภทนี้ คือไฟล์ที่ถูกลดบั่นทอนคุณภาพลงมา เพื่อแลกกับขนาดไฟล์ที่เล็กลง (เหมือน Winzip) นามสกุลที่เรามักได้เจอกันบ่อยๆก็คือ .MP3 แต่ถึงแม้จะบอกว่า .MP3 เหมือนกันแต่ก็มี Bitrate ที่แตกต่างกัน เช่น 93kbps, 126kbps, 198kbps อันนั้นก็คือระดับคุณภาพของไฟล์นั่นเองครับ ยิ่งมีเลขที่เยอะ ก็คุณภาพดีขึ้นตามไปด้วย แต่ก็แลกมาด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้นนั่นเอง (สังเกตุง่ายๆพวกแผ่นผี Vampire มักจะยัดเพลงลงได้เยอะๆ เพราะเน้นแต่ Bitrate ต่ำๆนั่นเอง)

ถามว่า Bitrate ที่ต่างกัน มันจะมีผลอย่างไร ตอบได้เลยครับว่าแตกต่างมาก เพราะเพลงที่ Bitrate ต่ำ มันก็เหมือนอัดมาไม่ละเอียด ตอนฟังเราจะรู้สึกเสียงอับๆ ฟังแล้วอึดอัด เสียงแตกๆบ้างก็มีครับ

พูดมาถึงขนาดนี้แล้วหลายๆคนคงจะเกลียด .MP3 กันไปเลย แต่จริงๆแล้วนั้นคุณภาพของไฟล์ MP3 ก็ไม่ได้ขี้เหร่มากนัก เพราะถ้าหาก Rip ไฟลืจาก CD แท้ มาที่ 320kbps นั้นก็ถือว่าคุณภาพใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าหูไม่เทพจริงก็แยกกันไม่ออกหรอกครับ

ปล. มาถึงนี่หลายๆคนคงคิดจะลักไก่เอา โดยการเอาไฟล์ Bitrate ต่ำๆลองมาแปลงเป็น Bitrate สูงๆ อันนี้บอกได้เลยครับว่าเปล่าประโยชน์ เพราะการทำแบบนี้ คุณภาพเสียงที่ได้ก็จะอ้างอิงจากต้นฉบับ Bitrate ต่ำๆเหมือนเดิม แถมขนาดไฟล์ที่ได้ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย

2. Lossless Audio

ไฟล์ประเภท Lossless Audio คือไฟล์ที่ไม่ได้ผ่านการถูกบีบอัด หรือไฟล์ที่ปราศจากการสูญเสีย คุณภาพเสียงจะเท่าเทียมกับพวกแผ่น CD ต้นฉบับที่วางขาย สมมุติ CD แผ่นนึงมีความจุ 500mb ไฟล์ Lossless 1 อัลบั้ม ก็มีขนาด 500mb เกือบเท่า CD 1 แผ่นเลย ไฟล์ชนิดนี้เป็นที่นิยมสำหรับกูรูนักฟังที่ฟังเพลงกันเป็นชีวิตจิตใจครับ

ข้อดีของไฟล์ Lossless นั้นนอกจากจะได้คุณภาพเสียงที่ดีแบบสุดๆแล้ว ยังมีข้อดีที่ Lossy ทำไม่ได้อีกก็คือ การแปลงไฟล์จาก Lossless ไป Lossless นั้นไม่ได้บั่นทอนคุณภาพลดลงไปเลย สำหรับการหาไฟล์ Lossless นั้นก็สามารถ Rip ได้จากแผ่น CD ต้นฉบับโดยตรงเลยครับ ผ่านโปรแกรมต่างๆเช่น iTunes แต่โดยส่วนตัวผมแนะนำโปรแกรม EASY CD-DA Extractor จะดีกว่าครับ

ปล. ขอเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ การแปลงไฟล์จาก MP3 ไปเป็น Lossless นั้นไม่มีประโยชน์นะครับ เพราะเหมือนกับเอาผ้าขาดๆออกมาขยายให้ใหญ่ขึ้น สุดท้ายยังไงมันก็ขาดอยู่ดี เสียงที่ได้ก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิมครับ
ทีนี้เรามาดูกันแบบละเอียดอีกนิดนึงดีกว่าครับ ว่ารูปแบบไฟล์เสียงที่เรานิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีไฟล์ชนิดไหนกันบ้าง

AIFF
ย่อมาจาก Audio Interchange File Format เป็นรูปแบบที่ใช้กันมากกับโปรแกรมบน Mac เพราะ Apple เป็นผู้ริเริ่ม เป็นได้ทั้ง Mono และ Stereo ความละเอียดเริ่มต้นที่ 8 Bit/22kHz ไปจนถึง 24 bit/96kHz และมากกว่านั้น

WAVE
ไฟล์เสียง wave เป็นไฟล์เสียงที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด ไฟล์ประเภทนี้มีนามสกุล .wav จัดเป็นไฟล์เสียงมาตรฐานที่ใช้กับ Windows คุณสมบัติที่สำคัญคือครอบคลุมความถี่เสียงได้ทั้งหมด ทำให้คุณภาพเสียงดีมาก และยังให้เสียงในรูปแบบสเตอริโอได้อีกด้วย ข้อเสียคือไฟล์ .wav มีขนาดใหญ่ทำให้สิ้นเปลืองพื้นที่ในการเก็บข้อมูลมาก

CDA (CD Audio)
ไฟล์ CDA เป็นไฟล์เพลงบนแผ่น CD ที่ใช้กับเครื่องเล่น CD ทั่วไป ไฟล์ประเภทนี้เมื่อนำมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรมสำหรับเล่น CD จะมองเห็นข้อมูลเสียงในรูปของแทร็กเสียง (Audio Tack) แต่ถ้าดูด้วย Windows Explorer จะเห็นเป็นไฟล์มีนามสกุล .cda ไฟล์ CDA มีคุณสมบัติทางเสียงเหมือนกับไฟล์ wave คือให้คุณภาพเสียงที่ดีเป็นธรรมชาติ จึงนิยมใช้บันทึกลงบนแผ่น CD เป็นสื่อดนตรี เรียกทั่วไปว่า “CD เพลง” ถ้าต้องการ copy หรือนำไฟล์ประเภทนี้มาใช้งานกับโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ จะต้องแปลงให้เป็นไฟล์ wave หรือไฟล์ที่โปรแกรมประยุกต์นั้นๆรู้จักเสียก่อนจึงจะใช้ได้ หรืออาจจะใช้โปรแกรมที่สามารถ Extract ไฟล์ Audio CD ออกมาเป็นไฟล์ wave ซึ่งก็มีใช้หลายโปรแกรม เช่น Sound Forge, Ware Lab

FLAC
ไฟล์ FLAC ย่อมาจากคำว่า Free Lossless Audio Codec เป็นฟอร์แมตเพลงชนิดที่เป็นแบบ lossless คือไม่เสียคุณภาพของเพลงไป ได้รับการยอมรับว่าคุณภาพของเสียงที่ได้นั้นอยู่ในขั้น “ไฮ-ไฟ” หรือที่เราคุ้นกับคำว่า “ไฮ-เอ็นด์” ที่สำคัญไฟล์ในรูปแบบนี้ก็ยังเป็น open source ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ใดๆให้ต้องระแวง สามารถหาฟังกันได้แบบฟรีๆ ไฟล์ชนิดนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อลดข้อจำกัดของเพลงในรูปแบบ .wav ที่มีขนาดใหญ่ แต่ไม่สามารถเก็บ Metadata (ข้อมูลต่างๆของไฟล์เพลง) ซึ่งไฟล์ FLAC นั้นคล้ายๆกับการเอา .wav มาทำการ Zip ไฟล์ให้มีขนาดเล็กลง และทำการคลาย Zip ในขณะเล่นเพลงด้วย Codec ที่ฝังอยู่ในโปรแกรมเล่นเพลงต่างๆ โดยไฟล์รูปแแบบ FLAC นี้สามารถลดขนาดจากไฟล์ .wav ลงได้ถึง 50-60% ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บ และยังมีคุณภาพเสียงที่คงเดิมอยู่

MP3
ไฟล์เสียง MP3 เป็นไฟล์เสียงยอดนิยมในปัจุบัน มีนามสกุล .mp3 เป็นไฟล์ที่ถูกบีบอัดข้อมูลทำให้ไฟล์ประเภทนี้มีขนาดเล็กลงมาก ลดลงประมาณ 10 เท่าเมื่อเทียบกับไฟล์ wave คุณภาพเสียง mp3 ค่อนข้างดีจึงนิยมใช้ไฟล์ประเภทนี้บันทึกข้อมูลเพลงลงบนสื่อคอมพิวเตอร์หรือ แผ่น CD การเล่นไฟล์ mp3 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องใช้โปรแกรมโดยเฉพาะซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย นอกจากนี้ยังสามารถเล่นได้กับเครื่องเล่น VCD ,DVD, CD ติดรถยนต์, เครื่องเล่น MP3 แบบพกพา (ใช้หน่วยความจำเฉพาะ เช่น Flash Memory หรือ memory Stick) รวมทั้งโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆอีกด้วย

RealAudio
คนชอบฟังเพลงบน Internet คงรู้จักกันดี ไฟล์ RealAudio จะแสดง Extension เป็น .ra หรือ .rm ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบ RealSystem G2 ไว้สำหรับการเล่น multimedia จาก RealNetworks ซึ่งจะมี Tools ในการเล่น, encode รวมไปถึง tools ในการทำ server ให้ใช้ฟรีๆ ในการส่ง Audio, Video, Animation ผ่านเวป แต่แม้ว่าโปรแกรมดนตรีส่วนใหญ่จะไม่ใช้ RealAudio ในการบันทึก แต่กับบางโปรแกรม เราสามารถเก็บงานของเราเป็น RealAudio เพื่อใช้บนเว็ป ซึ่งแน่นอนว่า RealAudio ก็เป็น Lossy Format เหมือนกับ MP3

OGG
เป็นรูปแบบของไฟล์เสียงใหม่ล่า สุด มีชื่อเต็มคือ Ogg มีนามสกุล .ogg ไฟล์ Ogg Vorbis ใช้เทคโนโลยีการบีบอัดไฟล์แบบใหม่ ทำให้ไฟล์ที่ได้มีขนาดเล็กกว่า MP3 เสียอีก แต่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าและที่สำคัญคืออยู่ในกลุ่มของ Open Source Project ทำให้กลายเป็นฟรีแวร์ อีกทั้งยังมีความสามารถด้าน Streaming ด้วย ทำให้ได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้เล่นอินเตอร์เน็ต ไฟล์ Ogg Vorbis สามารถเล่นได้โดยใช้โปรแกรมสำหรับเล่นไฟล์ MP3 โดยมีข้อแม้ว่าโปรแกรมนั้นจะต้องมี Plug-in สำหรับ Ogg ด้วย Ogg Vorbis นับเป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการไฟล์เสียง เพราะมีขนาดที่เล็กมาก สามารถเข้ารหัสเสียงได้หลายแบบทั้ง mono,stereo จนถึงระบบ 5.1 Surround Sound

MIDI
ไฟล์เสียง MIDI ไฟล์ข้อมูลเสียงดนตรี โดยมีนามสกุล .midi จะบรรจุข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้เสียงดนตรี เมื่อเล่นไฟล์ MIDI ก็จะเป็นการสั่งให้อุปกรณ์นั้นๆให้มีเสียงดนตรีออกมา เมื่อนำมาเรียงกันก็จะกลายเป็นท่วงทำนองดนตรีซึ่งก็คือเสียงเพลงนั่นเอง MIDI มีขนาดของไฟล์ที่เล็กมากทำให้นิยมใช้ในการเก็บข้อมูลที่เป็นเสียงดนตรี ดังจะเห็นได้จากวงดนตรีประเภทเล่นคนเดียว จะใช้ข้อมูลเพลงจากแผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลดนตรีได้เป็น 10 เพลง ใส่เข้าไปในเครื่องสร้างเสียงดนตรี (Sequencer) เพื่อให้สร้างเสียงเพลงตามข้อมูลดนตรีที่อ่านจากแผ่น สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็สามารถเล่นไฟล์ MIDI ได้โดยใช้โปรแกรมประเภท MIDI Player ซึ่งมีให้เลือกใช้มากมาย เสียงเพลงที่ได้จากโปรแกรมคาราโอเกะก็เป็นเสียงที่ได้จากไฟล์ MIDI เช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจึงสามารถนำเสียงเพลงจากโปรแกรมคาราโอเกะมาใช้ได้ แต่ถ้าจะให้สะดวกก็ควรแปลงให้เป็น wave เสียก่อนจะทำให้สามารถนำไปตัดต่อและใช้งานได้ง่ายขึ้น

WMA
ไฟล์ WMA เป็นรูปแบบไฟล์แบบหนึ่งของบริษัทไมโครซอฟต์ ชื่อเต็มคือ Windows Media Audio เป็นไฟล์ทีมีนามสกุลเป็น .wma จัดได้ว่าเป็นคู่แข่งของ mp3 และ Real Audio เพราะมีคุณสมบัติด้านการ Streaming เช่นเดียวกัน แต่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าในขณะที่ขนาดของไฟล์เล็กกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้ใช้เวลาน้อยกว่าในการดาวน์โหลดผ่านอินเตอร์เน็ต เมื่อก่อนการเล่นไฟล์ประเภทนี้ต้องเล่นผ่านโปรแกรม Windows Media Player เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีโปรแกรมหลายโปรแกรมที่สามารถเล่นไฟล์นี้ได้

AAC
ไฟล์ AAC มาจาก Advanced Audio CODEC เป็นรูปแบบไฟล์บีบอัดอีกรูปแบบหนึ่งที่นับวันจะได้รับการยอมรับ และจะเป็นรูปแบบไฟล์แห่งอนาคต โดยมีคุณภาพเสียงที่ดีกว่า MP3 แต่มีขนาดไฟล์ที่เล็กกว่า มี bit-rates ต่ำกว่า

M4A
ไฟล์ M4A เป็นมาตรฐานที่พัฒนามาจาก AAC โดยทางผู้ผลิตคือบริษัท Apple ได้สร้างมาตรฐานนี้ขึ้นมา ให้ใช้กับโปรแกรม iTune โดยมีความสามารถในการบีบอัดได้หลายขนาดและทางบริษัท Apple ต้องการให้ฟอร์แมตนี้ ขึ้นมาแทนที่ฟอร์แมต AAC เดิม โดยนอกจากความสามารถในการบีบอัดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแล้ว m4a ยังมีความสามารถ ในการรองรับ Tagging Standard นั่นคือสามารถเก็บชื่อเพลงและชื่ออัลบั้มได้ ซึ่งความสามารถนี้ในฟอร์แมต AAC ไม่มี

DSD
ไฟล์ DSD นั้นย่อมาจาก Direct Stream Digital เป็นเครื่องหมายการค้าของ Sony และ Philips สำหรับรูปแบบสัญญาณเสียงที่ใช้ใน Super Audio CD สิ่งที่ทำให้ DSD แตกต่างจากสัญญาณเสียงแบบอื่น ๆ ที่เราฟังกันอยู่ทั่วไปคือ DSD จะใช้การเข้ารหัสแบบ PDM หรือ Pulse-density modulation แทนแบบ PCM หรือ Pulse-code modulation ที่เราเคยเจอกัน โดย DSD ตอนนี้จะมี Sampling rate ที่ 2.8 MHz และ 5.6 MHz ซึ่งเชื่อว่าการเข้ารหัสสัญญาณเสียงแบบนี้จะทำให้คงคุณภาพของสัญญาณได้เหมือนดั่งสัญญาณเสียงต้นฉบับเลยทีเดียว



บทสรุป : ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับ Audio File Format กันไปพอสมควรแล้วนะครับ สำหรับไฟล์เพลงที่เรานำมาใช้ฟังกัน ก็เอาเป็นว่าถ้าอยากฟังเพลงที่ได้อรรถรส คุณภาพเสียงเต็ม ก็ควรที่จะแสวงหาไฟล์เสียงที่มีคุณภาพซักหน่อย ส่วนคนที่แค่อยากฟังเพลงเพื่อความบันเทิงผ่อนคลาย ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับเรื่องเสียงมากนัก ก็คงหาไฟล์กันได้ไม่ยาก หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนฟังเพลงไม่มากก็น้อยครับ



…………………………………………………………



เรียบเรียงโดย : ศุภฤกษ์ ผลสะอาด

คุณปู: เคยได้ยินมาว่า แอมป์คลาสD มันเป็นแอมป์หลอดไฮบริดใช่หรือเปล่าครับ
เค้าว่ากันว่าเสียงดีกว่าทุก คลาส จริงหรือเปล่า

ชอบครับ ดรีม คุรุสภา

มีคนแก่คนนึง เค้าอยากได้รุ่นนี้ครับsony fhb7cd ใครเจอช่วยบอกด้วยครับ

คุณEnding soon เห็นว่าชอบเลยเอามาฝากครับ

อีกนิด

อีกหน่อยครับ

jittakorn --- เอามาหลายคันเลย พักนี้น้ำมันถูกเหมาะมาก

เอา AUREX วินเทจเก่าๆ มาฝากครับ คอมโประดับโปร

Aiwa ในแร็คไม้

น้องเจษ รูปในคห.94 สวยครับ

จัดไป น้องเจษ

happysound08@ ได้ซักชุดคงจะมีความสุขมากครับ

happysound08 --- สุดยอดเลยครับพี่โย

jittakorn --- จัดไปอีกทีกับ Aurex System 15

น้องเจษ เอามายั่วอีก^^

ชุดนี้สวยครับ

คุณ happysound08 ครับ
แยกชิ้นทรงเหลี่ยมๆเรียบแต่หรู นี่แหละครับ ใช่เลย

คุณ jetsadaton9999 ครับ
ไอว่าในตู้ไม้ โดนใจจริงๆครับ


ทักทายเพื่อนพ้องพี่น้องสมาชิกทุกๆท่านด้วยครับ

jittakorn --- ฟัง FH รุ่นเก่าๆเข้าไป ทำให้ประสาทหูเสีย ฟังเสียงเครื่องรุ่นใหม่ๆ ไม่ไพเราะเลย อิอิ ได้แต่ความสะดวกต่อ ipod usb

vaiothai --- ต้องหามาประดับมั่งแล้วพี่ปู

เอาโปรเจค DIY มาฝากครับ

สายอากาศรับสัญญานวิทยุ FM

สามารถใช้ได้ทั้ง รีซีฟเวอร์และมินิคอมโป เป็นลักษณะสายแบบ LOOP ต่อกราวด์

ดูรายละเอียดที่นี่ครับ

http://www.mikestechblog.com/joomla/misc/fm-antenna/130-build-indoor-fm-antenna-plans.html

อุปกรณ์ไม่เยอะครับ ต่อง่ายกว่าว่าวจุฬาเยอะครับ อิอิ สามารถประยุกต์ต่อเข้ากับกรอบรูปที่ทำจากไม้หรือพลาสติกได้ครับ เป็นการอำพรางสายตาในสถานที่รับฟัง

สัญญาณเป็นงัยครับน้องเจษ ชัดกว่าเดิมเยอะมั๊ย

jittakorn --- ยังไม่ได้ทดลองเลยครับ ^^

ไปต่อใบขับขี่มา

พี่โย เขาเอามายั่วแล้วจากไปครับปูดำ

เจษ คิดถึงคุยเล่นในไลนบ้าง อิอิ

ปู้จิตรกร เล่นว่าวจุฬารับชัดกว่ามั้งครับ อิอิ

อ จ้อ คิดถึงครับว่างๆโชว์ขุมพลังบ้าง

มองดู"ชีวิต" ใช่ใครลิขิต

มองดู"ชีวิต" ใช่ใครลิขิต

edward_jong --- อิอิอิ มีของเล่นใหม่เข้ามามั่งยังครับพี่อุเทน

happysound08 --- นี่หละครับผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดำตัวจริง อิอิอิ

ซักนิด เห็นกำลังฮิต

อีกตัวนึง

สวัสดีทุกท่านครับ

ช่วงนี้ห่างๆกัน แต่ก็คิดถึงเสมอนะ

@edward_jong กำลังหาทางเยียวยาชุดที่บ้านอยู่ครับ อิอิ

ระลึกถึงวัยสะรุ่นซักหน่อย

ระบบที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษครับ

jorsak7 --- สุดยอดเลยครับพี่ ไม่คิดว่าชุดนี้จะมีในเมืองไทย

คุณjorsak7ยกชุดใหญ่แบบนี้มาให้ดู คุณedward_jong เอาเท้าก่ายหน้าผากด้วยความยากได้เลยนะเนี่ย แต่มันสุดจริงๆ

ขอบคุณครับ คุณ jetsadaton9999 และคุณ jittakorn แต่ยังไม่สมบูรณ์เลยครับ ต้องปรับปรุงอีกเยอะ ต้องขอข้อมูลจากคุณ edward_jong ด้วยล่ะคร้าบ

ตามกระแสกับเข้าบ้าง อิอิ

ได้สวยๆสักชุดก็คงจะดีครับ อิอิ

วันนี้ลองเอาเครื่องเสียงมาเปิดฟังเพลงแต่เจออักษรแปลกที่หน้าจอ

"PUSH PROTECT POWER" เป็นข้อความที่แสดงถึงระบบภาคขยายเสียงมีปัญหา!!! ปัญหายอดฮิต ของมินิคอมโป sony

โดยปกติแล้ว มักมีสาเหตุใหญ่ๆ 2 ประการ คือ ตัว ic ขยายเสียงพัง หรือ อีกสาเหตุที่เป็นไปได้คือ ตัวต้านทานแบบฟิวส์ มีการยืดค่า ทำให้ระบบแสดงโค้ดนั้นออกมาที่หน้าจอ เพื่อให้ท่านนำเข้าศูนย์บริการตรวจซ่อม แต่ผมขอบริการตัวเองในครั้งนี้ อิอิ

ถ้าท่านเปิดดูแผงวงจรภาคขยายเสียงจะพบตัวต้านทานสีฟ้าๆเป็นสีด้านๆ ค่า 100 โอห์ม ถ้าดูจากภาพวงจรของบริษัทจะพบสัญลัษณ์ตัวต้านทานแบบฟิวส์ และ มีรูป exclamation mark หรือ ภาษาไทย อัศเจรีย์ นั่นเอง "!"

หลังจากการวัดค่า r 100 ohm พบว่ามีค่าที่ผิดปกติ ----> ยืดค่าเป็น 45 M ohm มิน่ากระแสไฟวิ่งแทบไม่ได้เลย ยืดหลายหมื่นเท่า

เมื่อทำการเปลี่ยนแล้ว เครื่องก็ทำงานเป็นปกติครับ

jetsadaton9999 < อาการเดียวกันเลยน้องเจษ เคยเป็นเหมือนกันรุ่นนี้ R 100 โอห์ม เปลี่ยนแล้วหายเลย
ฝากห้อง mini compo club ในเฟสบุคด้วยนะครับเผื่อมีเพื่อนสมัครสมาชิกอยากเข้าร่วมด้วยตอนมีสมาชิกเพิ่มเรื่อยๆนะครับ
https://www.facebook.com/groups/200419583371950/

robot --- ขอบคุณมากครับพี่เร็ด ^^

ครับน้องเจษ ตอนนี้ยังเหลืออีกชุดนึ่งครับ ว่าจะส่งให้พี่ปูรบกวนอินบ็อกที่อยู่มาให้ในเฟสบุ๊คด้วยนะครับ

คุณ jetsadaton9999 >> SONY EX70AV << ถ้าเราต้องการนำ POWER-AMP ไปใช้ต่อกับอุปกรณือื่นเช่น IPAD โดยไม่ต่อ CONTROL SYSTEM เข้ากับ CD, TUNER, TAPE รบกวนแนะนำหน่อยครับ อีกอย่างตอนนี้ผมไม่มีสาย CONTROL SYSTEM ด้วย หายตอนย้ายของตอนนำท่วมปี54 >> ตัว POWER AMP ตอนนี้ถ้าเปิดมา ดูเหมือนปกติ สามารถเลือก SOURCE ได้โดยกดปุ่ม AUDIO แต่พัดลมที่ด้านหลังไม่ทำงาน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดคือ power supply หลักที่จ่ายให้ power amp มันไม่ทำงาน มันติด protect ของ control system ไม่รู้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า มีวิธีที่จะนำเอา power amp ไปใช้ ช่วยแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ

jongruks --- 555 เครื่องซีรี่นี้ยังไม่เคยเล่นเลยครับต้อง พี่ปู vaiothai ครับตอบได้ละเอียดแน่นอน

- เท่าที่ดูคร่าวๆ คาดว่าในชุดแอมป์มีวงจรปรีแอมป์ในนั้นด้วย มีสิทธิ์ที่จะสามารถใช้โทรศัพท์ต่อ ช่อง input ด้านหลังได้ครับพี่ ไม่ทราบว่าพี่ลองสุ่มต่อช่อง input แล้วมีเสียงออกบ้างมั้ยคัรบ

- พัดลมระบายความร้อน โดยปกติจะทำงานเมื่อมีสัญญานเสียงจากแอมป์ออกไปถึงระดับหนึ่ง พัดลมถึงหมุนครับ จะหมุนตามเสียงเบสครับ เปิดเบาๆ ไม่หมุนครับ ถ้าเปิดดังมากจะหมุนเร็วค้างตลอด ถ้าเปิดดังๆ แล้วไม่หมุนเลย มีความเป็นไปได้ที่พัดลมอาจจะเสียครับ โดยทั่วไปจะใช้พัดลม dc แบบ บรัชเลส 12v. หรือ 24v. ครับ ราคาไม่แพงครับ ไม่เกิน 50บ.

- ถ้าเปิดเครื่องแล้ว มีอักษรที่จอแปลกๆ เช่น push protect power มักจะมีปัญหาที่ระบบขยายเสียงครับ อาจมาจากตัวต้านทานแบบฟิวส์ หรือ ic ขยายเสียง หรือ อื่นๆ ก็เป็นไปได้ครับ -*-

รอพี่ vaiothai มาเสริมครับ เพราะเห็นแกเล่นซีรี่นี้อยู่ ^^

ขอบคุณมากครับคุณ jetsadaton สำหรับรายละเอียดและคำแนะนำ ผมลองต่อสัญญาณที่ช่อง input แล้ว เครื่องผมตอนนี้ไฟที่ volume ไม่ติดด้วย (ตามรูป) เท่าที่ผมเข้าใจเครื่องรุ่นนี้จะไม่สามารถแยกใช้งานเดี่ยวๆได้เพราะจะมีตัว system control เป้นตัวเช็คระบบและจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์อื่นๆด้วย แต่ผมอยาก modify ให้ power-amp สามารถใช้ง่ายเดี่ยวๆได้ ใครพอรู้วิธีช่วยแนะนำหน่อยครับ คุณ vaiothai ช่วยแนะนำด้วยครับ ขอบคุณมากครับ

เครื่องรุ่นนี้สามารถแยกใช้เฉพาะชั้นแอมป์ได้ครับ เพราะชุดคอนโทรลทุกอย่างจะอยู่ที่ชั้นแอมป์ครับ ส่วนเรื่องพัดลมปกติจะหมุนเวลาเราเร่งเสียงเยอะๆครับถ้าเปิดเบาพัดลมจะไม่ทำงาน ส่วนไฟที่โวลลุ่มไม่ติดให้ลองดูที่สายแพก่อนครับ สายแพจากบอร์ดตั้งด้านข้างที่ต่อเข้าหาแผงโวลลุ่มครับ

เครื่องรุนนี้ถ้าติดโพรเทคเครื่องจะไม่แจ้งที่หน้าจอครับ เวลาเปิดลองฟังว่ามีเสียงรีเลย์ต่อสัญญาณออกลำโพงว่าดังหรือเปล่าครับ ถ้ารีเลย์ไม่ต่อก็อาจเป็นที่ชุดขยายครับ

ขอบคุณมากครับ คุณ vaiothai สำหรับคำแนะนำต่างๆ ช่วงนี้ผมยุ่งมาก เสาร์-อาทิตย์นี้จะลองทำตามที่คุณ vaiothai แนะนำดู ขอบคุณอีกครั้งครับ ขอบคุณ คุณ jetsada ด้วยครับ

ชอบใบขับขี่คุณเจษครับ ย้อนอดีตดีจังครับ