สวัสดีครับสมาชิกเว็บบอร์ดมั่นคง Gadget ทุกท่าน
วันนี้วันดี (4 ธ.ค.2555) ใกล้วันพ่อแห่งชาติ
ผมเลยนำรีวิวในสไตล์สบาย ๆ มาฝากครับ ต้องเกริ่นว่าสบาย ๆ ก็เพราะว่า
ผมมักจะรีวิวแบบไม่มีข้อมูลทางเทคนิค แบบค่านู่น ค่านี่ เป็นตัวเลขอะไรนัก
รีวิวผมเกิดจากอารมณ์และความรู้สึกที่มีต่อสิ่งที่รีวิวล้วน ๆ ครับ
ดังนั้น อาจจะไม่สามารถนำไปอ้างอิงว่า มันดีจริง หรือ มันไม่ดี นะครับ
เพราะเป็นความรู้สึกส่วนตัวผมเองล้วน ๆ
(ถ่ายด้วยกล้อง Canon G10 และลดขนาดภาพด้วย Photoshop เพื่อให้อ่านได้รวดเร็ว)
หลังจากได้ตามอ่าน Astell&Kern AK100 มาซักระยะนึงจากที่เฮียมั่นคงยั่วไว้
ไปอ่านในเว็บต่างประเทศ ก็ได้รู้มาว่า Astell&Kern AK100 นั้น ไม่ธรรมดาจริง ๆ
ได้รับรางวัลในประเทศญี่ปุ่นด้วย ทั้งๆ ที่เป็นของเกาหลีใต้นะ นับว่าเก่งจริง ๆ
Astell&Kern AK100 เพิ่งเปิดตัวปลายเดือนตุลาคม 2555 และใช้เวลาไม่นาน
ก็ขึ้นอันดับ 1 ในเครื่องเล่นพกพาในประเทศญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว
ที่บอกว่าได้รับรางวัลก็คือ รางวัลจาก AEx Audio Excellence Award 2013 สองรางวัล
1. รางวัลด้านคุณภาพเสียงเป็นเลิศ
2. ผลิตภัณท์ AUDIOPHILE ที่เสียงเป็นเลิศและออกแบบได้อย่างยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ
บ๊ะ ไม่ธรรมดาแฮะ ทำไงละถึงจะได้ลองฟัง
จากข้อมูลที่เฮียมั่นคงให้มาว่า ต้องไปลองได้ที่สาขา ดิจิตอลเกทเวย์
แต่ผมก็ได้ไปลองฟังกับเครื่องของน้องคนนึงที่รู้จัก นั่นคือน้องเอก Nexzus นั่นเอง
ก็นัดกันแล้วไปลองฟัง ผมก็ว่า เสียงมันดีนะ แต่เนื่องจากสถานที่ลองฟัง
นัดกันที่ ฟู๊ดคอร์ท ที่ เซ็นทรัล พระราม 9 แม้จะสถานโล่ง ๆ แต่ก็เสียงจอแจเหมือนกัน
ก็เรียกว่า ได้ลองแบบ งู ๆ ปลา ๆ
แล้วพอดู Spec เครื่องก็ยิ่ง อืมม ทำไมมันแจ่มเหลือเกินว้า คันเว้ยคัน
และก็คิดวกไปวนมา ราคามันสูงนะ จะเกาให้หายคันไหวเหรอ
และแล้ว (เอ่อ ตัดบทไวไปไหม)
มาเปิดกล่อง แล้ว อ่านตามกันไปพร้อม ๆ กันนะครับ
นี่คือ กล่องของ Astell&Kern AK100 ครับ
กล่องเป็นกระดาษแข็ง ธรรมดา ๆ สีดำๆ
ด้านหลังกล่อง
ใช่แล้วครับ Astell&Kern ก็คือแบรนด์ของ iRiver นั่นเอง Made in Korea นั่นเอง
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งครับ ที่ผมสนใจเจ้าเครื่องตัวนี้
เพราะถ้าหลายๆ ท่านได้เคยอ่านรีวิวของผมเกี่ยวกับเครื่องเล่น MP3
ก็จะมีแต่รีวิว iRiver ทั้งนั้น ทั้ง H120 , H320 เพราะผมชอบเสียงของ iRiver ครับ
จึงทำให้เกิดการคันกับ Astell&Kern ก็เพราะมันเป็นแบรนด์ในกลุ่ม Hi End ของ iRiver
ที่จะมาทำตลาดใหม่นั่นเองครับ
การเปิดแพ็คเกจกล่อง ก็ไม่ยากครับ
หน้าตาแบบนี้เลยครับในกล่อง
แถมเมมขนาด 2GB มาให้แบบ Micro SD Card
ซึ่งในเมมก็จะบรรจุเพลงระดับ 24bit บิทเรทสูง ๆ ไว้ 5 เพลงด้วยกัน
เสียงดีมาก ๆ ครับ เป็นไฟล์ flac น่ะ เพลงนึง เป็นร้อยเม็กเลยทีเดียว
ในภาพจะเห็นว่า มีคู่มือบอกด้วยว่า ในเมมมีเพลงอะไรบ้าง และเป็นของศิลปินคนใด
รื้อในกล่องดูทั้งหมดก็เจออุปกรณ์เพิ่มเติม
มีคู่มือการใช้งาน สาย USB และก็ถุงผ้า
เป็นถุงผ้าที่ธรรมดาม๊ากกกกก ไม่แถมก็ไม่ว่านะ ฮ่าๆๆ
เอาละ สิ่งที่เป็นพระเอกก็คือตัวเครื่องต่างหากเล่า อลูมิเนียมเย็นเจี๊ยบ
ใช่แล้วครับ แปะแผ่นกันรอยหน้าจอ และ หลังเครื่อง มาให้จากโรงงานผลิตเลย
ลอกออกจะเจอแผ่นกันรอยแปะเลยละ ก็ไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่มละครับ
เห็นไหมเอ่ย
แจ่มไปเลยนะความคิดแบบนี้ แปะมาให้เลย
เอาละ มาดูตัวเครื่องกันรอบ ๆ ดีกว่าครับ
ข้างเครื่องทางด้านขวามือเป็นตัวปรับ Volume แบบ อนาล็อค ซึ่งหลายๆ คนไม่ชอบ
แต่ผมกลับชอบน่ะ ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก ผมว่า มันก็เป็นเอกลักษณ์ในตัวมันดี
และก็ใช้งานได้โอเคดีด้วยนะ หลาย ๆ คนบอก กลัวหัก ผมบอกเลยว่า ผมไม่กลัวหัก
แต่ผมกลัวอย่างเดียว กลัวทำเครื่องหลุดมือตกลงพื้นนี่ละ อันนี้กลัวกว่าเยอะ
สันเครื่องด้านบน
ก็จะมีรูเสียบหูฟัง รูเสียบไว้ต่อพวก Dac อะไรทำนองนี้ ซึ่งผมไม่ใช้แน่ ๆ
และก็ปุ่ม Power ในการเปิด และ ปิดเครื่อง โดยการกดค้างปุ่มนั่นเอง
ดูสันเครื่องด้านซ้ายมือกันบ้าง
เป็นที่รู้กันว่า สามารถกดสั่งงานได้ที่จอแบบ touchscreen อยู่แล้ว
แต่เขาก็ทำเป็นปุ่มกดมาให้เราใช้งานด้วย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปกดที่จอ
ก็เป็นปุ่มใช้งานทั่วไป เข้าใจได้ตามสัญลักษณ์ครับ << / > / >>
มาดูด้านใต้สันเครื่องบ้าง
ก็จะมีช่องเสียบ USB ครับ กับ ช่องเอาไว้ใส่ Micro SD ได้สอง slot ครับ
สำหรับหน่วยความจำในเครื่องก็อย่างที่ทราบกันคือ 32GB
ถ้าเราซื้อ Micro SD ขนาด 64GB มาใส่ทั้งสองช่อง ก็จะได้ความจุ 160GB ทีเดียว
เอาละ เปิดเครื่องเล่นกันเลยดีกว่าเนอะ เดี๋ยวจะได้คุยเรื่องเสียงด้วย
มากับ firmware 1.13 ครับ ซึ่งแน่นอนว่ามีพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ
และค่อนข้างจะชัวร์ครับ ที่เขาจะพัฒนา firmware ต่อไปให้รองรับไฟล์ของ apple
คราวนี้ ก็จะเล่นได้หมดละครับ ไฟล์ที่เป็นไฟล์เสียงที่มี ณ ตอนนี้
เมื่อเปิดเครื่องแล้ว ถ้าเราเอาสาย USB เสียบกับเครื่องแล้วไปต่อคอมฯ
ก็จะโชว์หน้าตาแบบนี้
ให้เลือกว่า จะต่อเชื่อม หรือ จะชาร์จแบ็ตเตอรี่
ถ้าเราต่อเชื่อม ก็จะเจอไดร์ฟโผล่ขึ้นมา 3 ไดร์ฟ
เป็นไดร์ฟ 32GB ที่ Built in มาในเครื่องหนึ่งไดร์ฟ
และก็ไดร์ฟของ Slot Micro SD อีก สองไดร์ฟนั่นเอง
ผมพาเข้าไปดูในไดร์ฟ 32GB ที่ Built in มาละกันครับก็จะเจอโฟลเดอร์ดังนี้
ก็เข้าใจไม่ยากครับ โฟลเดอร์ MUSIC นั่นละ ที่เราจะเอาเพลงลงไป
ผมจะเอาเพลงลงแบบเป็นโฟลเดอร์ ๆ น่ะครับ ซึ่งเป็นไฟล์ .wav ทั้งหมด
เพราะผมทำการ Rip จาก CD เพลง ทำเป็น .wav เอาไว้ฟังบน Astell โดยเฉพาะเลยฮ่าๆๆ
เมื่อลงเพลงเสร็จแล้ว คราวนี้ก็ดึงสาย USB ออกเรียบร้อย
มาเข้าสู่หน้าจอเมนูหลักของเครื่องกันครับ
ผมมักจะเข้าเมนูชื่อ Folder นี่ละ
เพราะจะพาเข้าสู่ โฟลเดอร์เพลงที่เราลงไว้ในเครื่อง
แต่ยังก่อน พาไปดูหัวข้อ Settings กันก่อนครับ
ก็เข้าใจไม่ยากนะครับ การตั้งค่า พื้น ๆ ทั้งนั้น
มาดูหัวข้อ POWER กันซักนิด
อันนี้เป็นการตั้งค่าปิดเครื่องครับ ถ้าไม่ได้ฟังอะไรเลยอ่ะนะ จะปิด Auto เลย
แต่ผมก็ปิดเองทุกทีละ
ส่วน BACKLIGHT OFF ก็คือ การตั้งค่าให้จอแสดงแสงสว่างกี่วินาที
ซัก 30 วินาที จะกำลังดีครับ
มาดูหัวข้อ ADVANCED กันต่อ
ส่วนของ SYSTEM INFORMATION
ก็จะบอกว่าตอนนี้เราใช้ firmware version อะไรอยู่
ความจุเมมในเครื่องเหลือเท่าไหร่ ทั้งในเมมหลัก และ slot micro SD