Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

เหน่งบาตัดแปะ....พุทธ โพธิสัตว์ เทวะ มาร อสูร ยักษ์ นาค ครุฑ อมนุษย์ ฯลฯ

เหน่งบา

10/04/2015 08:34:30
1,866



ใช้สำนวนจีนครับ...ขอซัดโยนหินชักนำหยก...ตัดแปะรูป หรืออาจมีเกร็ดข้อมูลเกี่ยวกับรูปวาด ภาพปั้น ภาพสลัก รูปหล่อ ของบรรดาสิ่งที่เป็นความเชื่อและศรัทธาของมวลมนุษย์ โดยมุ่งหวังจะแสดงถึงศิลปะที่สร้างสรรค์ หรือถ่ายทอดสิ่งที่มีอยู่ในและเหนือธรรมชาติ ผ่านฝีมือมนุษย์

ข้อมูลและภาพ(ถ่ายเอง)ที่มี มีเพียงน้อยนิดครับ หวังใจว่ามีท่านผู้รู้มายมายหลายท่านในบอร์ดนี้ จะมาร่วมกันแชร์ข้อมูล รูปภาพ ในหัวข้อนี้

เนื้อหาสาระข้อมูลที่จะพึงมี ตัดแปะมาจากงานเขียน ภาพถ่ายบางส่วน ของอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ( น ณ ปากน้ำ) คุณนิพัทธ์พร เพ็งแก้ว และเอกสารแผ่นพับของสถานที่ต่างๆ หนังสือที่อาจไม่ได้เอ่ยนาม

นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว : '...ผลงานหลายชิ้นที่ปรากฎผ่านน้ำมือมนุษย์ อาจไม่ได้มาจากจินตนาการของมนุษย์เพียงประการเดียว แต่เป็นภาวะลงตัวของชีวเคมีในร่างกายผสานกับการเปลี่ยนแปลงทางจิต อันส่งผลให้ "คน" มีสภาพที่เหมาะสมในการเป็นช่องทางของพลังบางอย่าง ให้"เขา"ได้เข้ามาทำงานร่วมกับเรา

นี่ทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไม จิตรกรโบราณถึงไม่ลงชื่อไว้ในภาพเขียน อาจไม่ใช่เพียงเพราะศรัทธาในศาสนา หรือเพราะการสลายอัตตาเป็นเป้าหมายชีวิตของคนยุคเก่า จนไม่อยากเหลือทิ้งไว้ทั้งรูปหรือนาม แต่บางที มันคงเกิดจากคนผลิตงานเขารู้ดีว่า กระบวนการทำงานนั้นมันไม่ได้เกิดจากตัวเขาเพียงผู้เดียว ผลงานที่ออกมาไม่ใช่งานของเขา เขาเป็นเพียง"ช่องทางผ่านของพลัง"...'
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 1

เหน่งบา

10/04/2015 08:35:35
1,866
พระศรีศากยมุนี วิหารหลวงวัดสุทัศน์
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

เหน่งบา

10/04/2015 08:49:07
1,866





พระพุทธรูปโลหะหล่อขนาดใหญ่..มาก และมีความงดงามเป็นอย่างสูง ที่อัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุสุโขทัย แสดงให้เห็นถึงความเจริญสูงสุดทั้งด้านศิลปะ และโลหะวิทยา ความชำนาญในเชิงช่างที่สร้างสรรค์งานศิลปะขนาดใหญ่ไว้แต่หลายร้อยปีก่อน ข้อมูลมีว่า พระพุทธรูปขนาดใหญ่โตมโหฬารองค์นี้ ถอดได้เป็นเก้าชิ้น เล่ากันว่า ตอนที่ขนมาถึงประตูเมืองของกรุงเทพ องค์พระสูงกว่าซุ้มประตูถึงขนาดต้องรื้อซุ้มประตูบางส่วนเพื่อนขนพระเข้ามาในกำแพงเมืองเลยทีเดียว

แนะนำให้ผู้มีโอกาสดีหลายท่านที่อยู่กรุงเทพ แวะเข้าไปนมัสการและชื่นชมนะครับ ที่จริงในวัดสุทัศน์มีของดีของงามอีกมากมายหลายอย่างให้ได้รับรู้
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

เหน่งบา

10/04/2015 08:53:10
1,866





จากข้อมูลที่เล่ากันมา พระศรีศากยมุนี เคยประดิษฐานในวิหารหลวงแห่งนี้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

เหน่งบา

10/04/2015 09:25:01
1,866
ไม่ยืนยันข้อมูลนะครับ แค่เล่าข้อสันนิษฐาน เอาไว้ให้คิดกันเล่นๆ

จากเดิมที่เชื่อกันว่าหลวงพ่อศรีศากยมุนี ถูกชลอมาจากสุโขทัยแน่ แต่นักวิชาการหลายคน โต้แย้งว่า พระโลหะขนาดมโหฬารขนาดนั้น ขนออกจากวิหารหลวงได้ยังไง โดยที่เสาวิหารยังไม่โดนพัง?(ดูภาพประกอบนะครับ) หลวงพ่อ น่าจะอยู่ในสิ่งก่อสร้างอื่น ที่ไม่ใช่วิหารหลวง บางรายสันนิษฐานว่า เนินปราสาท ที่อยู่บริเวณใกล้กัน เป็นปราสาทราชวังของพระร่วงเจ้าจริงหรือ ตำแหน่งอยู่หน้าวัดมหาธาตุเลยเนี่ยนะ? ดูผัง เดาความคิดของสถาปนิกในยุคนั้น จะเป็นได้อย่างไรที่อยู่ๆมีปราสาทอยู่ แล้วถ้าไม่ปราสาทราชวัง แล้วสถานที่นี่เคยไว้อะไรที่มีความสำคัญขนาดอยู่ตรงข้ามทางเข้าวัดมหาธาตุที่เป็นหัวใจของพุทธจักรในเมือง

คิดกันได้หลากหลายครับ ผมก็ไม่รู้ แค่ตัดแปะให้อ่านเท่านั้น ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

Ahura

10/04/2015 11:33:06
1,663
ในช่วงประมาณปี 2550 วัดไตรมิตรฯ ได้มีโครงการเปลี่ยนที่ประดิษฐานองค์พระทองคำให้เป็นพระมหามณฑป
แต่ติดปัญหาในการเคลื่อนย้ายองค์พระที่เป็นทองคำหนักหลายสิบตัน ด้วยเกรงจะเกิดความเสียหายได้หากใช้จักรกลหนัก
ทางสว่างทางเดียวในเวลานั้นคือ องค์พระสามารถถอดประกอบเป็นชิ้นๆได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นข่าวดี แต่ข่าวร้ายก็คือไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถแก้สลักพิสดารที่บรรพชนคิดค้นไว้ได้!!!
ร้อนถึงอาจารย์ผม (ท่านอาจารย์จุลทัศน์ พยาฆรานนท์)และเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระเทพฯด้วย ต้องถูกตามตัวให้แก้ไขเรื่องน่าปวดหัวนี้ เพราะน่าจะเป็นบุคคลเดียวในแผ่นดินที่แก้ไขความลับนี้ได้ และเมื่อท่านอาจารย์ไปถึงองค์พระก็สามารถแยกชิ้นส่วนได้อย่างง่ายดายและปรากฎความงดงามตราบจนทุกวันนี้
นี่คือข้อพิสูจน์ถึงภูมิปัญญาแห่งบรรพชนไทยว่ามีความสามารถเชิงความงามและวิศวกรรมเพียงไร อย่าว่าแต่พระอัฐฐารส สูง 8 ศอก ให้ใหญ่กว่านี้เขาก็เคลื่อนย้ายกันได้ง่ายๆครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 6

เหน่งบา

10/04/2015 13:23:17



ผมก็เดาว่า ถอดประกอบครับ สำหรับการเคลื่อนย้ายพระศรีศากยมุนี

รูปนี้พระคันธารราษฎร์ วัดหน้าพระเมรุราชิการาม จ.อยุธยา เป็นพระพุทธรูปศิลาจำหลักขนาดใหญ่ประทับนั่งห้อยพระบาท ศิลปะแบบทวารวดี ปางปฐมเทศนา หน้าตักกว้าง 1.70 เมตร ขนาดสูง 5.20 เมตร พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางคว่ำอยู่บนพระชานุ เบื้องพระปฤษฎางค์มีพนักและเหนือขึ้นไปหลังพระเศียรมีประภามณฑลหรือรัศมี สลักลายที่ขอบ เดิมพบอยู่ในวัดมหาธาตุ อยุธยา องค์จริงใหญ่กว่าที่เห็นในรูป และมีความงดงามมากครับ

พระคันธารราษฎร์ สร้างจากศิลาเขียว ประดิษฐานอยู่ในวิหารสรรเพชญ์ หรือวิหารเขียว หรือวิหารน้อย ตั้งอยู่ข้างพระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุ ซึ่งสร้างวิหารขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3เป็นพระพุทธรูปที่มีข้อมูลว่าถอดประกอบได้เป็น9ชิ้นเช่นกันครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

เหน่งบา

10/04/2015 13:30:35
1,866



หลวงพ่อนาคปรกองค์นี้ อยู่ในวิหารหลวงวัดสุทัศน์นี่เองครับ อยู่หลังเสาต้นหนึ่งด้านซ้ายมือของพระศรีศายมุนี เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธศิลป์อันงดงามแปลกตา คนสร้างมีจินตนาการสร้างสรรค์บรรเจิดมากครับ นาคที่เห็น ทำเป็นส่วนที่แยกต่างหาก ครอบองค์พระอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน ขนาดประมาณครึ่งเท่าของคนจริง หากผ่านไปใกล้แถวนั้น ลองหาโกาสเข้าไปกราบนมัสการนะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

เหน่งบา

10/04/2015 13:35:01
1,866
ขอบคุณคุณAhura ที่เข้ามาร่วมกระทู้และให้ข้อมูลที่น่าสนใจมาก

หวังว่าเที่ยวหน้าจะมาพร้อมของดีมาอวดกันนะครับ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

เหน่งบา

10/04/2015 13:49:20
1,866









[/url]





[/url]


พระพุทธรูปฝีมืองดงามวิเศษองค์นี้ เป็นunseen อย่างหนึ่งในอยุธยาก็ว่าได้ ทั้งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ เนื่องจากชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์ มีพระพุทธรูปมากมาย หลายองค์มีพุทธศิลป์และลักษณะโดดเด่น จนหลายคนเดินผ่านพระพุทธรูปองค์นี้

พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยาออกแบบอาคารเป็นสองปีกซ้ายขวาทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสอง ซึ่งแต่ละด้านล้วนประดิษฐานของสำคัญ ชั้นบนซ้ายเป็นพระบรมสารีริกธาตุและสมบัติจากกรุวัดมหาธาตุ ชั้นล่างซ้ายเป็นพระพุทธรูปศิลาจำหลักทวารวดีขนาดใหญ่ที่มีเพียงสามองค์ในประเทศไทย ขวาบนเป็นสมบัติที่เหลือจากกรุวัดราชบูรณะ ขวาล่าง จัดวางเศียรพระสำริดขนาดใหญ่ จากวัดธรรมิกราช

และพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยองค์นี้ คือ ศิลปะวัตถุที่ถูกเลือกให้วางไว้ ณ ตำแหน่งใจกลางพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยาครับ มีเป็นปางมาระวิชัยที่มีพุทธลักษณะตามแบบอินเดียโบราณอยู่อย่างคือ พระหัตถ์ไม่ได้วางบนพระหนุ(เข่า) แต่วางบนพระชงค์ นิ้วพระหัตถ์ แตะพื้นดิน(ฐาน) คือบอกแม่พระธรณี

ผมได้เห็นพระพุทธรูปองค์นี้ตอนเรียนพาณิชย์และต้องมาสอบเทียบเอาวุฒิ ม.6 ซึ่งทางโรงเรียน(ราชวินิตมัธยม)จัดให้มีกิจกรรมพบกลุ่มนอกสถานที่อย่างหนึ่งคือ ไปทัวร์อยุธยา ตอนเดินมาถึงพระพุทธรูปองค์นี้ ผมถึงกับตะลึงมองอยู่นานครับ มีความรู้สึกว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์อ่อนหวานที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา..แม้จนถึงปัจจุบัน ผมไปเที่ยวอยุธยาบ่อย และทุกครั้งที่ไปแล้วพิพิธภัณฑ์ไม่ปิด ผมจะเข้ามาดูพระพุทธรูปองค์นี้อยู่นานทุกครั้ง ^ ^ เป็นความประทับใจส่วนตัวน่ะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

Ahura

10/04/2015 17:45:19
1,663
ขอปรับแก้ในความเห็นที่ 6 นิดนึงนะครับ
ถ้าจะเรียกพระศิลาดำองนี้ว่า พระคันธารราษฏร์ ดูจะเป็นการเรียกที่ผิดนะครับ
เพราะศิลปะคันธารราษฏร์หรือคันธาระ เป็นรูปแบบพุทธศิลป์ในยุคแรกๆต่อจากศิลปะสาญจี ซึ่งเต็มไปด้วยอิทธิพลของศิลปะกรีกโดยนำเอารูปลักษณ์ของเทพอพอลโลมาใช้แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระศิลาดำองค์นี้เป็นรูปแบบตอนปลายๆแล้วในช่วงของ คุปตะ ถึง ปาละ-เสนะ โดยดูจากลักษณะห้อยพระบาทประทับบนดอกบัวครับ
ส่วนที่เรียกว่าศิลปะทวาราวดีนั้นถูกต้องแล้วครับ
ป.ล. พระองค์นี้มีพี่น้องฝาแฝด คือ พระศิลาขาว ตั้งอยู่ที่องค์พระปฐมเจดีย์ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 11

เหน่งบา

10/04/2015 18:12:49
1,866
ยินดีที่มีผู้รู้มาตรวจสอบข้อมูลครับ

ผมเพียงตัดแปะตามธรรมเนียม ^ ^ คือชาวบ้านจะรู้จักพระ"องค์"นี้ ในนามนี้อ้ะครับ ส่วนข้อมูลในแง่ศิลปะให้เป็นไปตามความเห็นของผู้มีข้อมูลเลยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

Ahura

10/04/2015 18:30:48
1,663



พระคันธารราษฏร์ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 13

Ahura

10/04/2015 18:32:17
1,663



เทพอพอลโล ศิลปะกรีก สมัยเฮเลนนิสติก
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 14

Ahura

10/04/2015 18:42:46
1,663
ความเข้าใจผิดในรูปแบบทางศิลปะในบ้านเรายังมีอีกเยอะครับ
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะปล่อยเลยตามเลยทั้งที่ความจริงนั้นถูกบิดเบือนครับ
ในรัชสมัยรีชกาลที่6 พระองค์ทรงต้องการสำรวจโบราณสถานในแถบศรีสัชนาลัย-สุโขทัยซึ่งตอนนั้นมีสภาพรกชัฏโดยอาศัยคนพื้นถิ่นนำทางชื่อว่า "นายเทียน" นายคนนี้เมื่อนำพระองค์บุกป่าผ่านวัดใดก็อุปโลกน์ชื่อขึ้นมาครับ ไม่ว่าจะเป็นวัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถวฯลฯล้วนไม่ใช่ชื่อจริงดั้งเดิมในสมัยนั้นครับ
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่า " นั่งเทียนเขียน" ครับ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 15

เหน่งบา

10/04/2015 18:49:45
1,866
เคยได้ยินครับ เห็นว่าวัดพระพายหลวงนี่ ตอนเสด็จไปถึง ลมกำลังพัดแรง วัดนั้นเลยได้ชื่อ วัดพระพายหลวง ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 16

Ahura

10/04/2015 19:10:27
1,663



พระพุทธรูปศิลปะคันธารราษฏร์แท้ๆที่อยู่ตามวัดในเมืองไทยผมยังนึกที่ไหนไม่ออกเลยครับ
รู้อยู่ที่เดียวคือ collection ของคุณวิชัย คิงส์เพาเวอร์แค่นั้นครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 17

เหน่งบา

11/04/2015 13:12:00
1,866



วัดพระพายหลวงที่ว่าครับ ที่จริงวัดนี้ องค์พระปรางค์สวยมาก เสียแต่พังทลายเหลือสภาพดีแค่องค์เดียว
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 18

Ahura

11/04/2015 13:44:17
1,663



พระพุทธรูปปางลีลา ศิลปะสุโขทัย วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองเชลียง
พระองค์นี้ ท่านศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้วางรากฐานศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย
ยกย่องว่ามีความงดงามทางพุทธศิลป์มากที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะการใช้เส้นที่อ่ินช้อยงดงามและสามารถถ่ายทอดความเคลื่อนไหวที่งดงามของการเยื้องย่าง ใบหน้าดั่งผลมะปราง หน้าอกดั่งสาวสิบหก ลำแขนดั่งงวงช้างฯลฯ
ซึ่งตามหลักมหาปุริสสลักษณะทุกประการ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 19

เหน่งบา

11/04/2015 13:45:59
1,866






ด้วยความเป็นเด็กต่างจังหวัด ช่วงเรียนพาณิชย์ เกิดมาก็เพิ่งเคยไปไปรษณีย์กลางในวันหยุดที่ไปเที่ยวกับเพื่อนและเพื่อนแวะไปทำธุระแถวนั้น

เมื่อแรกได้เห็น รู้สึกชื่นชอบมากกับงานศิลปะชิ้นนี้(ที่จริงสองชิ้น เพราะอยู่สองตน คนละมุมตึก) ไม่เคยเห็นครุฑที่ไหนออกแบบและสร้างสรรค์ได้งามสง่าน่าเกรงขามอย่างนั้นมาก่อน ตอนนั้นมีความคิดอยู่แต่ไม่ได้สรุปเป็นรูปธรรม ว่า "หากเทวปักษีมีจริง คงมีลักษณะรูปร่างแบบนี้แหละ" ...เป็นครุฑที่เห็นแล้วประทับไม่รู้ลืมครับ เห็นแล้วก็อยากเห็นอีก

ตอนหลังถึงได้ทราบว่า ครุฑที่ไปรษณีย์กลาง เป็นผลงานของอาจารย์ศิลป์ พีระศรีครับ มิน่า....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 20

เหน่งบา

11/04/2015 13:47:05
1,866





ด้านตรงครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 21

Ahura

11/04/2015 13:59:54
1,663



รูปปูนปั้นนูนต่ำที่ถือกันว่างดงามมากที่สุดในประเทศไทย
เป็นรูปพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ โดยอยู่ที่ผนังมณฑปด้านทิศใต้ วัดตระพังทองหลาง สุโขทัย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 22

Ahura

11/04/2015 14:14:06
1,663



อ่าว! โดดไปครุฑแล้วเหรอครับคุณเหน่งบา ผมยังวนเวียนอยู่กับพระอยู่เลย555
ครุฑนี้เป็นศิลปะไทยผสมผสานกับ Art Deco ตามสมัย modernism ครับ
ถ้าอยากชมครุฑนี้แบบจับต้องได้ ให้ไปที่ศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพฯ ของ คุณเสริมคุณ คุณาวงศ์
แกลงทุนไปถอดพิมพ์มาจากยอดตึกเลยครับ ภายในศูนย์แกยัง collect งานผมด้วย55
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 23

Ahura

11/04/2015 14:24:20
1,663



บรรยากาศส่วนหนึ่งภายในศูนย์ครับ ขวามือคืองานผมที่แกสะสมไว้ครับ
การวางงานจะไล่เรียงประติมากรรมตั้งแต่สุโขทัยจนถึงปัจจุบันเลยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 24

เหน่งบา

11/04/2015 14:34:36
1,866
งานอาจารย์ผมก็เห็นรูปอยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าใครเก็บยังไง ไม่ได้อยู่วงการนี้ครับ

ความเห็นที่เอามา จะปนๆกันครับอาจารย์ ก็ตามหัวข้อกระทู้เลย ten vegetables ครับ สไตล์ผม 555 จากพลังงานด้านบวก เดี๋ยวอาจมีฝ่ายลบมาแจมด้วยก็ได้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 25

เหน่งบา

11/04/2015 15:04:35
1,866





Pazuzu ครับ จ้าวแห่งมาร ตามความเชื่อของอาณาจักรบาบิโลนโบราณ(ประมาณพันแปดร้อยปีก่อนคริสตกาล)

Pazuzu มักจะเป็นร่างที่รวมกันของสัตว์ที่มีความหลากหลายและชิ้นส่วนมนุษย์ ลำตัวของมนุษย์ หัวของ สิงโต หรือ สุนัข , กรงเล็บของ นกอินทรี สองคู่ของปีก แมงป่อง หาง มีอวัยวะเพศชาย จุดที่มือข้างขวายกขึ้นและจุดที่มือซ้ายชี้ลง

Pazuzu มีความเชื่อว่าจะนำมาซึ่งภัยพิบัติ หายนะ ความอดอยากแห้งแล้ง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 26

crabfather

11/04/2015 15:26:07
166
อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกเหมือนกับได้อ่านนิตยสารต่วย' ตูน พิเศษ เลยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 27

เหน่งบา

11/04/2015 17:03:49



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 28

Ahura

11/04/2015 18:17:59
1,663



หลักฐานชิ้นแรกๆของมนุษยชาติในการสร้างรูปเคารพ
Venus of Willendoff ค้นพบในแม่น้ำประเทศออสเตรียมีอายุราว 30,000ปีก่อนคริสตกาล
เป็นสิ่งยืนยีนว่าทำไมเหล่านักเล่นหูฟังถึงเกรงกลัวผู้บังคับบัญชาในบ้าน
เพราะในอดีตพวกเรามีสตรีเป็นผู้นำครับ!!!
เนื่องด้วยสตรีมีอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น การหลั่งเลือดในทุกรอบเดือน หรือสามารถสร้างชีวิตใหม่ภายในตัวได้ !
เจอแบบนี้พวกผู้ชายก็ต้องยอมล่ะครับ ในยุคนั้นเรายังนับถือศาสนาผีกันอยู่ สตรีจึงเป็นเหมือนตัวแทนพลังอำนาจทางธรรมชาติที่ควบคุมทุกชีวิต
รูปสลักนี้มีขนาดแค่สี่นิ้ว เป็นเครื่องรางใช้พกพาขณะบุรุษออกล่า เพื่อรับประกันความอุดมและความสำเร็จ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 29

ผ่านมาหลายหนและ

11/04/2015 22:08:25
เหน่งตัดแปะ....น่าจะใช้คำนำหน้าที่เหมาะสมหน่อย...อย่าถือว่าตัวเองเก๋า เฮียยังเรียกพี่

ควรใช้

พระพุทธ พระโพธิสัตว์ .....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 30

เหน่งบา

11/04/2015 22:38:09
1,866
รับฟังครับ แต่ผมแก้ไขเองไม่ได้ รบกวนทีมงานช่วยแก้ไขตามคำทักท้วงตาที่เห็นควรได้เลยนะครับ และผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก๋าครับ แนะนำกันตรงๆได้ ไม่ต้องแดกดันครับ ^ ^

ส่วนการมาร่วมให้ข้อมูลของอาจารย์Ahura นับว่าบรรลุความต้องการบ้างแล้ว ดังที่บอกไว้แต่ตั้งกระทู้ว่า ผมขอโยนก้อนหินชักนำหยก...เชื่อว่าหากอาจารย์ไม่ติดธุระทางโลกและทางที่พ้นวิสัยของโลก คงมาร่วมให้ข้อมูลดีๆเช่นที่ผ่านมาอีกครับ ขอบคุณมาก ^ ^ ทั้งนี้รวมถึงผู้รู้ ผู้มีข้อมูลท่านอื่นด้วยนะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 31

เหน่งบา

11/04/2015 22:58:52
1,866
เคยบอกว่าตัวเองรู้น้อยเกินไป ก็เป็นดังนั้นจริงๆ มาทราบด้วยความสุดเสียดาย จากความเห็น18 เกี่ยวกับพระปูนปั้นปางลีลา ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เชลียง(ศรีสัชนาลัย) ว่ามีความงดงามเพียงใด

ผมเคยมีโอกาสไปกับทัวร์มาครั้งหนึ่งครับ แต่ตอนนั้นมัวแต่ถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศโดยรวม ไม่ทันได้ถ่ายให้ละเอียด เสียดายจริงๆ มีภาพถ่ายไว้แค่สองภาพเองครับ









ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 32

เหน่งบา

11/04/2015 23:05:22
1,866
ลองตัดต่อขยายได้แค่นี้เองครับเสียดายจริงๆ ไม่รู้ชาตินี้จะมีโอกาสได้ไปอีกสักครั้งไหม




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 33

เหน่งบา

11/04/2015 23:10:05
1,866
ที่จริง โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบดูเจดีย์ กับใบพัทธสีมา อาจจะมากกว่าพระด้วยซ้ำไปครับ

ภาพนี้เป็นภาพเจดีย์ทรงลังกา บนยอดเขาพนมเพลิง เป็นภาพที่ถ่ายแล้วตัวเองชอบที่สุดในtrip นั้น




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 34

Ahura

11/04/2015 23:46:46
ผมขอร่วมตำหนิคุณเหน่งบาด้วยอีกคนนะครับ!
แต่ไม่ใช่เรื่องภาษาที่ลืมใส่ชฏาอะไรนั่นหรอกนะครับ 555
แต่เป็นปัญหาของภาพถ่ายน่ะครับ
ภาพที่1 ถือเป็นมุมต้องห้ามของพระพุทธรูปสุโขทัยครับ
- การปั้นพระสุโขทัยจะมีโครงสร้างแบบจากเล็กขึ้นไปใหญ่ นั่นหมายความว่าจะมีการเพิ่มขนาดและปริมาตรเมื่อสูงขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นเศียรพระจะมีขนาดใหญ่เกินพอดี เพื่อแก้ปัญหา " โดนอากาศกิน " วัตถุที่อยู่ไกลตาจะมีขนาดเล็กกว่าความเป็นจริงเพราะข้อ จำกัดทางประสาทรับรู้ของมนุษย์ เพราะเจตนาจะให้พระดูสวยที่สุดเมื่ออยู่ในมุมมองของผู้ที่นั่งกราบไหว้เท่านั้นครับ
รูปที่คุณเหน่งบาถ่ายมาในมุมนี้จึงเป็นมุมที่ผู้สร้างไม่อยากให้เห็นเลยครับ เพราะมันจะถ่ายทอดออกมาแล้วดูประหลาดๆมากกว่างดงามครับ
ภาพที่2 นี่แหละครับมุมนี้เลยตรงตามเจตนาทางสุนทรีย์ แต่ก็อีกแหละคนอยากจะตำหนิยังไงก็จะตำหนิ555
- พระพุทธรูปสุโขทัยสวยที่สุดในมุมประจันหน้าครับ (เป็นไอเดียเดียวกับศิลปะอียิปต์)
ดังนั้นในการปั้นส่วนที่ยื่นออกจะต้องมีการเน้น โดยเฉพาะส่วนจมูก เพื่อให้การชมด้านหน้าสมบูรณ์ที่สุดสวยที่สุด จึงต้องเพิ่มให้ยื่นออกเกินปกติ ทำให้การถ่ายใบหน้าด้านข้างจึงกลายเป็นมุมต้องห้ามอีกมุมหนึ่ง เพราะเจตนาเขาไม่ต้องการให้คนมองมุมนั้นครับ
ป.ล. คำว่า "พุทธ" (ภาษาไทยออกเสียง-พุด, บาลีออกเสียง-พุด-ทะ, สันสกฤตออกเสียง-บุด-ดะ )
มีความหมายเดียวกันคือ " ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน " เอ ผมว่าคุณเหน่งบาก็ใช้คำได้ถูกต้องดีมากนะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 35

เหน่งบา

12/04/2015 13:29:28
1,866
น้อมรับคำสั่งสอน และขอบคุณสำหรับสิ่งที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติมครับ ^ ^

ภาพถัดไปขอแก้ตัวหน่อยดีกว่า







พระประธานในโบสถ์วัดบรมวงศ์อิศรารามครับ อยู่นอกเกาะเมือง ไปทางเพนียดคล้องช้าง

มีเอกลักษณ์โดดเด่น คือเป็นพระพุทธรูปในซุ้มมาลา(หมวก) น่าจะองค์เดียวในประเทศไทย

เนื่องจากวัดนี้ เป็นวัดประจำตระกูล มาลากุล (ณ อยุธยา)ครับ วัดบรมวงศ์อิศรวรารามวรวิหารเป็นวัดพระอารามหลวงชั้นโท วัดบรมวงศ์อิศรวรารามวรวิหาร เดิมชื่อ วัดทะเลหญ้า เป็นวัดโบราณตั้งอยู่ริมคลองใกล้Œกับเพนียดคลองช้าง พวกกรมพระคชบาลสร้างขึ้นตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2419 สมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ามหามาลา เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ได้เสด็จไปทอดพระเนตรการคล้องช้างที่พระนครศรีอยุธยา ทรงเห็นว่าเป็นวัดที่ชำรุดทรุดโทรม จึงทรงบริจาคเงินบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์วิหารของวัดใหม่‹ทั้งหมด แล้วทรงถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อใหม่ว่า "วัดบรมวงศ์อิศรวราราม" พร้อมทั้งเสด็จพระราชดำเนินตัดลูกพัทธสีมา พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดบรมวงศ์อิศรวรารามวรวิหารถึง 8 ครั้ง

ใน พ.ศ. 2444 หลังจากสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราชปรปักษ์สิ้นพระชนมแล้ว 15 ปี ปรากฏว่า ผนังอุโบสถด้านทางทิศตะวันตกเฉียงใต้Œได้ทรุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานความช่วยเหลือซ่อมแซม ส่วนเสนาสนะอื่น ๆ นั้น พระยาปริยัติวงศาจารย์ได้Œบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา

สิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิริมงคลสำคัญของวัด คือ ประวัติศาสตร์ของวัดกับรัชกาลที่ 5 มีรูปหล่อเคารพพระองค์ในวิหาร นอกจากนี้ยังมีพระตำหนักของพระองค์เป็นที่เก็บรูปภาพโบราณและพระราชประวัติตั้งแต่‹ประสูติจนถึงสวรรคต
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 36

เหน่งบา

12/04/2015 18:57:01
1,866



อันนี้ มณฑปวัดตระพังทองหลางที่อาจารย์Ahura กล่าวถึงครับ ผมยังไม่มีโอกาสได้ไปชม

รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใหญ่โต หนา ขึงขัง ทว่างดงาม เป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสุโขทัย ผสมผสานกับศิลปกันงดงามในการสร้างสรรค์งานศิลป์อันประณีด เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

สมัยก่อนเครื่องบน(ส่วนของหลังคา)จะเป็นไม้ครับ ปัจจุบันถึงได้ไม่เหลือซากให้ได้เห็น
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 37

เหน่งบา

13/04/2015 08:16:11
1,866



พระจุฬามณีเจดีย์ เป็นเจดีย์โลหะ มีรูปท้าวจตุโลกบาลยืนเฝ้า ๔ ทิศ

เดิมทีฐานชุกชีวิหารน้อยในวัดอรุณราชวรารามนี้ เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตในสมัยกรุงธนบุรี ก่อนจะถูกอัญเชิญไปยังวัดพระแก้ว

จุฬามณีเจดีย์ที่จำลองขึ้นนี้ หมายถึง พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์(ชั้นที่สอง ในฉกามาพจรภูมิทั้งหกชั้น)

ส่วนท้าวจตุโลกบาล เดี๋ยวกินข้าวเสร็จมาขยายความต่อครับ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 38

sakol

13/04/2015 14:24:57
3
ในศุภวาระดิถีวันสงกรานต์ ๒๕๕๘ ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธชินราช พระแก้วมรกตพระพุทธโสธร และสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 39

sakol

13/04/2015 14:26:19
3
ในศุภวาระดิถีวันสงกรานต์ ๒๕๕๘ ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธชินราช พระแก้วมรกตพระพุทธโสธร และสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในเทศกาลวันสงกรานต์ขอพรแด่ผู้ที่มีภาพ นี้ ขอให้ท่านโชคดี มีความสุข พบแต่สิ่งดีดี คนดีดี ตลอดปีใหม่ไทยตลอดไปนะ
13/เมษา/58
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 40

เหน่งบา

14/04/2015 00:07:31
1,866
ข้อมูลช่วงนี้ มาจากหนังสือ"เปิดตำนานสวรรค์ของชาวพุทธโบราณ" ของเครือสำนักพิมพ์ต่วยตูน "นายขยะ"รวบรวมและเรียบเรียง ซึ่งอ้างอิงเนื้อความจากหนังสือไตรภูมิพระร่วง เอาว่าอ่านเล่นเพลินสำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่านก็ละกันนะครับ เพราะผมทราบว่ามีผู้รู้หลายท่านในเว็บ มีข้อมูลละเอียดมากมายกว่าที่ผมตัดแปะมานี่ชนิดเทียบกันไม่ได้ บางท่านอาจถึงขั้นเคยอ่านไตรภูมิพระร่วงฉบับจริงเสียด้วยซ้ำ

หลายท่าน คงรู้ชื่อสวรรค์ทั้งหกชั้นดี(จาตุมหาราชิกาภูมิ, ดาวดึงษ์ หรือไตรตรึงษ์ หรือตาวติงสาภูมิ, ยามา, ดุสิตา, นิมานรดี และปรนิมมิตวสวัตตี)

ชื่อสวรรค์สองชั้นแรก ชื่อ เป็นการระบุถึงบุคคลที่มีความสำคัญย่ิ่งของสวรรค์ชั้นนั้นครับ จาตุมหาราชิกาภูมิ หมายถึงภูมิหรือแดนแห่งท้าวมหาราชทั้งสี่ ไตรตรึงษ์ อันแปลว่า สามสิบสาม หมายถึงภูมิอันเป็นที่ประทับของเทพสามสิบสามพระองค์ อันเป็นสมาชิกของสุธรรมาเทวสภา(สภาเทวดานั่นแหละครับ)ซึ่งอยู่ในสวนบุณฑริกวัน

ท้าวจาตุมหาราชทั้งสี่ ภาษาจีน ว่า สี่(ไต้)เทียนอ้วง : สี่ ก็ สี่ ^ ^ ไต้ ก็มหา, เทียนอ้วง ก็คือจอมฟ้า ภาษาญี่ปุ่นออกเสียงประมาณ ชิเทนโน หรือนักอ่านการ์ตูนจะรู้จักในคำว่า จัตุรเทพนั่นเอง

มหาราชทั้งสี่ มีวุฒิภาะแห่งความเป็นเทวะเหนือกว่าทวยเทพอื่นๆในสวรรค์ชั้นนี้อยู่๑๐ประการคือ อายุ วรรณะ สุข ยศ อธิืบดี รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทั้งหลายอันเป็นทิพย์ ชาวพุทธโบราณเชื่อกันว่า มนุษย์ที่ประกอบกุศลธรรมนานาประการ อันได้แก่ ความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย(ศรัทธา), การรักษาอุโบสถศีลโดยสม่ำเสมอ (ศีล : คือศีล๘),การสั่งสมการเรียนรู้ธรรม (สุตะ),การให้ทานตามโอกาสเพื่อขัดเกลากิเลส (จาคะ),และการเรียนรู้วิเคราะห์ธรรม (ปัญญา) แต่ไม่ได้ปฏิบัติการทางจิต(สัมมาสมาธิ) เมื่อสถานภาพทางมนุษย์ถึงกาลแตกดับสลายไป ย่อมจะมาอุบัติเป็นเทพ เสวยผลกรรมดังกล่าวในสวรรค์ชั้นนี้ได้

ท้าวจัตุมหาราช มีการเรียกขานกันอีกอย่างหนึ่งว่า ท้าวจัตุโลกบาล หมายถึงเป็นเทพเจ้าผู้คุ้มครองดูแลโลกของมนุษย์ด้วย (โลก + ปาละ)

ท้าวจัตุมหาราชทั้งสี่ได้แก่
๑.ท้าวธตรฐ หรือ ธตรัฏฐ แห่งสวรรค์ฝ่ายตะวันออก
๒.ท้าววิรุฬหก แห่งสวรรค์ฝ่ายใต้
๓.ท้าววิรูปักข์ แห่งสวรรค์ฝ่ายตะวันตก
๔.ท้าวไพศพ หรือท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวัณ แห่งสวรรค์ฝ่ายเหนือ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 41

เหน่งบา

14/04/2015 11:25:19
1,866





ท้าวธตรฐครับ หารูปศิลปแบบไทยยากเย็นเหลือเกิน ถ้าเป็นแบบจีนนี่หาดูได้หลายที่ ที่วัดเล่งเน้ยยี่ ตรงทางเข้าด้านใน มีรูปปั้นซี่ได้เทียนอ้วงขนาดใหญ่มาก และงดงามมาก(ตามแบบจีน)อยู่ เสียแต่ห้ามถ่ายรูป รูปที่เอามาประกอบนี้ ถ่ายจากวิหารบนยอดเขาเซียน(เดินขึ้นไป๗๐๐ขั้นบันได) หลังวัดพระพุทธบาทติดถ้ำประทุน ซึี่งวิหารที่ว่านี้ เปิดให้ขึ้นไปสักการะเพียงปีละครั้งช่วงตรุษจีน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 42

เหน่งบา

14/04/2015 17:23:14
1,866



"เทพยดาผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลายฝ่ายตะวันออกเขาสิเนรุราชนั้น ชื่อว่า ท้าวธนรฐ เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลายรวดทั่วทั้งกำแพงจักรวาฬฝ่ายตะวันออกแล..."

ตามบันทึกแห่งไตรภูมิพระร่วง ท้าวธนรฐ หรือ ธตรัฏฐ หรือธฤตราษฎร์นั้นเป็นจ้าวแห่งเทพยดาจำพวกหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า คนธรรพ์ เป็นชาวจาตุมหาราชิกาสวรรค์ที่ถนัดในการละเล่นดนตรี ครบทั้งดีด สี ตี เป่า

ท้าวธตรฐเทพเจ้าแห่งคนธรรพ์นี้ มีพระวรกายผ่องเป็นสีเงินยวง หัตถ์ทรงพิณ ทรงมีอาวุโสเป็นอันดับหนึ่งในหมู่จอมเทพจัตุโลกบาล

วงบอยแบนด์เกาหลีที่เคยโด่งดัง ดงบังชินกิ ที่เคยได้ยินแปลชื่อกันว่า เทพเจ้าโลกตะวันออก ก็คือเอาฉายาท้าวธนรฐมหาราชไปใช้นั่นเองครับ น่าจะตรงกับภาษาจีนว่า ตังฮึงเทียนอ้วง : จอมฟ้าบูรพาทิศ หรือโลกบาลแห่งบูรพาทิศ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 43

เหน่งบา

14/04/2015 17:24:30
1,866
พิมพ์ผิดไปหลายคำ ธตรฐ นะครับ ไม่ใช่ธนรฐ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 44

เหน่งบา

14/04/2015 18:30:51
1,866



๒.ท้าววิรุฬหก

"เทพยาดาผู้เป็นพระญาฝ่ายทักษิณชื่อท้าววิรุฬหกราช เป็นพระญาแก่ฝูงยักษ์อันชื่อกุมภัณฑ์ และเทพยดาทั้งหลายรวมไปเถิงกำแพงจักรวาฬฝ่ายทักษิณ..."

ท้าววิรุฬหกเป็นเทวราชอันดับที่ ๒ ของท้าวจัตุโลกบาล ผู้ปกครองดูแลจาตุมหาราชิกาสวรรค์ฝ่ายใต้ เป็นเทพเจ้าแห่งยักษ์กุมภัณฑ์และยักษ์ผีเสื้อ

ยักษ์กุมภัณฑ์ตามความหมายของชื่อมาจากกุมภะ แปลว่าหม้อ บวกกับอัณฑะ ซึ่งแปลกว่าไข่ รวมความแล้วก็คือยักษ์ที่มีลูกอัณฑะโตเท่าหม้อ ฉนั้น ยักษ์ตระกูลนี้ ต้องเดินแยกขาและย่อเข่าลงเล็กน้อย น่าจะเป็นต้นตำรับของการเต้นโขนของชาวสยามก็เป็นได้

ในการเอ่ยนาม แม้จะเป็นอันดับสองของท้าวจัตุโลกบาล แต่ก็ไม่ใคร่มีบทบาทหรือรายละเอียดมากนัก ตามตำนานของชาวพุทธโบราณกล่าวว่า เป็นท้าวโลกบาลที่ทรงมีพระวรกายเป็นสีเขียว หัตถ์ถือพระขรรค์(หรือกระบี่)

หมายเหตุ ภาพอาจทำให้สับสนนะครับ เพราะหลายที่สร้างแล้ว ก็ไม่ตรงกันเสียทีเดียว บางที่ท้าววิรุฬหกทรงกระบี่บ้าง เจดีย์หรือมณฑป บางที่ท้าวกุเวรทรงร่มบ้าง เจดีย์บ้าง ที่ไม่ค่อยสับสนคือ ท้าวธตรฐที่ทรงพิณ(หรือปีแป้) ส่วนที่คิดว่าใช่แน่ คือ ท้าววิรูปักษ์น่าจะถืองู(หรือนาค)เพราะท่านเป็นใหญ่เหนือครุฑและนาค
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 45

เหน่งบา

14/04/2015 18:49:08
1,866



๓.ท้าววิรูปักษ์

"เทพยดาผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาแลฝูงครุฑราช แลฝูงนาคราชเถิงกำแพงจักรวาฬเบื้องตะวันตกแลฯ.."

ท้าววิรูปักษ์โลกบาลผู้เป็นใหญ่เหนือครุฑ นาค และเทพยดาผู้สถิตเบื้องทิศตะวันตกของจาตุมหาราชิกาสวรรค์นี้ ในตำนานพุทธตันตระกล่าวไว้ว่า ทรงมีพระวรกายเป็นสีแดง หัตถ์ข้างขวาถือมณฑป(หรือเจดีย์) หัตถ์ข้างซ้ายถือแก้วมณี บางครั้งก็เป็นนาคราช
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 46

เหน่งบา

15/04/2015 17:53:12
1,866



๔.ท้าวไพศพ

"แลเทพยดาผู้เป็นพระญาฝ่ายอุดรชื่อท้าวไพศพมหาราช เป็นพระญาแก่หมู่ยักษ์ทั้งหลายและเทพยดาฝ่ายอุดรทิศเขาพระสิเนรุราช รวดไปเถิงกำแพงจักรวาฬฝ่ายอุดรทิศนั้นแลฯ.."

ท้าวไพศพ เทวราชราชอันดับสุดท้ายของจอมเทพจัตุโลกบาลมีชื่อเรียกอีกสองชื่อ คือ ท้าวกุเวร กับท้าวเวสสุวัณ เป็นจ้าวแห่งยักษ์ ภูต ผี ปิศาจ และความมั่งคั่งไพบูลย์ทั้งหลาย ในอดีตชาติเป็นผู้มั่งคั่ง ที่ได้บริจาคทรัพย์สินส่วนตัวสร้างสาธารณสถานและให้ทานแก่มหาชน สร้างทานและกุศลตลอดชีวิต จึงได้มาอุบัติเป็นจอมเทพชื่อท้าวเวสสุวัณ ตามตำนานของชาวพุทธโบราณ พระองค์เป็นอริยบุคคลขั้นโสดาบันด้วย

ตามตำนานของชาวพุทธตันตระฝ่ายธิเบต ท้าวเวสสุวัณมีพระวรกายเป็นสีเหลืองทอง หัตถ์ขวาถือธง หัตถ์ซ้ายถือพังพอน แต่พุทธตันตระฝ่ายสยามกำหนดให้ถือคฑาหรือกระบอง และที่ตรงกันคือความเชื่อที่ว่า รูปของท้าวโลกบาลพระองค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งไพบูลย์ เป็นรูปมงคลที่นำความดีงามมาสู่บ้านเรือน ทั้งยังป้องกันเสนียดจัญไรตลอดจนภัยพิบัติต่างๆนานา รวมถึงป้องกันภูตผีได้ด้วย เพราะท่านเป็นจ้าวเหนือภูตผียักษ์ปิศาจ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 47

เหน่งบา

15/04/2015 18:15:59
1,866



อีกฉายาหนึ่งที่มีการขนานนามท่านคือ ชัมภาลา โดยเทวรูปชัมภาลานี้ มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากเทพเจ้า องค์อื่นอย่างเห็นได้ชัด คือมีลักษณะอวบอ้วน, พุงพลุ้ย, ใบหน้าใหญ่, ล่ำ, มีความจริงจัง แต่แฝงไปด้วยความเมตตากรุณา ท่อนบนของท่านเปลือยเปล่า ประดับไปด้วยสร้อยสังวาล, เพชรนิลจินดา, กำไล ทั้งองค์เต็มไปด้วยอัญมณีล้ำค่า แสดงถึงความมั่งมีเงินทองทรัพย์สมบัติอย่างเหลือคณานับ

ในคาถาบูชาเทพเจ้าแห่งโชคลาภของพุทธตันตระฝ่ายมหายาน มีดังนี้ “ โอม ชัมภาลา จาเลน ไนเยน สวาหะ ”

“ ชัมภาลา ” ก็คือชัมภล นั่นเอง และในภาษาอังกฤษที่เรียกรูปเคารพ ของท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ ก็เขียนทับศัพท์ว่า “JAMBHALA” ตามรูปสมมุติที่สร้างขึ้น เท่าที่ปรากฏตามที่ผู้เขียนได้ค้นคว้าจากตำราทั้งภาษาไทย, จีน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส ปรากฏตรงกันว่า ท่านถือพังพอนอยู่ในมือด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งถือลูกแก้วหรือฉัตรก็มี หน้าตาบางปาง ท่านจะดุดันเข้มขลัง เพราะท่านคือเจ้าแห่งยักษ์ บางปางก็ใส่รองเท้า บางปางก็ไม่ใส่รองเท้า

ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้รู้ และเมืองจีนยุคหลังๆ เรียกท่านว่า “ ไฉ่ซิ้งเอี้ย ” ตามสำเนียงและภาษาที่เป็นไปของแต่ละพื้นที่ พร้อมกับมีนิทานเรื่องขุนนางจีนมาประกอบ แต่ยังปรากฏรากศัพท์ของเสียง


“ ฉ ” หรือ “ ช ” ที่ภาษาจีนทางใต้ออกเสียง “ ใช้ ” หมายถึงความร่ำรวย ซึ่งใกล้เคียงของเดิมคือ “ ชัมภล ” “ ชัมภาลา ”



ในการสวดมนต์ขอพรเทพเจ้าแห่งโชคลาภ นั้น ทางฝ่ายตันตระมหายาน ก็จะใช้คาถาตามที่กล่าวไป เพื่อขอพรให้ท่านประทานโชคลาภและความร่ำรวย ทั้งยังมีอานุภาพในการคุ้มครองปกป้องทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วให้ปลอดภัย รวมถึงจากบรรดาภูติผีปีศาจ อำนาจชั่วร้ายทั้งปวง ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ เพราะท่านคือมหาราชผู้เป็นจตุโลกบาล เจ้าแห่งยักษ์


เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ( ไฉ่ซิ้งเอี้ย ) สามารถจัดแบ่งปางต่างๆตามหลักมหายานได้ดังนี้

๑.ปางมหาเศรษฐี ชัมภล ซึ่งเป็นปางที่ใหญ่สุดและมีความเก่าแก่ที่สุดกว่า 2,000 ปี

๒.ปางบู๊ ทรงเครื่องนักรบโบราณ มีเสือประทับอยู่ด้วย คติมาจากความที่เป็นยักษ์นั่นเอง ภายหลังจึงแปลงให้เป็นปางบู๊

๓.ปางบุ๋น เป็นรูปขุนนางจีน ดังที่เห็นกันทั่วไป ซึ่งปางนี้กำเนิดภายหลังไม่กี่ร้อยปี คล้ายคลึงกับเทพเจ้าองค์อื่นๆของจีน เช่น ตี่จูเอี้ย, แป๊ะกง ฯลฯ อาจจะมีคฑายู่อี่ และถือก้อนเงินจีนโบราณ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 48

เหน่งบา

16/04/2015 08:29:19
1,866



เมื่อหาข้อมูลคำว่า"ท้าวเวสสุวัณ" (หรือมีอีกนาม..ไวศรวัณ)ส่ิงที่จะพบคือ ภาพยักษ์ถือกระบอง

ในความจำของคน(ไทย) ยักษ์ที่ไหนก็ใช้กระบอง แต่พอเป็นภาพยักษ์ถือกระบอง ทำไมส่วนใหญ่เจาะจงถึงท้าวเวสสุวัณ?

ตำนานของชาวพุทธตันตระเล่าว่า ท่านทรงมีเทพอาวุธวิเศษ เป็น ๑ ใน ๔ เทพศัตราวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุด ตำนานนี้บันทึกสืบทอดหลักฐานอยู่ในแผ่นยันต์โสฬสมงคลที่ใช้ประกอบเสาเอกในพิธีการตั้งบ้านตั้งเรือนของชาวสยามเอง ความว่า เวสสุวัณสัสคทาวุธ หมายถึงคทาหรือกระบองของท้าวเวสสุวัณ หากขว้างจู่โจมใส่หมู่ยักษ์เหล่ากุมภัณฑ์หรือมนุษย์แล้วไซร้จะเกิดการตายดาษดื่นนับจำนวนสิบล้านร้อยล้านชีวิตโดยทันที

อาวุธวิเศษทั้งสี่อย่าง ได้แก่
๑.จักรวชิระของพระอินทร์
๒.ดวงตาของท้าวยมราช
่๓.คทาของท้าวเวสสุวัณ
๔.ผ้าโพกหัวของอาฬวกยักษ์ (อานุภาพคือ สามารถระเบิดน้ำในมหาสมุทรให้ระเหยหายไปในชั่วพริบตาทั้งมหาสมุทร
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 49

Ahura

16/04/2015 10:27:56
ขอวนกลับไปที่วัดและพระพุทธรูป โดยเฉพาะศิลปะสุโขทัยที่คุณเหน่งบานำเสนอในช่วงแรกๆ
ซึ่งส่วนใหญ่ใช้คติความเชื่อทางพุทธศาสนาในยุคโบราณซึ่งค่อนข้างสูญหายไปหมดแล้วในปัจจุบัน
ซึ่งผมอยากจะโปรยเอาไว้เท่าที่นึกออก หากใครสนใจรายละเอียดก็ลองสืบค้นกันต่อนะครับ
- วัดในยุคแรกๆส่วนใหญ่จะไม่มีอุโบสถ เพราะคนโบราณจะบวชพระกันในน้ำครับ และเมื่อบวชแล้วก็จะไม่สึกตลอดชีวิต
- จะใช้คูน้ำแสดงเขตพุทธาวาส โดยใช้ชายฉกรรจ์ ยืนหันหลังชิดผนังวิหารแล้วขว้างก้อนดินออกไปรอบทิศ ถือเป็นสุดเขตของสงฆ์
จากนั้นจะขุดคูน้ำโดยมีขนาดสตรีวักน้ำไม่ถึง มีหน้าที่เหมือนสีมาน้ำและใช้เป็นที่บวชกลางน้ำ ซึ่งเป็นคติลังกาวงศ์
- วัดที่ตั้งในเขตอรัญญิก (วัดป่า) จะต้องตั้งห่างตัวเมือง 500 คันธนู เพื่อให้พระที่บิณฑบาตรตอนเช้าเดินกลับมาฉันเพลที่วัดพอดี
- คนโบราณจะนอนโดยเอาศีรษะหันทางทิศใต้ ปลายเท้าหันทางทิศเหนือ ทิศใต้=ชีวิต ทิศเหนือ=ความตาย
ดังนั้นตำแหน่งที่ตั้งของที่พักสงฆ์จึงต้องอยู่ทางทิศใต้ของวัด
- พระพุทธรูปปูนปั้นจะต้องมีการระบายสีทั้งหมด ไม่มีการปล่อยให้เห็นเนื้อวัสดุ (ไอเดียเดียวกับเมโสโปเตเมีย อียิปต์และอินเดีย ) หลงเหลือร่องรอยการระบายจีวรด้วยสีแดงชาด ดังนั้นจีวรพระสงฆ์ยุคโบราณจึงน่าจะเป็นสีแดง
- หากเป็นพระพุทธรูปที่แสดงตัวแทนพระพุทธเจ้าจะประทับบนอาสนะดอกบัว แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์จะประทับบนอาสนะดอกโบตั๋น หรือหากเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าจะต้องมีสัญลักษณ์เป็นสัตว์สี่ชนิดเข้ามาเกี่ยวข้อง
1. ช้าง - ก่อนประสูติพระมารดาฝันเห็นช้างเผือก
2. สิงห์ - พระองค์เกิดในวงศ์ศากยะสิงห์
3. วัว - พระองค์เกิดในราศีพฤษภก
4. ม้า - เกี่ยวข้องกับการออกผนวช
แต่เจดีย์ช้างรอบ หรือ วัดช้างล้อม เป็นคติใช้ช้างแทนพระไวยโรจนะซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนเมฆฝน ช่วยให้เกิดความอุดม ฝนตกต้องตามฤดูกาล
ให้กำลังใจ 1
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 50

Ahura

16/04/2015 11:37:35
1,663
มีเรื่องเล่าที่อยากอวด(ผี)หนึ่งเรื่อง
ในราวปี 2537 ผมไปเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของ ม.ศิลปากร โดยนอนที่บ้านพักภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
หัวค่ำก็มีการดื่มกินกันเต็มที่ จนราวเที่ยงคืนเพื่อนชาวออสเตรเลีย และชาวฟิจิ รวมผมเป็น 3 คนก็ชวนกันออกไปเดินเล่นในอุทยาน
คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงสว่างทั่วโบราณสถานโดยไม่ต้องใช้ไฟฉายแต่อย่างใดและอากาศเย็นสบาย จุดแรกที่เดินชมก็คือวัดเจดีย์เจ็ดแถว
ต่อมาผมมีไอเดียพาเพื่อนต่างชาติไปชมปูนปั้นลายเครือเถาว์ที่วัดนางพญา เพราะได้ยินมาว่าในตอนกลางคืนผนังจะทอประกายแวววาวสวยงามมาก เพราะมีแร่ธาตุพวกซิลิก้าและเปลือกหอยผสมอยู่ในปูน
ระหว่างเดินไปวัดนางพญาจะต้องผ่านวัดสวนแก้ว ซึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจจึงตั้งใจผ่านด้านนอกกำแพงวัดด้านปีกขวา เมื่อมาถึงช่วงกลางวัดพวกผมได้ยินเสียงดังฟู่ๆที่กำแพงด้านหน้า ผมและเพื่อนต่างหยุดชะงักตอนแรกคิดว่าจะเป็นงูเห่าส่งเสียงขู่แต่เมื่อเพ่งมองไปยังกำแพง
ปรากฏว่าเป็นทรายจำนวนมากถูกพ่นออกมาจากกำแพง เป็นจังหวะเหมือนลมหายใจออกมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
เท่านั้นผมก็เข้าใจถึงคำว่า "วิ่งป่าราบ" ขนหัวลุกซู่ วิ่งทีเดียวถึงที่พักและเข้านอนทันทีโดยไม่พูดคุยอะไรกัน แต่พื่อนออสเตรเลียนั่งจดไดอารี่ว่าถูกผีหลอก!
เรื่องที่เล่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ผมพิสูจน์ได้อย่างเดียวว่า คนไทยวิ่งเร็วกว่าคนออสเตรเลียและฟิจิ 5555
( โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน และเรื่องนี้ริวจะไม่ขอยุ่งเพราะไม่มีใครเคยทำแท้ง 555 )
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 51

เหน่งบา

16/04/2015 12:44:55
1,866





ศรีสัชฯเคยไปมาครั้งเดียวครับ หลายปีก่อน ด้วยความประทับใจ โดยเฉพาะลายปูนปั้นวัดนางพญานี่ชอบเป็นพิเศษ เป็นไฮไลท์ในความรู้สึกเลยครับ เสียดายไปทัวร์คราวนั้นไปไม่ถึงวัดตะพานหิน ไม่ได้ไปดูพระอัฎฐารสที่เชิงเขา

พ่นทราย... @_@ ที่จริงน่าจะมีตอนพิสูจน์ตอนเช้านิดนึงนะครับ ว่าแล้วเมื่อกลางคืนผ่านไป ตอนเช้า มันมีทรายอยู่จริงหรือเปล่า

ผมเชื่อว่าอาจารย์เห็นครับ

แต่มันมีอยู่สองแง่มุม คือ ๑.มีการพ่นทรายจริงๆ(จะโดยอะไรก็แล้วแต่ และพ่นแล้ว มีทรายเหลืออยู่ตอนเช้า หรือทรายกลับไปที่เดิมโดยอะไรก็ตาม)

๒.มีการทำให้คนไทย ออสเตรเลีย และฟิจิ "เห็น" และ "ได้ยิน"ว่า มีการพ่นทราย แต่ที่จริงไม่มี...ที่เห็นนั้นจริง แต่สิ่งที่เห็น มันจริงหรือไม่...

ขอบคุณที่มาเล่าให้ฟังครับ ^ ^

>
>
>

ส่วนเรื่องเกี่ยวกับทิศหัวนอน ผมเคยมีกระทู้ตัดแปะไว้เมื่อเมษา สองปีที่แล้วพอดี ขอตัดแปะกระทู้ตัวเองมาเสริมที่อาจารย์AHURAว่าไว้อีกแง่มุมนึงครับ http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=107708


คนจำนวนมาก เลือกทิศเวลาจะนอน หรือวางเตียงนอนในทิศอันเชื่อว่าเป็นมงคล มีวิธีคิดต่างๆกันไป

บางคน หันไปทางตะวันออก บางคนเลือกทิศเหนือ คงมีทิศตะวันตกทางเดียวที่ไม่มีคนเลือก

ถ้าจะคิดตามคติการสร้างพระพุทธรูปแล้ว ทิศหัวนอนจะเป็นทิศใต้ครับ

เหตุผลคือ เวลาสร้างพระพุทธรูปปางสีหไสยาสน์ จะสร้างนอนตะแคงขวา พระกรขวาพับ ยกพระหัตถ์ขวารองรับพระเศียรและการจัดวาง จะจัดให้หันพระพักตร์ไปทางตะวันออก....

นอนตะแคงขวา หันหน้าไปทางตะวันออก เพราะฉะนั้้น เศียรก็จะหันไปทางทิศใต้

ทิศหัวนอน หากนับตามคตินี้ จึงเป็นทิศใต้ด้วยประการฉะนี้


มีข้อมูลอีกนิดครับ พระอัครสาวกเบื้องขวา พระสารีบุตรเถระ เวลานอน จะกำหนดทิศทางต่างกันไปในแต่ละวัน มีพระภิกษุจำนวนมากไม่ทราบเหตุผลก็ไปฟ้องพระพุทธองค์ว่า ทำไมพระอัครสาวกสารีบุตร ยังทำพิธีไหว้ทิศเหมือนพวกพราหมณ์

พระพุทธเจ้าทรงบอกให้ทราบว่า "ท่านสารีบุตรมิได้ไหว้ทิศ แต่เธอไหว้อาจารย์ของเธอ"

คำเฉลยของเรื่องนี้คือ เวลาท่านสารีบุตรจะนอน ท่านกำหนดว่าอาจารย์ของท่าน คือพระอัสสชิอยู่ทางทิศใดแล้วท่านก็นอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ทิศหัวนอนของท่านจึงไม่ตายตัว จนทำให้พระเล็กพระน้อยเข้าใจผิด นึกว่าท่านยังไหว้ทิศอยู่
ท่านสารีบุตรถือว่าที่ท่านได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา และได้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เพราะท่านพระอัสสชิ ท่านจึงเคารพพระอัสสชิเป็นปฐมอาจารย์ของท่าน

(ข้อมูลส่วนนี้ มาจากหนังสือ สิบล่อหั่น(สิบอรหันต์) โดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 52

Ahura

16/04/2015 13:50:23
1,663
การหันหน้าพระพุทธรูปเป็นไปตามที่คุณเหน่งบาบอกเลยครับ คือทิศตะวันออกซึ่งถือกันว่าเป็นทิศที่พระองค์หันตอนตรัสรู้
ส่วนการนอนตะแคงซ้าย (เท้าขวาทับเท้าซ้าย) เรียกว่า ท่ากามไสยาสน์ เหตุเพราะคติสามีต้องนอนฝั่งขวาของภรรยา ( การนอนหันหลังให้เมียคือบรรลุธรรมแล้วครับ 555 )
@เหน่งบา เช้าของอีกวันพวกเรากลับไปที่เกิดเหตุครับ ตลอดทางไม่มีร่องรอยของกองทราย (ในคืนนั้นผมพยายามนอนคิดว่าอาจมีสัตว์ใหญ่ที่พยายามขุดผนังกำแพง ) แต่ก็อีก ทรายมันพ่นออกมาปริมาณมากเหมือนสายน้ำและเป็นจังหวะเหมือนการหายใจ ฝรั่งออสเตรเลียพยายามโกยเอาทรายตามทางเดินมาโรยตรงกำแพงเพื่อเทียบเสียงกับเมื่อคืนว่าใช่หรือไม่ ก็คงเป็นประสบการณ์ประทับใจใน unseen Thailand ไปอีกนาน 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 53

เหน่งบา

16/04/2015 17:54:06
1,866
กามไสยาสน์!!!! โอแม่เจ้า.... นับเป็นการเพิ่มพูนสติปัญญาให้ผู้ไม่รู้โดยแท้ (มีชื่อนี้ด้วยหรือเนี้ยะ!!! @_@)

อ่านความเห็น 49 แล้วเป็นข้อมูลที่ไม่เคยรู้ครับ เดี๋ยวเอาเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธรูปมาลงต่อ..เป็นเรื่องค่อนข้างพื้นๆ พอดีมีภาพที่ชอบอยู่ภาพนึง

แต่ตอนนี้เอารูปวัดตะพานหินทีว่า ไปชมก่อนครับ ถ้าได้ไปเยี่ยมชมสถานที่จริงแค่ทำเลก็คงประทับใจมากแล้วครับ





ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 54

เหน่งบา

16/04/2015 18:49:54
1,866
เอ่อ...พลาดซะแล้วครับ ผิดจังหวัดเลย

ที่ถูก คือ วัดสะพานหินครับ T_T (วัดตะพานหินนั่นอยู่จังหวัดพิจิตร..ผมสับสนมากเลย)

วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินลูกเตี้ยสูงประมาณ 200 เมตร มีทางเดินปูด้วยหินชนวนแผ่นบางๆ จนถึงบริเวณลานวัด มีวิหารก่อด้วยอิฐ มีเสาก่อด้วยศิลาแลง 4 แถว 5 ห้อง ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระปางประทานอภัยสูง 12.50 เมตร เรียกว่า "พระอัฏฐารส"





เส้นทางเดินขึ้นไปที่วิหาร




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 55

Ahura

16/04/2015 18:58:30
1,663
เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไมพระสุโขทัยถึงมีลักษณะใหญ่คับวิหาร?
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 56

เหน่งบา

16/04/2015 19:01:12
1,866
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับความคิดด้านลบครับ = ="

ถ้าเจอวิหารหลวงของวัด ถ้ามีพระประธาน หรือต่อให้ปรักหักพังไปแล้ว จะมีคนที่คำนวณความสูงของพระประธานครับ แล้วก็จินตนาการตำแหน่งที่สายพระเนตรจะจัับลงที่พื้น

นอกจากจุดอื่นๆของวิหาร จุดนั้น อาจจะมีกรุอยู่ครับ ซึ่งพวกขุดกรุส่วนมากจะรู้ข้อมูลตรงนี้อยู่แล้ว และปัจจุบัน ไม่มีกรุเหลือให้ขุดกันอีกต่อไปแล้วครับ T^T พวกขุดกันเตียนหมดแล้ว

และปัจจุบัน ได้ยินมีวิวัฒนาการขนาดว่า ขุดกันแบบถูกกฏหมายครับ คือคนของพวกขุดของเก่า ไปแฝงตัวอยู่กับหน่วยงานรัฐ โดยเส้นสายของนักการเมือง เวลามีข้อมูลเจอจุดที่ขุดค้นสำรวจ การขุดนี่ก็โดนกั้นพื้นที่โดยหน่วยงานรัฐ โดยที่การขุด ก็ไม่รู้ว่า ขุดเจออะไรเท่าไหร่...ของเข้าหลวงแค่ไหน...

หวังว่าไอ้ที่ได้ยินมา มันจะไม่จริง มันจะเป็นเรื่องโกหกนะครับ....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 57

Ahura

16/04/2015 20:40:31
1,663
ผมเคยมีประสบการณ์เลวร้ายจากการเล่นพระกรุครับ ซึ่งมาทราบเอาภายหลังว่ามีการสาปแช่งเอาไว้ ชีวิตช่วงนั้นวิปโยคเลยครับและเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ปัจจุบันนี้ผมเลิกห้อยพระเครื่องกับคอแล้วครับ ( ห้อยไว้ที่ใจแทน ^ ^ )
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 58

เหน่งบา

16/04/2015 21:03:36
1,866
ขออภัยครับ ตอนโพสท์56 ไม่ได้รีเฟรชก่อน เลยสวนกับ55ของอาจารย์

ขอความรู้ด้วยครับ โปรดอรรถาธิบาย ให้วิสัชนาต่อปุจฉาใน คห.55ด้วยคร้าบ ^ ^

เรื่องพระเครื่องนี่ ยิ่งรู้น้อยเข้าไปอีกครับ แล้วไม่ได้สนใจจะเล่น เพราะประเด็นสำคัญไม่มีตังค์ 555 แต่ก็ชอบดูนะครับ ผมมองในแง่พุทธศิลป์น่ะครับ ไม่สนเรื่องแท้ ไม่แท้ มีให้ดูก็ดู มองแล้วรู้สึกว่า สวย ไม่ได้คิดไปไกลกว่านั้นครับ คิดตื้นๆแค่นั้นเอง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 59

Ahura

16/04/2015 22:22:17



ศิลปะสุโขทัยมีลักษณะยำใหญ่ คือดึงเอารูปแบบที่ดี ที่น่าสนใจของอาณาจักรใกล้เคียงมารวมไว้ที่ตน ไม่ว่าจะเป็นทวาราวดี ล้านนา รวมไปถึงศิลปะที่ห่างไกลอย่างอินเดีย ลังกา จีน แม้กระทั่งเปอร์เซีย รูปแบบทางศิลปะที่ส่งอิทธิพลให้มากที่สุดคือพุกามครับ
ดังนั้นคตินิยมแบบพุกามจึงปรากฏเด่นชัดมากในทุกๆรูปแบบทางศิลปะสุโขทัย
น่าจะในราวพุทธศตวรรษที่ 16 พระเจ้าอนุรุทธแห่งพุกาม ได้ยกทัพไปตีมอญเพื่อเอาพระไตรปิฎก และได้จับตัวพระเจ้ามนูฮา กษัตริย์มอญเป็นเชลยไว้ที่พุกาม มนูฮาจึงสร้างวัดขึ้นในพุกามที่ภายในบรรจุพระพุทธรูปที่ใหญ่คับวิหาร เพื่อสะท้อนความอึดอัดที่อยู่ใต้อำนาจพม่า เสมือนการติดคุกและไม่มีความสุข ซึ่งนับเป็นคติที่ต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับประชาชน
แต่สุโขทัยรับเอามาเพียงรูปแบบไม่ได้เอาไอเดียความคิดมาด้วย ในภาพเป็นวัดศรีชุมที่กล่าวขานกันว่าพระพุทธรูปพูดได้ คือจะมีช่องทางลับในกำแพงให้คนขึ้นไปซ่อนหลังเศียรได้ ปี 37 ผมเคยมุดขึ้นไปแล้ว แต่ปัจจุบันไม่อนุญาติให้ขึ้นไปแล้วครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 60

Ahura

16/04/2015 22:47:58
1,663



ภายในของวิหารวัดมนูหะ หรือ มนฺูฮา ในพุกามครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 61

เหน่งบา

16/04/2015 23:44:36
1,866
โห...อึดอัดยิ่งกว่าอึกครับ คับใจจริงๆด้วย = =*

แล้วถ้าดูไม่ผิด พระนั่งกอดอกเลยนะครับนั่น ไม่ใช่แค่พระหัตถ์วางซ้อนกัน

พุทธศตวรรษที่ ๑๖ เหรอครับ แต่ช่องอาร์คที่ผนังนั่น เหมือนในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเลยนะครับ (ห่างกันหลายร้อยปีอยู่)

อาจารย์โชคดีจังครับ เคยเข้าไปในอุโมงค์วัดศรีชุมด้วย มันปิดมานานแล้วนี่ครับ รู้สึกเมื่อปี ๕๒ จะมีเปิดครั้งนึง ทีมงานของสารคดีเข้าไปถ่ายภาพหินสลักที่เหลืออยู่

ผมเคยแต่ไปเที่ยวของจำลอง ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติรามคำแหง เขาทำอุโมงค์เลียนแบบที่วัดศรีชุมไ้ว้ด้วย แค่นั้นยังรู้สึกเข้าท่ามากเลยครับ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 62

Ahura

17/04/2015 12:57:35
1,663



ตอนที่ 1 : การเสาะหา
ในภาพคือพระยอดขุนพลครับ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมต้องเลิกเล่นพระเครื่อง
เป็นพระที่สร้างขึ้นในปี 2497 ที่พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เป็นพระเครื่องที่มีขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นรูปพระพุทธเจ้านั่งห้อยพระบาท ขนาบข้างด้วยเทวดาถือฉัตรซึ่งก็คือ องค์จตุคาม และองค์รามเทพ ด้านหลังองค์พระประทับด้วยใบโพธิ์จากพุทธคยา 1ใบต่อ 1 องค์ เนื้อมวลสารส่วนใหญ่จะเป็นดินกากยายักษ์สีดำสนิทรูปทรงคล้ายหนังใหญ่
สืบเนื่องจากที่ผมศรัทธาในตัวขุนพันธรักษ์ราชเดช และสังเกตุว่าท่านห้อยพระอะไรองค์ใหญ่ๆแขวนเดี่ยวตลอดเวลา ต่อมาจึงรู้ว่านั่นคือพระยอดขุนพล และพบว่าบุคคลสำคัญของสำนักเขาอ้อ ล้วนแขวนพระยอดขุนพลกันหมดทุกคน ทำให้ผมยิ่งสนใจและเริ่มอยากเสาะหาไว้ครอบครอง ประกอบกับความห้าวเป้งที่อยากลองเล่นพระสายเหนียวหรือสายนักเลงบ้าง
วันหนึ่งผมได้รับคำแนะนำจากคนในวงการพระเครื่องให้ไปหาเซียนพระที่ตลาดพญาไม้ ชื่อว่า เจ็กป่า ด้วยว่าเป็นนักสะสมพระสายเขาอ้อระดับต้นๆ ผมรี่เข้าไปถามหาเช่าพระยอดขุนพลทันที คำตอบแรกที่ได้ยินคือ " คุณทำอาชีพอะไรถึงต้องการพระยอดขุนพล! " ผมก็งงๆว่าทำไมต้องถามด้วย ซึ่งก็ไม่ได้คำตอบแถมแกยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า " อย่าไปยุ่งเลย! พระใช้ยาก! ดูแลยาก! " ผมก็ยิ่งงงเข้าไปกันใหญ่ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่แกพูด สุดท้ายแกก็บอกว่าแกไม่มี และไม่ต้องไปหาที่ไหนอีก สรุปวันนั้นก็ผิดหวังและแถมด้วยความงุนงงมากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นผมก็ควานหาแหล่งที่น่าจะมี จนกระทั่งรู้ว่ามีเซียนสายเขาอ้ออีกคนอยู่แถวพระนครใต้ชื่อว่า หมวดสองดาว ผมก็ดิ่งไปหาทันที เหมือนหนังฉายซ้ำครับ กับคำตอบ " จะเอาไปทำอะไร? " ที่หนักเข้าไปอีก " อย่าไปหาเลย ที่วางๆขายกันอยู่ทุกวันนี้เป็นพระที่เสื่อมพลังแล้วทั้งนั้น!!! " อ่าว! ไปกันใหญ่ มีงี๊ด้วย?! ตอนนี้ประสาทผมเริ่มอลหม่านกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเครื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ด้วยความที่มีเงินก็เช่าได้แต่ตอนนี้มีเงินกลับหาเช่าไม่ได้ ( รู้ว่าราคาในขณะนั้นถ้าองค์สวยๆจะอยู่ในราว 5- 6 หมื่นบาท ) แต่สุดท้ายผมก็ได้ความรู้เพิ่มเติมมาอีกนิดจากหมวดว่า พระจะเสื่อมทันทีที่ถูกผู้หญิงสัมผัส! หรือแม้แต่การใช้ว่ากันตั้งแต่การจับพระ การวางพระ การสวมพระที่ไม่ถูกต้อง! แล้ววิธีที่ถูกต้องคืออะไร? ต้องทำอย่างไร? ความคิดขัดแย้งในตอนนี้คือ อำนาจพุทธคุณมีเสื่อมได้ด้วยหรือ? นี่มันเข้าข่ายเครื่องรางของขลังแล้วนี่? ทำไมสุดยอดของพระสายคงกระพันชาตรีถึงเป็นเช่นนี้?
อืม...แล้วทีนี้อย่าว่าแต่หาพระให้เจอ ยังต้องหาพระที่ยังไม่เสื่อมพลังอีก งานงอกขึ้นไปอีกเท่าตัวแล้วทีนี้.........
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 63

Ahura

18/04/2015 07:52:41
1,663



ตอนที่ 2 : การครอบครอง
ออกจาก หมวดสองดาว แล้วรู้สึกใจชื้นขึ้นนิด( หรือเปล่าไม่แน่ใจ?) แกบอกว่า ถ้ามีบุญบารมีพอที่จะได้มาแล้วล่ะก็ ให้กลับมาหาแก แกจะจับพลังให้ ( โหย! นามธรรมสุดๆ ช่วยได้้เยอะ )
หลังจากนั้น ข่าวจากวงในแจ้งมาว่า ในตลาดพญาไม้ให้คอยดักคนหาของสายเขาอ้อคนหนึ่ง ชื่อบาส คอยเดินหาของ-ส่งของตามออร์เดอร์ของเซียนพระในตลาด ทุกๆวันพฤหัสฯ ผมเลยยืนปักหลักรอ จนในที่สุดก็ได้เจอตัว พูดคุยกันพอสังเขปบาสก็ออกปากชวนให้ผมไปหาเขาที่พันทิพย์งามวงศ์วาน ไปถึงก็ตกตะลึงในของที่เขามี ของสายเขาอ้อที่ว่าหายากๆ ปีลึกๆ บาสมีหมด ตั้งแต่พระมหาว่านดำ-ขาว, พระเสด็จกลับ, พระเทพนิมิตร ฯลฯ ( ผมเคยลองคำนวณแบบหยาบๆว่าหมดเงินไปกับบาสราวๆสี่แสนบาท) จนผมน่าจะเป็นคนที่สะสมพระเเละวัตถุมงคลสายเขาอ้อได้ครบมากที่สุดในประเทศ แต่ถึงอย่างไรพระยอดขุนพลก็ยังไม่มีวี่แววใดๆปรากฏเลยเลย ถามบาสทีไรก็ได้แต่บอก "พี่! ใจเย็นๆๆ" นอกจากนั้นบาสก็เริ่มแนะนำศิษย์เขาอ้อให้ผมรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆทำให้รู้ลึก รู้จริงมากขึ้นเรื่อยๆในระดับขว้างพระผ่านหน้าก็บอกได้ว่าแท้หรือไม่แท้ ! ( เเต่ผมเชื่อว่าเขากำลังทดสอบว่าผมเอาจริงแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่เขาคิดว่าผมมีคุณสมบัติถึงพร้อมคือการท่องคาถาพระธรรมราช 108 จบ ในทุกๆวันด้วยการนับเม็ดประคำพระธรรมราชของเขาอ้อ)
เช้าวันหนึ่งบาสโทรมาหาผม แล้วพูดว่า " ป่ะ พี่ ไปบ้านอาจารย์ชุม ไชยคีรีกัน ไปเอาสิ่งที่พี่อยากได้มากที่สุด" ได้ยินแล้วมือเท้าชา เพราะนี่คือบ้านของผู้สร้างพระยอดขุนพล ( ท่านเสียชีวิตราวปี2523 ) เป็นฆราวาสที่แม้แต่พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลาเวลาปลุกเสกยังต้องนั่งต่อท้าย ส่วนขุนพันธฯ ต้องนั่งท้ายสุดของแถว ( สายเขาอ้อมีวิธีจัดอันดับยอดฝีมือแปลกๆ คือ วัดกันที่ความเร็วในการเสกน้ำมันงาจากของเหลวให้กลายเป็นของแข็ง ว่ากันว่าระดับอาจารย์นำจะใช้เวลาเสกราว 2 ชั่วโมง ส่วนท่านขุนพันธ์ฯอาจต้องใช้เวลาเป็นวัน แต่ถ้าเป็นระดับหัวแถว อย่างอาจารย์เอียด หรือ อาจารย์ปาน จะใช้เวลาแค่ปรายตามอง!!! )
จังหวะไม่ดีที่ในวันนั้นผมติดงานสอน " ไม่ได้พี่! ผมนัดกับคุณแม่ ( ภรรยาอ.ชุม ) ไว้แล้ว! ได้วันนี้วันเดียว ท่านจะเอาของจากในตู้เซฟออกมาให้! " ผมตาโต " ทำไงๆล่ะวะบาส เราทิ้งงานไม่ได้" ผมถามแบบจิตกระเจิง " ไม่เป็นไรพี่ พี่รออยู่ที่ทำงาน รอผมสัก 2- 3 ชั่วโมง เดี๋ยวเอาไปให้ " บาสตอบ
เป็นช่วงเวลายาวนานเหลือเกิน เหมือนเข็มนาฬิกามันไม่ค่อยยอมกระดิกกว่าบาสจะมาถึงเอาบ่ายแก่ๆ เขาหอบเอากล่องพระมาหลายกล่อง ผมมองตามกล่องแบบตาไม่กระพริบ เหมือนเด็กหิวขนม บาสหยิบกล่องใบหนึ่งวางบนโต๊ะค่อยๆบรรจงเปิด ถึงตอนนี้ผมหูอื้อ ตาลาย เมื่อเห็นพระยอดขุนพลวางเรียงอยู่ด้วยกันถึง 3 องค์ " เรามาติวกันก่อนจะทำอะไรนะพี่ กฏการใช้พระยอดขุนพลที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ข้อแรก ต้องว่าคาถาประสะมือ ( ล้างมือ ) ทุกครั้งก่อนมีการจับต้ององค์พระ " ว่าแล้วบาสก็ทำท่าเอามือมาถูกันแบบคว่ำไปคว่ำมาให้ผมดูแล้วว่าคาถาไปพร้อมกัน " สัพพะมะระตะ วิสิสะริง " ประมาณ 3 รอบ
" ข้อสอง ต้องว่าคาถาก่อนการสวมใส่คล้องคอ"
" ข้อสาม ต้องว่าคาถาขณะคล้องคอ "
"ข้อสี่ ต้องว่าคาถาก่อนการถอดออก"
" ข้อห้า ต้องประสะมือก่อนจับองค์พระออกจากคอ"
" ข้อหก ห้ามวางพระยอดขุนพลไว้ต่ำกว่าพระใดๆในโต๊ะหมู่บูชา ทางที่ดีควรตอกตะปูสำหรับแขวนไว้เหนือหิ้งพระหรือโต๊ะหมู่เลยก็ดี เสร็จแล้วหาปากกามาขีดไว้ใต้ขอบพระ พระยอดขุนพลจะสามารถทำนายทายทักเราได้ หากในช่วงที่ดวงดี มีโชค องค์พระจะยกตัวเหนือเส้นที่ขีดไว้ แต่ถ้าดวงไม่ดีมีเคราะห์ องค์พระจะตกลงต่ำกว่าเส้นที่ขีดไว้"
" ข้อเจ็ด ห้ามลอดราวตากผ้า ผ้าถุง ห้ามนำเข้าที่อโคจร และที่สำคัญห้ามใส่ขณะร่วมเพศ หรือ ให้ผู้หญิงสัมผัสจับต้องเด็ดขาด พระจะเสื่อมทันที เพราะใช้วิชาของอาจารย์คง วัดตาล( เป็นอาจารย์ของขุนแผน )ปลุกเสกเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารที่ออกไปรบมัวแต่ข้องแวะกับสตรี "
" เอ้า! ทีนี้พี่ลองประสะมือตามผม แล้วพี่ก็หยิบพระได้ เลือกที่พี่ชอบที่สุดไปหนึ่งองค์ ทั้งหมดนี้เป็นพระเวอร์จิ้นนะครับพี่ ต้องระมัดระวัง" บาสเลื่อนกล่องมาตรงหน้า " เราอยากได้หมดเลยว่ะบาส" ผมละล่ำละลัก " เอาจิงดิพี่ ของผมคิดพี่แบบกันเอง เอาแค่องค์ละสี่หมื่นนะ " บาสตอบ " โิอเค ไม่เป็นไรงั้นเราเอาองค์แชมป์โลกองค์นี้องค์เดียวละกัน ขอบคุณมากนะบาส! "
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 64

เหน่งบา

18/04/2015 10:54:50
1,866
เยี่ยมมากครับอาจารย์

แต่วันละตอนน้อยไปครับ แฟนๆอ่านแล้วจะลงแดงหมด...^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 65

Ahura

18/04/2015 12:38:50
1,663



ตอนที่ 3 : การแจ้งเตือน
ได้พระที่มั่นใจได้ว่าแท้ และมีพลังเต็มเปี่ยมมาแล้ว ปัญหาต่อมาคือการหาจีวรสวยๆให้องค์พระ กับแค่การใส่กรอบเลี่ยมทองคงไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่มันคงธรรมดาเกินไปกับพระพิเศษระดับนี้ แต่สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือ กระบวนการใส่กรอบที่ควรต้องอยู่ในสายตาและการควบคุมดูแลของผมตลอดเวลา และช่างก็ต้องว่าคาถาตามที่ผมบอกด้วย ตั้งแต่การจับ การวาง ต้องถูกต้องตลอดดังนั้นการส่งพระให้ร้านจึงเป็นไปไม่ได้
โชคดีที่ทำงานผมมีภาควิชาหัตถศิลป์ สาขาเครื่องโลหะและอัญมณี ผมเลยเข้าไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญว่าผมต้องการทำกรอบเอง เขาก็ยินดีอนุเคราะ์ทุกอย่าง ตั้งแต่การจัดหาเม็ดเงินบริสุทธ์มาหลอมแล้วรีดออกมาเป็นแผ่นบางๆ ตัดฉลุตามแบบร่างที่ผมออกแบบไว้ ตอนแรกตั้งใจจะเปิดหน้าและหลังองค์พระเลยตามรูปแบบสมัยโบราณ เพื่อให้ผิวองค์พระสัมผัสกับร่างกายโดยครง ( เชื่อว่านักรบโบราณใช้วิธีนี้ เพื่อให้มวลสารที่เป็นว่านคงกระพันซึมซาบเข้าสู่ร่างกายโดยตรง บ้างขณะต่อสู้รบก็นำพระอมไว้ในปากเลย เรียกว่ากินว่านกันตรงๆเลย คนโบราณบางคนเข้าป่าและเกิดไข้ป่าขึ้น เขาจับองค์พระฝนกับน้ำดื่มกินแก้ไข้กันเลยก็มี ผมเคยพบพระมหาว่านดำที่ด้านข้างแหว่งเพราะเคยถูกฝนกินมาแล้ว )
แต่อย่างว่าผมไม่ได้ไปออกรบกับใคร ( แต่จุดนี้กลับเป็นประเด็นสำคัญมาก ) ก็เลยใส่กรอบพลาสติกกันน้ำ กันเสียดสีไว้ก่อนดีกว่า
หลังจากหุ้มแผ่นเงินจับขอบพระแล้ว ผมก็ลงมือแกะลวดลายและอักขระพระคาถาต่างๆที่ต้องใช้กับพระองค์นี้ ไว้ที่ด้านหน้าและขอบข้างไว้ทั้งหมดด้วยสิ่ว และตกแต่งด้วยหัวเจียรไฮสปีด
เท่านี้พระยอดขุนพลก็แลดูเข้มขลังสมคุณค่าขององค์พระแล้ว
สิ่งที่ต้องทำต่อมาก็คือการหาสายสร้อยที่คู่ควร ส่วนใหญ่เกจิสายเขาอ้อจะใช้ประคำพระธรรมราชแขวนกัน ( เวลานั้นประคำพระธรรมราชปีลึกๆ อย่างปี 2511 พิธีเสด็จกลับตกเส้นละสามหมื่นเข้าไปแล้วและผมมีแค่เส้นเดียวและไม่ได้พลีลงทะเล แต่เส้นที่เสด็จกลับจากน้ำทะเลจริงๆราคาคงเกินแสนไปแล้ว ปัจจุบันไม่ต้องหา ไม่มีอีกแล้ว ) แต่ผมมองว่าลุคมันดูเป็นเจ้าพิธีมากเกินไปไม่เหมาะกับการใ้ช้ในชีวิตประจำวัน
สุดท้ายเลยหาลูกปัดทวาราวดีสั่งให้ช่างร้อยเข้าสลิงโลหะควั่นเกลียวอย่างดี เจ้าของบอกใช้ลากรถได้เลยเพราะพระค่อนข้างมีน้ำหนัก ลูกปัดตกเม็ดละเกือบร้อยบาท ทั้งเส้นก็หลายพันอยู่ สมค่าสมศักดิ์ศรีของพระจริงๆ ซึ่งผมก็ใช้ขึ้นคอทุกวันและปฏิบัติตามวิธีอย่างเคร่งครัด
แม้จะมีการใช้ชีวิตแบบควบคุมและระมัดระวังอย่างดีเพียงใด แต่เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นจนได้
วันหนึ่งผมมีธุระต้องหาซื้อของในสำเพ็ง ซึ่งเป็นวันใกล้ปีใหม่ผู้คนแออัดยัดเยียดเต็มไปหมด ผมหาซื้อของด้วยความลำบากยากเย็นเพราะคนเยอะมากๆ
ขากลับผมต้องไปขึ้นรถตู้กลับลาดกระบัง ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ซึ่งคนก็เยอะและต้องเข้าคิวรอยาวเหยียด
ระหว่างยืนรอรถตู้อยู่เพลินๆ จู่ๆผมได้ยินเสียง " เปรี๊ยะะ !! " ดังลั่นที่ต้นคอผม องค์พระหล่นลงในเสื้อ ผมรีบคว้าไว่ด้วยสัญชาตญาณ ส่วนลูกปัดทวาราวดีหล่นกระจายเต็มพืื้นถนนคอนกรีต คนที่เข้าคิวช่วยกันเก็บอลหม่าน ผมยืนงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝันนี้
บนรถตู้ผมนั่งพิจารณาที่รอยขาดของสลิง ผมขอใช้คำว่า มัน " ระเบิด! " ครับ และเริ่มพิจารณาทบทวนวัตรปฏิบัติของผมตลอดวันนี้ จนถึงบางอ้อในที่สุด เหตุคงพราะการเบียดเสียดกับผู้หญิงที่สำเพ็งในวันนี้นั่นเอง!
เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนอุทาหรณ์ในการควบคุมดูแลการใช้ชีวิตเพื่อคงความศักดิ์สิทธิ์ให้คงไว้
แต่เรื่องมันเพิ่งเริ่มเท่านั้นนะครับ !!!
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 66

Ahura

18/04/2015 16:28:28
1,663



ตอนที่ 4 : การสาปแช่ง
หลังเหตุการณ์ประหลาดในวันนั้น ไม่นานบาสก็เข้ามาหาผมที่ทำงาน บอกว่าอยากแวะมาทักทาย ( ไม่รู้ห่วงอะไร? ) ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้บาสฟัง บาสนิ่งเงียบไป สีหน้าวิตกกังวลและครุ่นคิด สักพักจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นคุยพักใหญ่ " พี่รอผมถึงช่วงบ่ายได้ไหม ผมอยากให้เจอใครบางคน " บาสถาม ซึ่งผมก็บอกว่ารอได้
ตกบ่ายบาสแนะนำชายคนหนึ่งชื่อว่า พี่เล็ก บาสบอกว่าเขาคือศิษย์เอกของอาจารย์ชุม คอยปรนนิบัติพัดวีิอาจารย์ชุมจนลมหายใจสุดท้าย เริ่มต้นการสนทนาบาสจึงถามเขาว่า " พี่เล็กจะทำพิธีให้พี่เขาได้ไหม " " อืมม...กูไม่ค่อยพร้อมว่ะ คงต้องให้ทางสายคุณแม่ทำให้มั๊ง " เขาตอบบาส
ด้วยความสงสัยว่าเขาคุยอะไรกัน ก็เลยถามแทรก เลยได้คำตอบว่า เป็นพิธีรับเป็นศิษย์สำนักกุญแจไสยศาสตร์ ที่อาจารย์ชุมเป็นผู้ก่อตั้งในราวปี 20 และหลังการเสียชีวิตสำนักก็เลยแตกกระสานซ่านเซ็น ทำให้ไม่เคยมีการรับศิษย์เพิ่ม ( พอทราบพิธีรับศิษย์ของสายเขาอ้อว่ายุ่งยากมาก ต้องนอนแช่ในน้ำว่าน การเตรียมว่านพี่เล็กเล่าอย่างสยดสยองว่า ว่านส่วนใหญ่เป็นพืชมีหนาม หลังใส่น้ำแล้วเจ้าพิธีจะลงไปเดินเหยียบให้หนามแหลก ! ศิษย์จึงค่อยลงไปนอนแช่ในบ่อว่าน จากนั้นอาจารย์จะป้อนข้าวเหนียวดำและน้ำมันงาปลุกเสกจนแข็งตัว ซึ่งพี่เล็กบอกว่ารสชาติสุดเกินบรรยาย แต่จุดไคลแมกซ์อยู่ที่เมื่อเสร็จพิธีแล้วศิษย์ต้องถอดเสื้อให้อาจารย์ใช้ดาบฟันหลัง! แต่ที่หนักสุดคิอ ท้ายสุดอาจารย์จะต้องดึงหนังตาของศิษย์แล้วใช้มีดโกนกรีด !!! )
ฟังเขาพูดกันแล้วผมเลยพูดขึ้นว่า " เอ่อ...พี่เล็กยังไม่พร้อม ผมก็ยังไม่พร้อมเหมือนกันครับ ! " พี่เล็กหัวเราะในลำคอ แล้วขอดูพระยอดขุนพลในคอผม แน่นอนว่าเขาท่องคาถาประสะมือสามรอบก่อนจับพระในคอ แล้วพูดว่า " อาจารย์ทราบแล้วใช่ไหมว่าพระยอดขุนพลเป็นพระที่ถูกสาป! " ผมตาเหลือก " ม ม ไม่รู้อะไรเลยครับ! " " บาสบอกให้ผมเอาซีดีพิธีปลุกเสก 2497 มาให้อาจารย์ดูในนั้นจะเห็นขุนพันธ์ยังหนุ่มฟ้อและรำดาบหน้าพิธีด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ตรงทีี่ระหว่างทำพิธีปลุกเสก กลุ่มพระยอดขุนพลสั่นกระเพื่อมเหมือนละรอกน้ำ หลังจากปลุกเสกจะบรรจุลงกล่องกระดาษ แล้วพันด้วยแผงประทัด ซึ่งทุกกล่องจะจุดประทัดไม่ติด หากกล่องไหนประทัดระเบิด จะต้องยกพระชุดนั้นไปปลุกเสกใหม่ทั้งหมด! "
" ท้ายซีดีจะเห็นการปีนเอาพระยอดขุนพลขึ้นไปฝากกรุบนปลียอดพระธาตุ แล้วทำการสาปแช่งไม่ให้ผู้ใดนำลงมาใช้ นอกจากจะเกิดศึกสงครามเท่านั้น " มาถึงตรงนี่พี่เล็กจึงอธิบายถึงเงื่อนไขของผู้ที่สามารถถือครองพระยอดขุนพลได้ คือ
1. ต้องเป็นนายทหารผู้ควบคุมกำลังพล ในยามเกิดศึกสงคราม และเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดิน...เท่านั้น!
2. ต้องเป็นศิษย์สำนักเขาอ้อที่เคร่งครัดและได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดีแล้ว...เท่านั้น!
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกเหนือไปจากที่กล่าวนี้นำไปใช้โดยเด็ดขาด!
ตอนนี้ผมกลืนน้ำลายเหนียวก้อนใหญ่ลงคอ "พวกเราเชื่อกันว่าการที่ขุนพันธ์นอนเป็นผักอยู่ทุกวันนี้เพราะขึ้นไปเอาพระในกรุมาใช้ แล้วทำอะไรผิดบางอย่างจนถูกอาถรรพ์ของพระยอดขุนพลเข้าให้! " อ่าว! ขนาดระดับจอมขมังเวทย์ยังกลายเป็นผัก แล้วผมล่ะ? ขนาดแค่ชินบัญชรยังท่องตะกุกตะกัก มิเละเป็นโจ๊กรึ?!
สุดท้ายทั้งบาสและพี่เล็กก็หารือกันว่าผมจะเอาพระไว้อยู่ไหม? โดยบาสให้เหตุผลว่าดูผมมานานแล้ว โดยผมปฏิบัติตัวเคร่งครัดและฝึกฝนมากกว่าศิษย์เขาอ้อหลายๆคน
พี่เล็กจึงเริ่มสอบผมในหลายๆเรื่องทั้งการใช้คาถาต่างๆและวิธีการใช้วัตถุมงคลต่างๆไม่ว่าจะเป็นประคำ ไม้ครู ตระกรุด มีด ฯลฯ และผมก็สอบผ่านซึ่งพี่เล็กก็พึงพอใจ ก็เลยคิด (เอาเอง)ว่าน่าจะอนุโลมได้ในข้อ 2 ส่วนในกฏข้อ1 ผมทำงานเป็นอาจารย์ซึ่งก็น่าจะเป็นผู้ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง และต้องควบคุมนักศึกษามากมาย ซึ่งก็น่าจะอนุโลมได้(มั๊ง)
สุดท้ายแม้จะเป็นลักษณะของการเลี่ยงบาลี แต่ทุกคนก็ดูจะสบายใจ โดยเฉพาะผมที่รู้สึกว่าตัวเองน่าจะคู่ควรกับพระ โดยยังไม่รู้ตัวว่ากำลังจะมีหายนะคืบคลานเข้ามาในชีวิต !!! ...........
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 67

Ahura

19/04/2015 11:14:14
1,663



ตอนที่ 5 : การสิ้นสุด
ก่อนหน้าการเล่นพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง ผมทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน สามวันทำงานในมหาวิทยาลัย ที่เหลือคือการตระเวณสอนตามบ้านไฮโซ และทำธุรกิจโรงเรียน ทำให้มีรายได้อย่างต่ำแสนบาทต่อเดือน
แต่มาในระยะหลังเริ่มมีปัญหากับหุ้นส่วน งานตามบ้านลดน้อยลง รายได้ต่างๆก็หดหายไปเรื่อยๆ แต่ผมก็ไม่สนใจเพราะคิดว่าชีวิตก็มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดามันเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ
วันหนึ่งเพื่อนที่เล่นพระด้วยกันเข้ามาหาผม " เฮ้ย! กูว่ากริ่งเขาปัทวีอาจารย์ชุมที่มึงให้กูมาไม่เวิร์คกับกูว่ะ " "อ่าว มีอะไรเหรอ? " ผมถามอย่างสงสัย " แม่ง! งานหายหมด เงินกูไม่มีเข้าเลยว่ะ แบบว่าวไม่มีลมมึงนึกภาพออกไหม? " ผมเข้าใจสภาวะของเพื่อนได้ในทันที เพื่อนคนนี้เป็นมือหนึ่งด้านการทำพร็อบ ทำฉากให้งานโฆษณา และภาพยนต์ ไม่ว่าที่ไหนต่างก็มุ่งมาให้เขาทำงาน การที่เขาไม่มีงาน ไม่มีเงินนี่เป็นเรื่องผิดปกติแบบสุดๆ
" กูว่าไอ้มหาอุตม์เนี่ยมันอุดเงินอุดทองกูไปด้วยนะ เหนียวแต่ไม่มีแดกนี่กูไม่ไหวว่ะ" เพื่อนผมบริภาษแบบไม่เกรงใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในวินาทีนั้นผมเริ่มหันกลับมามองตัวเอง นี่มันอาการเดียวกันเลยนี่! แต่ผมก็ไม่ปริปากอะไรกับเพื่อน เสือย่อมไม่ร้องเอ๋ง
เช้าวันหนึ่งผมตื่นมาปลูกต้นไม้ เสร็จสรรพแล้วตามตัวก็เลอะดินเต็มไปหมด ผมเดินมาที่โรงรถหน้าบ้าน เปิดก๊อกน้ำและใช้สายยางล้างเนื้อตัว
ผมก้มลงล้างดินที่ติดตามขา สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น !!!
จู่ๆผมก็หงายหลัง ( ก้มไปข้างหน้าแต่หงายหลัง?! ) เหมือนมีใครมาผลักแรงๆ เสียงตัวกระแทกพื้นดังพลั่กก! แต่มีอีกเสียงที่เกิดพร้อมๆกันดัง โพล๊ะะ !! เสียงคล้ายทุบลูกมะพร้าวแรงๆ ผมรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหน้าแข้งด้านข้างซ้าย ผมมองลงไปที่ขาซ้ายแบบไม่อยากเชื่อสายตา !
ปลายเท้าผมตอนนี้มันหันกลับไปอยู่ด้านหลัง ! กระดูกหน้าแข้งหัก และพยายามแทงทะลุเนื้อออกมา! ผมทิ้งหัวลงนอนหลับตานิ่ง ที่มากกว่าความเจ็บปวดในตอนนี้ คือการรับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ มันเวอร์มาก ! ผมแค่ก้มลงล้างเท้า ! แล้วนี่มันอะไร??
ผมทราบว่าทั้งคนในบ้านและนอกบ้านต่างได้ยินสียงและวิ่งกันอลหม่าน ส่วนผมนอนน้ำตาไหลอยู่นิ่งๆ ขาชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่ความรู้สึกภายในเจ็บปวดกับสิ่งโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับชีวิต
สักพักมีคนเรียกแท๊กซี่เข้ามา มีคนหามผมขึึ้นเบาะหลังและนำส่งโรงพยาบาล หมอเอ๊กซ์เรย์แล้วบอกว่า กระดูกขาผมหักสามท่อน ! ความรุนแรงขนาดปุ่มกระดูกตาตุ่มแตกหลุดออกมาเป็นก้อน ! มันเลยทำให้เท้าผมสามารถหมุนได้รอบทิศ !
หมอบอกจะทำการผ่าตัดใส่เหล็ก โอ้พระเจ้า! ในชีวิตผมเคยเข้าโรงพยาบาลครั้งเดียวเพราะเป็นไข้หวัดใหญ่ โดนแทงเข็มน้ำเกลือครั้งเดียวอีกสองวันวิ่งปร๋อ แล้วนี่มันอะไร?! การผ่าตัด! หมอบอกจะใช้วิธีให้ยาชาทางไขสันหลัง ผมต่อรองว่าทำให้ผมสลบไปเลยได้ไหม? ผมไม่อยากรับรู้ แต่ไม่ทันเสียแล้ว! หมอให้ผมนอนงอตัวและแทงเข็มขนาดยาวเป็นฟุดเข้ากลางกระดูกสันหลังของผม! ตอนเข็มมันชำแรกเข้าไปมันสุดแสนทรมาน แต่หลังจากนั้นร่างกายท่อนล่างมันก็ไร้ความรู้สึก ผมเห็นหมอกรีดๆ เฉือนๆ เถือๆ ขาผมแบบไม่ปรานีปราศัย ในยาชาคงมียานอนหลับผมตื่นมาอีกทีทุกอย่างก็เสร็จสิ้น
สรุปตอนนี้ในขาผมก็มีสิ่งแปลกปลอมเป็นแผ่นโลหะฝังน๊อตสิบตัวที่กระดูกขาซ้าย และอีกสามตัวที่กระดูกตาตุ่ม ผมต้องนอนพักฟื้นอยู่เฉยๆบนเตียง 3 เดือน ต้องทำกายภาพบำบัดแสนทรมานที่เท้าตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เอ็นยึด
คนมาเยี่ยมผมเยอะเเยะ แต่ทุกคนล้วนไม่เข้าใจว่ามันเป็นขนาดนี้ได้อย่างไร? บางคนคิดว่าผมประสบอุบัติเหตุทางรถเสียด้วยซ้ำ ผมอยากจะบอกทุกคนว่าผมถูกอำนาจเหนือธรรมชาติจับหักขาก็คงหาว่าผมบ้า ! แต่คนที่เข้าใจผมที่สุดคงเป็นบาสกับพี่เล็ก
หลังการพักฟื้นผมใช้ไม้เท้าไปทำงาน บาสมาหาผมและขอเช่าพระยอดขุนพลคืน (ในเวลานั้นราคาถูกปั่นไปถึงแสนสองแล้ว ) ผมยอมปล่อยไปแต่โดยดีซึ่งบาสให้ผมมาเจ็ดหมื่น ผมเลยทิ้งท้ายกับบาสว่า " อยากได้อะไรก็มาเอาไปนะ เราเลิกแล้ว! "
ช่วงนั้นผมเลยกลายเป็นคนเนื้อหอม หลายคนเดินทางมาจากภาคใต้ เพื่อมาขอเช่าพระจากผม ( ประมาณได้ยินว่ามีกรุแตก ) ไม่นานพระเขาอ้อก็หมดไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีเหลืออะไรไว้อีก
ภาพพระยอดขุนพลองค์นี้เป็นของผมที่เปิดเจอในเวป ซึ่งก็คงหาไม่ยาก พระมีแค่ 2,500 องค์ สุดท้ายผมได้แต่หวังว่าเจ้าของคนใหม่จะมีบุญบารมีมากพอที่จะใช้และควบคุมพระยอดขุนพลนะครับ !
สำหรับผมการเข้าถึงพระธรรมคงไม่ต้องใช้วัตถุอีกต่อไปแล้ว......
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 68

เหน่งบา

19/04/2015 11:27:13
1,866
คห.67 นี่บังเอิญโพสท์ปุ๊บได้อ่านปั๊บ

สุดยอดประสพการณ์จริงครับ ขอบคุณมากๆที่กรุณาถ่ายทอดให้ได้รับรู้กัน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 69

Ahura

20/04/2015 13:53:08



เทพ Ahura Mazda
เป็นเทพที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ 555 การเชิญพระองค์มาสถิตย์ประทับบนหลังของผมนั้นมีนัยยะสำคัญ
พระองค์เป็นเทพโบราณที่มีพัฒนาการยาวนานนับแต่ต้นเมโสโปเตเมียส่งต่อกันมาจนเป็นเทพของเปอร์เซีย
และกลายเป็นเทพสูงสุดของศาสนาโซโลอัสเตอร์ ( ปัจจุบันจัดเป็นศาสนาที่ตายแล้ว หลงเหลือแต่พวกลัทธิบูชาไฟในอินเดีย มีคัมภีร์สำคัญคือ เซนดะห์เวสตะ ซึ่งเป็นต้นทางของคัมภีร์พระเวท ของพราหมณ์ )
หลังจากพวกอารยัน (เปอร์เซียนั่นแหละ) บุกเข้ายึดครองดินแดนแถบลุ่มน้ำสินธุของพวกดราวิเดียน ซึ่งแต่เดิมนับถือคติแม่เป็นใหญ่ ( maternalism) เช่น แม่อุมา แม่ทุรคา ฯลฯ ( คตินี้มีอยู่ในไทย คือ การเรียกพลังอำนาจทางธรรมชาติเป็นหญิง เช่น แม่คงคา แม่ธรณี ฯลฯ เป็นต้น ( อาจรวมถึงแม่ทูนหัวในบ้าน 555 ) ) และนับถืิอมนุษย์กึ่งสัตว์ (แบบเดียวกับอียิปต์) เช่น พระพิฆเณศ พระยาครุฑ ฯลฯ เป็นต้น
ในทางการเมืิองการปกครองสมัยโบราณการที่ผู้มีอำนาจต้องการให้ผู้ใต้อำนาจสยบยอม ก็ต้องใช้วิธีการกดทับความเชื่อ จึงนำเอาเทพที่เป็นเพศชายของคนจับเทพเพศหญิงของชนชาตืดั้งเดิมทำเมีย จนเกิดเป็นคติพ่อเป็นใหญ่(paternalism) ส่วนเทพอื่นๆก็ถูกลดสถานะเป็นลูกบ้าง เป็นพาหนะบ้าง เพื่อให้ชนพื้นเมืองดั้งเดิมยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองใหม่
ซึ่งวิธีการนี้เป็นแนวทางที่อารยธรรมโบราณกระทำกันมานานแล้วครับ ทั้งอียิปต์และกรีก ที่ฟาโรห์หรือกษัตริย์จะสถาปนาเทพองค์ใหม่แทนเทพองค์เดิม เพื่อล้างอำนาจเก่าโดยเฉพาะพวกนักบวชที่รับใช้เทพเก่าจะมีอำนาจมาก
ดังนั้นเทพ Ahura Mazda จึงเป็นต้นทางของพระอิศวรของพราหมณ์และฮินดูครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 70

เหน่งบา

20/04/2015 19:05:15
1,866
ก็เป็นรายการที่คิดไว้อยู่ครับ แต่ไม่ได้โพสท์ รอให้คนใช้user name นี้มาบรรยายเองอยู่ครับ ^ ^

แล้วก็เสริมอาจารย์AHURA อีกรูปครับ







แต่ข้อมูลในเน็ทนี่บางอันก็มั่วขนาดครับ โมเมเอาว่าAHURA MAZDA เป็นอาชูร่าไปโน่น

(อาชูร่า = อาซิวล้อ(ในภาษาจีน) = อสุระ = อสูร....ซึ่ง อสูร มาร และ ยักษ์ นี่คนละพวกกันนะครับ ไม่ใช่อย่างเดียวกันเลย)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 71

เหน่งบา

20/04/2015 19:12:33
1,866



มีแสง ก็ย่อมมีเงา

มีพระเจ้า ก็มีมาร เป็นสิ่งคู่

Ahriman ในความเชื่อของศาสนาโซโรแอสเตอร์ ก็คือ....พญามารนั่นเองครับ จ้าวแห่งพลังงานด้านมืด ความคิดด้านลบ ตัวแทนของความไม่ดี ความเลวทั้งหลายทั้งปวง ความอัปลักษณ์ ความอดอยาก ความทุกข์ และความผิดหวัง ...

ที่จะเน้นคือ ความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะที่มีผลกระทบกับความรู้สึกนึกคิดของคนครับ โครงเส้น รูปลักษณ์ สัดส่วน สีหน้าท่าทีสร้างขึ้นอย่างเหมาะเจาะ สามารถโน้มนำจินตภาพของผู้ทื่ได้เห็น ให้เกิดความรู้สึกไปได้ต่างๆนาๆ สวยงาม อัปลักษณ์ ดีงาม ชั่วร้าย หดหู่...

...คือ ข้อมูลสู้ไม่ได้ ก็เลยเสไปพูดเรื่องอื่นซะเลย 5555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 72

Ahura

20/04/2015 19:43:40
1,663
Ahura กับ Asura มันก็ใกล้เคียงนะครับ 55
แต่ถ้าแปลความหมาย " ผู้ทรงปัญญา " กับ " ผู้ไม่กินสุรา " มันไม่ค่อยใกล้เลย 555++
ข้อมูลเชิง document ตามเวปต่างๆ แม้แต่วิกิพีเดีย ถือเป็นข้อมูลในการอ้างอิงที่ไม่มีมาตรฐานครับ
ยิ่งในการเรียน การวิจัย ในระดับปริญญาเอกนี้ไม่ควรนำมาใช้เลย หากมีการสืบค้นตรวจสอบจริงจังจากกรรมการสอบอาจโดนสอยร่วงเอาง่ายๆ
ถ้าจะอ้างอิงจากเวปต้องพยายามเทียบเคียงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าตรงกันเยอะๆก็คงจะพอไหวอยู่
ทางที่ดีดูจาก หนังสือ ตำรับตำราที่มีมาตรฐานจะแน่นอนกว่า
ส่วนข้อมูลตามอินเตอร์เนตนี่ผมไม่ค่อยกล้าแตะเลยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 73

เหน่งบา

21/04/2015 02:38:50
1,866
พระพุทธรูป ศิลปะสุโขทัย ใจกลางพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา






พระปูนปั้น วิหารทิศ วัดพระราม อยุธยา(ปัจจุบันถูกทำลายแล้ว)






ดูพระพุทธรูปศิลปะต่างยุคสมัยกันแล้ว อารณ์ ความรู้สึก ต่างกันไหมครับ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 74

เหน่งบา

21/04/2015 03:06:16
1,866
ตัดแปะจากงานเขียนของอาจารย์โกวิท เขมานันทะ และจากหนังสือของคุณนิพัทธ์พร เพ็งแก้ว

"ครั้งอดีต นายช่าง, ประติมากรนั้น แท้จริงคือวิปัสสนิก-ผู้เจริญภาวนา ในการสร้างพระพุทธประติมา กรรมวิธีในการสร้างกินช่วงเวลาตั้งแต่นายช่างและช่างผู้น้อยสมาทานอุโบสถศีล(ศีลแปด) เจริญสมาธิภาวนาจนเห็นพระพุทธนิมิตติดตาตรึงใจ อันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเคมีชีวภาพในเรือนกายของนายช่าง จากสถุลรูปสู่รูปสุขุม ลมปราณประณีต เหมาะแก่งาน เป็นไปในกรรมันตภาพแห่งฌาณ ความบริสุทธิ์ของกายและจิต วาสนาบารมีในกรรม ทั้งหมดนั้น คือจิตสำนึกแห่งปัจเจกอันเป็นตัวแทนแห่งยุคสมัยในการสร้างสรรค์เนรมิตศิลปกรรม พระพุทธประติมาที่งามจับจิตตรึงใจ เป็นมิ่งขวัญเมือง จึงปรากฎเป็นมรดกล้ำค่าในประเทศนี้

ประเพณีการสร้างพุทธประติมา เป็นกรรมวิธีแห่งการหลอมรวมน้ำใจของชนทุกชั้น พระพุทธรูปจึงเป็นเครื่องสะท้อนจิตสำนึกทางสังคมแห่งยุคตสมัยได้อย่างเด่นชัด"

อาจารย์โกวิทเคยขยายความให้ฟังว่า วิถีเช่นนี้ของข่างโบราณที่บำเพ็ญภาวนาจนได้นิมิต(vision)พระพุทธรูปงามแล้วนำมาเนรมิตพระพุทธรูปประติมาขึ้นนั้น ได้ปรากฎอยู่ในปกรณัมการสร้างพระพุทธรูปสำคัญของไทยหลายต่อหลายองค์ ที่มักเล่าไว้คล้ายๆกัน ถึงเรื่องของพระอินทร์หรือพระวิษณุกรรมแปลงร่างเป็นชีปะขาว นุ่งขาวห่มขาวทำภาวนาอยู่ ๗ วัน ๑๐ ถึงค่อยแกะสลักหรือหล่อพระพุทธรูปขึ้นมา นี่คือบันทึกชัดเจนถึงหนทางสร้างสรรค์ของช่างไทยโบราณ ที่เล่าไว้ในรูปของตำนาน

ความเห็นหนึ่งที่อาจารย์โกวิทกล่าวไว้คือ "ผมเห็นตรงกับพี่อังคาร(ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์)ในเรื่องพุทธลักษณะของพระพุทธรูป พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยดูอ่อนโยนงามประณีต ไม่ใช่เกิดเพราะบ้านเมืองดีเท่านั้น และการที่พระพุทธรูปสมัยอยุธยามีลักษณะถมึงทึงแข็งกร้าวก็ไม่ใช่เป็นเพราะสมัยอยุธยามีศึกสงครามมาก ผู้คนต้องเผชิญกับการสู้รบตลอดเวลาเพียงอย่างเดียว ถึงสะท้อนภาพบ้านเมืองอยู่ในพุทธศิลป์ แต่พุทธลักษณะพระพุทธรูปสองยุคนั้นแตกต่างกันมาก เป็นเพราะสมัยสุโขทัย ผู้คนนิยมบำเพ็ญภาวนาด้วยวิธีอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าออก การภาวนาแบบนี้เป็นวิธีประณีต ละเอียดอ่อน นิมิตที่ครูช่างได้ จึงปรากฎออกมาเป็นรูปธรรมอันงามนิ่มนวลของพระพุทธรูปสุโขทัย"

"ส่วนการบำเพ็ญภาวนาสมัยอยุธยานั้น เป็นยุคที่คนนิยมวิธีเพ่งกสิณ โดยเฉพาะการเพ่งเปลวไฟ ซึ่งมักใช้ในการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างแข็งกร้าว ภาพนิมิตที่ครูช่างได้ ถึงปรากฎพุทธลักษณะออกมาค่อนข้างกล้าแข็งของศิลปะในการสร้างพระอยุธยา"
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 75

Ahura

21/04/2015 06:38:34
1,663
" ศิลปะ คือ ผลผลิตทางสังคม "
ทัศนคติของมนุษย์ในการสร้างงานศิลปะไม่ได้มาจากเจตจำนงเสรี ( free will ) ครับ
หากแต่มาจากการถูกหล่อหลอมตั้งแต่ครอบครัว การศึกษา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง สภาพภูมิประเทศ สภาพดินฟ้าอากาศ ฯลฯ
ดังนั้นรูปแบบทางศิลปะจึงเป็นสิ่งสะท้อนคุณลักษณะดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้รูปแบบมีความหลากหลาย ผิดแผกแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นดนตรีของคนดำที่ถูกกดขี่ก็จะสะท้อนความหม่นเศร้า ดนตรีของชาวคริสต์ที่สรรเสริญพระเจ้าก็สะท้อนความโอ่อ่า อลังการ เป็นต้น
ส่วนศิลปะไทยก็สะท้อนสังคมในแต่ละยุคสมัยเช่นกัน สังคมในช่วงใดมีความสงบร่มเย็น ศิลปะก็จะอิ่มเอิบ อ่อนหวาน อ่อนช้อย อย่างเช่นศิลปะเชียงแสน ศิลปะสุโขทัย เป็นต้น
แต่หากสังคมในช่วงใดที่มีแต่การรบราฆ่าฟัน บ้านเมืองไม่สงบสุข ศิลปะก็จะออกมาดูแข็งกร้าว ดุดัน อย่างเช่นศิลปะอู่ทอง ศิลปะอยุทธยา เป็นต้น
ดังนั้นในศิลปะแบบประเพณี ความเป็นปัจเจกจึงไม่ใช่แก่นสารสำคัญ มากกว่าทัศนคติที่มาจากสังคม จึงไม่ปรากฏชื่อของผู้สร้างบนงานศิลปะใดๆเลย
ถ้าต้องการดูความเป็นปัจเจก คงต้องดูในงานพระพุทธรูปสมัยใหม่ ตั้งแต่พระของอ.ศิลป์ พีระศรี พระของเฉลิมชัย ฯลฯ หรือจะดูพระพุทธรูปของผม เชื่อว่าผู้ชมหรือคุณเหน่งบาน่าจะม้วนตกเก้าอี้สามตลบน่ะครับ !!! 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 76

เหน่งบา

21/04/2015 07:32:51
1,866
ที่ว่ามาในบรรทัดสุดท้าย จัดมาเลยครับ อาจารย์ ^ ^

ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา บอกไว้แต่ต้นว่ารอท่านผู้รู้ มาร่วมกันแสดงสิ่งที่ผมไม่รู้..เพราะข้อมูลตัวเองมีจำกัด..บอกแล้วว่า ขอซัดโยนก้อนหินชักนำหยกครับ 555

ปล.ในความคิดเห็นในฐานะชาวบ้านคนหนึ่ง ผมไม่ปิ๊งงานของอาจารย์เฉลิมชัยอ้ะครับ รู้สึกเหมือนดูดอกไม้ที่บานเกินจุดพอดี...ขออภัยที่บังอาจคิดเห็นแบบนี้นะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 77

Ahura

21/04/2015 09:13:43
1,663
งานศิลปกรรมร่วมสมัยในปัจจุบัน ศิลปินมีสิทธิในงานของตนได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ
ส่วนที่เหลือถือเป็นสิทธิในการตีความของผู้ชมหรือสังคม
ในงานปั้นพระพระพุทธของผมจะเป็นการก้าวข้ามทักษะฝีมือไปสู่ความคิด ( ทักษะเป็นเพียงสุนัขรับใช้ของความคิด )
ซึ่งการปั้นให้สวยผมว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพราะโบราณเขาจะมีสูตรตายตัวในการวัดหาสัดส่วน ปริมาตร ที่งดงามอยู่แล้ว
แต่ตัวงานเน้นไปที่การกระตุ้นความคิดในเชิงพุทธปรัชญา ซึ่งผู้ชมจะต้องมีความพร้อมพอสมควรจึงจะเข้าใจใน " สาร " ที่ต้องการสื่อ
งานที่สื่อด้วยองค์พระหลักๆมีประมาณ 4 ชิ้น นอกนั้นเป็นงานแนวนามธรรมและหนึ่งในองค์พระนั้นสำนักพระราชวังโดยราชเลขาธิการ เคยติดต่อให้ยกผลงานออกจากการแสดงงานมาแล้ว!!!
ไว้เย็นๆ ค่ำๆจะเข้ามาโพสต์ ส่วนตอนนี้ติดธุระการเรียนการสอนครับ
ป.ล. ผมคิดว่าจะไม่อธิบายงานให้เข้าใจ แต่ให้ผู้ชมคิด วิเคราะห์และตีความเอาเองนะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 78

Ahura

21/04/2015 20:59:10
1,663



นี่คือพระพุทธรูปที่มีฐานใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเทียบพิกัดกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ !! 555
ชื่องาน " Faraway from Nirvana "
ตัวฐานส่วนเป็นสีดำสูงราว 160 ซ.ม. แกะสลักคำว่า " นรก " ด้วยอักษรเทวนาครี
ตัวฐานส่วนเป็นสีขาวสูงราว 150 ซ.ม. ตัวองค์พระสูงประมาณ 12 ซ.ม. แกะสลักคำว่า " นิรวาณ " ที่องค์พระด้วยอักษรเทวนาครี
ดังนั้นความสูงรวมทั้งหมดจะอยู่ในราว 222 ซ.ม.
เมื่อผู้ชมยืน(ชายไทยมาตรฐาน)จะอยู่ในราวชั้นที่4 ของฐานสีขาว

นี่เป็นการอธิบายลักษณะเชิงกายภาพคร่าวๆนะครับ ส่วนที่เหลือคือการตีความกันเอาเอง!
ผู้ชมที่มีฐานความรู้ด้านไตรภูมิก็จะทำความเข้าใจได้ง่ายหน่อย
ป.ล. มีศิลปินชาวพม่าคนหนึ่งแกมายืนนับจำนวนขั้นของฐานแล้วพยักหน้าหงึกๆ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 79

เหน่งบา

21/04/2015 21:18:41
1,866
ยังไม่ได้นับนะครับ ใช่ ๓๑ ชั้นหรือเปล่า
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 80

เหน่งบา

21/04/2015 21:27:06
1,866
ปิ๊งป่อง ๓๑ จริงๆด้วย ^ ^

แทนค่าวัฏฏะสังสาร ๓๑ ภูมิ

ขอภาพclose up องค์พระใกล้ๆหน่อยได้ไหมครับ

แล้วก็ คำว่านิรวาณ กับ นรกานต์ที่เป็นภาษาเทวนาครีแบบชัดๆหน่อยอ้ะครับ(ใช้คำ นรกานต์ป่าวหว่า)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 81

Ahura

21/04/2015 21:46:03



มีแต่แบบสเก๊ตซ์ด้วยไอแพดอ่ะครับ หารูปไม่เจอ
แต่จะใช้องค์พระเดียวกัน (หล่อไว้หลายองค์) ประกอบในงานชิ้นสองครับอันนั่นมีรูป
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 82

Ahura

21/04/2015 21:55:57
1,663



แบบสเก๊ตซ์ด้วยไอแพดอีกอันหนึ่ง
ตอนแรกตั้งใจจะแกะลงไปทุกชั้น แต่ปมว่าศิลปะไม่ควรบอกมากไปคนดูจะไม่ค่อยได้คิด เลยปล่อยมันโล่งๆไปเลย
ส่วนคำว่านรก ผมเขียน นะระกะ ลงไปเลย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 83

Ahura

21/04/2015 22:22:46
1,663
" นิพานะ ปัจจะโย โหตุ " ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้ากระทำในครั้งนี้ ช่วยส่งให้ข้าพเจ้าถึงซึ่งนิพพานด้วยเทอญ

ทุกวันนี้มีใครที่ทำบุญหรือไหว้พระ แล้วกล่าวอธิษฐานจิตแบบนี้บ้างไหมครับ???
ทั้งที่เป้าหมายสูงสุดของการนับถือพุทธศาสนา คือการไปยังนิพพาน ทุกคำสอนของพระพุทธองค์คือ นิ้วที่ชี้ไปยังนิพพาน

แต่ทุกวันนี้เราทำบุญเพื่อจะได้ถูกหวย ไหว้พระเพื่อจะได้มีบ้านหลังโตๆ จิตที่เราอธิฐานเป็นไปเพื่อลาภสักการะเพื่อตัวของเราเอง

" faraway from nirvana " จึงแสดงสาระที่ขนาดและพื้นที่ ระหว่างคนดูกับพระพุทธองค์ อย่าว่าแต่อ่านอักษรที่องค์พระออกเลยครับ มองก็ยังมองแทบไม่เห็น!
ระดับของพวกเราอยู่ได้แค่ระดับกามรูปแค่นั้นแหละครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 84

เหน่งบา

22/04/2015 01:28:18
ครับ ก็คำนวณนับระดับชั้นที่ทำเป็นสามช่วงอยู่ ว่าตรงกับกามภูมิ ๑๑ รูปภูมิ ๑๖ อรูปภูมิ ๔ เกือบๆพอดี ถ้าที่บอกว่าออกแบบแล้ว คนส่วนใหญ่สูงประมาณชั้น ๔ ก็เพิ่งพ้นอบายภูมิมาเท่ามนุษยภูมิ และมองแทบไม่เห็นองค์ท่านจริงๆนั่นแหละ

ถ้าไม่อธิบายก็แทบนึกตามไม่ทันครับ แทบเข้าไม่ถึงครับ ^ ^

>
>
>
เรื่องคำอธิษฐานตอนทำบุญใส่บาตร ทั้งที่เป็นเรื่องพื้นฐานสุดๆ ว่าควรอธิษฐานอย่างไร เป้าหมายของ"พุทธะ" คืออะไร แต่ก็ไม่มีการสอนจริงๆนั่นแหละครับ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ว่ามันเป็นหาที่ระบบการสอน หรือบุคคลกันแน่

เจ้าชายสิทธัตถะ ออกบวชทำไม? --> เพราะเห็นว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์, การเกิดแก่เจ็บตาย เป็นธรรมชาติ แล้วทำอย่างไรจึงจะพ้นความทุกข์อันเป็นสภาวะธรรมชาตินี้ได้

ทรงค้นพบเรื่องเกี่ยวกับทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ เป้าหมายของการพ้นทุกข์ และวิถีทางที่จะพ้นไปจากทุกข์ ด้วยอริยมรรค์มีองค์ ๘ คือ..ฯลฯ

นี่แค่จากวิชาศีลธรรมตอนเรียนประถมต้นเลย(ปัจจุบัน วิชาศีลธรรมทราบว่าไม่มีสอนในโรงเรียนนานแล้ว = =*) แล้วเรื่องอธิษฐานตอนทำบุญ ซึ่งเด็กที่นับถือพุทธศาสนาทุกคนควรจะรู้ ไม่มีใครสอนให้รู้ ว่าควรอธิษฐานอย่างไร มุ่งตามทางที่พระพุทธองค์เดินไว้..ไปไหน

สุทินนัง วะตะเม ทานัง : ทานอันข้าพเจ้าถวายดีแล้ว
ปริสุทธิทานัง : เป็นทานอันบริสุทธิ์ (ไม่ได้โกงชาติ ยักยอกใครเขามา)
อาสะวักขะยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ : จงเป็นปัจจัยนำข้าพเจ้าไปสู่พระนิพพานอันเป็นที่สิ้นกิเลสเทอญ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 85

เหน่งบา

22/04/2015 01:34:28
1,866
ขออนุญาตขยายความแทนอาจารย์ ด้วยการตัดแปะ..ตามวาสนาเดิมอันตัดไม่ขาดละกันนะครับ ^ ^



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 86

เหน่งบา

22/04/2015 02:12:59
1,866
ว่าแล้ว ก็ตัดแปะงานของครูบาอาจารย์ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้มาซะหน่อย

เป็นงานศิลปะที่ทุกคนเคยเห็น แต่กลายเป็นว่า มันกลายเป็นunseen กลางใจเมืองไปแล้ว คือ เห็นก็เหมือนไม่เห็น เพราะเห็นจนคุ้นชิน เห็นแล้วไม่ได้รู้สึก รับรู้อะไรมากไปกว่าสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้ว่า ถึงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์แล้ว






"โลกุตระ" (แปลตามศัพท์ คือ เหนือโลก พ้นวิสัยของโลก)งานศิลปะชิ้นนี้ อาจารย์ชลูด นิ่มเสมอ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2534 เป็นประติมากรรมไฟเบอร์กลาสขนาดใหญ่ สูงเกือบห้าเมตร ได้ความบันดาลใจจากเปลวรัศมีของพระพุทธรูป ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของโลกุตรปัญญา หรือปัญญาที่อยู่เหนือโลกีย์ แล้วนำสัญลักษณ์นี้มาสร้างเป็นรูปทรงขึ้นตามสไตล์ส่วนตัว จนได้รูปทรงที่ดูได้หลายแง่ คือ เป็นเปลวรัศมีของพระพุทธรูป หรือเป็นบางคนก็มองเหมือนรูปมือประนมบอกความหมายของการเชื้อเชิญ ความนอบน้อมคารวะ หรือเป็นรูปดอกบัวที่หมายถึงการบูชาหรือความดีงามก็ได้

เปลวทั้งแปด หลายคนก็ตีความว่าอาจหมายถึงอริยมรรคมีองค์แปด

หรือหลายคนก็เรียก นิ้วมือ หรือมือยักษ์ = =" ก็ว่ากันไป
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 87

Ahura

22/04/2015 07:13:53



งานชิ้นนี้ชื่อว่า " 31 "
ขนาดเท่าคนจริง วัสดุทำจากไม้และเชรามิก
ภพภูมินั้นก็คือระดับจิตที่อยู่ในตัวเรานั่นเอง
เมื่อใดคิดชั่วเราก็ตกอยู่ในอบายภูมิ คิดดีเราก็ขึ้นสุขคติภูมิ
" สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ " ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 88

เหน่งบา

22/04/2015 08:07:02
ชอบอันแรกมากกว่าครับ(คิดซะว่า เสียงชาวบ้านข้างถนนที่เดินมาชมงานนะครับ ^ ^) ไม่ใช่ไม่ชอบ "๓๑" แค่ชอบอันแรกมากกว่า

กำลังอยากชม ชิ้นเด็ดที่ได้รับความสนใจอย่างสูง ขนาดโดนเชิญออกจากงานแสดงครับ 55
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 89

Ahura

22/04/2015 10:14:08
1,663
@เหน่งบา ขอบคุณสำหรับข้อมูลเสริมครับ
อันนี้เป็นสเก๊ตซ์แรกๆที่กะประมาณความสูงระหว่างองค์พระกับผู้ชม
พอทำจริงรู้สึกว่าระยะห่างน้ิยไปเลยเพิ่มส่วนสูงเข้าไปอีก

ความสำคัญของความรู้ในไตรภูมิคือ ความเข้าใจในการออกแบบพุทธสถานครับ
ไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ เจดีย์ วิหาร วัด วัง แม้แต่ผังเมือง ล้วนแล้วแต่อิงอาศัยคติไตรภูมิครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 90

Ahura

22/04/2015 10:14:59
1,663



ลืมใส่รูป
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 91

Ahura

22/04/2015 10:26:52
1,663



รายละเอียด
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 92

Ahura

22/04/2015 10:35:14
1,663



งานชื่อ " Stupa "
สถูปะ แปลว่า เนินดินหรือกองดิน ถือเป็นต้นทางจองเจดีย์ในปัจจุบัน

ส่วนฐานสีดำ แกะคำว่า นรกภูมิ ด้วยอักษรเทวนาครี
ส่วนดินดิบเป็นใบหน้าของผมจมอยู่ในฐานส่วนล่าง แกะคำว่า มนุษยภูมิ
ส่วนของหรรมิกาและบัลลังค์ทำด้วยไม้
ส่วนของฉัตรด้านใต้แกะคำว่า จักรวาล ส่วนด้านบนแกะคำว่า นิรวาณ
ขณะแสดงส่วนที่เป็นดินจะแตกไปเรื่อยๆครับ ตอนนี้คงพังไปหมดแล้ว 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 93

เหน่งบา

22/04/2015 11:33:03
1,866
ทำไมไม่หาทางเคลือบส่วนที่เป็นดินล่ะครับ

หรือมันจะสูญเสีย texture ของผิวดิน ???

หรือยิ่งกว่านั้น การที่รอให้ส่วนเป็นดินมันแตก คือจุดสมบูรณ์ของการออกแบบ!!!????
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 94

เหน่งบา

22/04/2015 11:34:17
1,866
เดี๋ยวผมต้องเริ่มเซฟภาพงานและข้อมูลของอาจารย์ให้เป้นกิจจลักษณะแล้ว

ถ้ามีภาพเพิ่มเติม แม้แต่กับงานชิ้นที่เอาลงมาแล้ว ก็เอามาโชว์ได้เลยนะครับ จะรอดู ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 95

Ahura

22/04/2015 11:54:03
1,663
เป็นเจตนา และจุดมุ่งหมายในงานเลยครับ คือต้องการให้มันพัง !
ขณะปั้นผมจะยัดวัสดุที่มันคงตัว เช่น เศษหิน เศษอิฐ เข้าไปในเนื้อดิน
เมื่อดินเกิดการหดตัว ก็จะเกิดการปริแตกตรงจุดที่เราต้องการได้ครับ
สรรพสิ่งต้องเผชิญกับความจริงที่น่าเจ็บปวดว่า วันหนึ่งมันต้องพบกับการแตกสลายครับ!
เนื้อหานี้เลยกลายมาเป็นหัวข้อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของผมครับ ซึ่งเริ่มมาจากงานชิ้นนี้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 96

เหน่งบา

22/04/2015 12:00:43
1,866
สุนทรียภิณฑนาการ 5555

แฮปปี้นิดๆที่ตัวเองเดาถูกแฮะ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 97

Ahura

22/04/2015 12:01:33



ตอนปั้นเสร็จใหม่ๆ ยังไม่แตกนะครับ
แต่สังเกตุบริเวณหน้าผากนั้นเริ่มมาหน่อยๆละครับ
เสียดายไม่ได้เก็บภาพตอนมันถล่มลงมาทั้งหมด
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 98

Ahura

22/04/2015 12:11:43
1,663



มาถึงพระเอกของผลงานแล้วครับ!
ทำขึ้นหลังจากการบวชพระครั้งที่3 และศึกษาเซนอย่างจริงจัง

เชิญชื่นชมความงามด้วยสตินะครับ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 99

เหน่งบา

22/04/2015 13:08:51
1,866
ว่าแร้ว ว ว ผมเห็นภาพแบบนี้แล้วแหละ จากเฟซอาจารย์ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ

เดาอยู่เหมือนกันว่า อันนี้แหง ที่โดนอัญเชิญออก ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 100

เหน่งบา

25/04/2015 01:11:39
1,866





พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ เป็นพระพุทธรูปยืนปางลีลาขนาดใหญ่ ประดิษฐานเป็นองค์พระประธาน ณ พุทธมณฑล อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พุทธลักษณะทรงยกพระบาทขวาจะก้าว ห้อยพระหัตถ์ขวาท่าไกว พระหัตถ์ซ้ายยกเสมอพระอุระป้องไปเบื้องหน้าเป็นกิริยาเดิน หล่อด้วยทองสำริดหนัก 17,543 กิโลกรัม โดยแบ่งหล่อเป็นชิ้นต่างๆ ขององค์พระ รวม 137 ชิ้น แล้วจึงนำไปประกอบกับโครงเหล็กบนฐานพระพุทธรูป เพื่อเชื่อมรอยต่อ และปรับแต่งให้เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นพระพุทธรูปสูง 15.875 เมตร ถือเป็นพระพุทธรูปลีลา หล่อด้วยทองสำริดที่มีลักษณะงดงาม และมีขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ [1]

โดยประยุกต์พุทธลักษณะ มาจากพระพุทธรูปปางลีลาสมัยสุโขทัย โดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ชาวอิตาลี เป็นผู้ออกแบบ ซึ่งในตอนแรกที่ออกแบบไว้นั้น พระพุทธรูปมีความสูงเพียง 2.14 เมตร แต่เพื่อให้สอดคล้องกับโอกาสที่พระพุทธศาสนาอายุครบ 2,500 ปี จึงได้มีการขยายขนาดเพื่อให้ได้เป็น 2,500 กระเบียด (1 กระเบียดเท่ากับ 1/4 นิ้ว) ดังนั้นพระศรีศากยะทศพลญาณฯ ในปัจจุบัน จึงมีความสูงถึง 15.875 เมตร ใหญ่กว่าขนาดต้นแบบ 7.5 เท่า[2]

ความเป็นมาของพระพุทธรูปปางนี้มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา ณ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ไม้ปาริฉัตตกะ ณ ดาวดึงส์เทวปโลก เมื่อออกพรรษามหาปวารณาแล้ว จึงเสด็จลงจากเทวโลก ในการเสด็จลงจากเทวโลกนั้นเรียกกันว่า "เทโวโรหณสมาคม"

ภาพเป็นภาพเก่าหน่อยครับ ถ่ายไว้เองตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ตอนปี ๒๕๓๕

เล่าประกอบภาพว่า องค์พระจริง งดงามกว่าในรูปมากมายนักครับ ใครมีโอกาสผ่านไป่ควรเข้าไปกราบนมัสการ และชื่นชมความงามขององค์พระ รวมถึงบรรยากาศสถานที่โดยรอบที่ออกแบบภูมิสถานไว้อย่างสวยงาม ร่มรื่น

พุทธมณฑลมีพื้นที่ถึงสองพันห้าร้อยไร่ มีสิ่งปลูกสร้างสำคัญหลายอย่าง เช่นวิหารพุทธมณฑล ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช วิหารพระไตรปิฎกหินอ่อน ฯลฯ





อีกมุมหนึ่งขององค์พระ จะเห็นความงดงามขององค์พระ ทั้งการออกแบบและการสร้าง สังเกตชายจีวรที่พลิ้วเหมือนจริง เคยไปดูของจริงมาหลายครั้ง ด้วยความประทับใจอย่างยิ่ง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 101

เหน่งบา

25/04/2015 01:31:12
1,866
ฉลองครบรอบ ๑๐๐ ความเห็นไปแล้วด้วยภาพหลวงพ่อใหญ่พุทธมณฑล(ชาวบ้านจะเรียกแบบนี้) แต่ที่พุทธมณฑล สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดนอกเหนือจากองค์พระ เป็นสังเชนียสถานครับ
สังเวชนียสถาน (อ่านว่า สัง-เว-ชะ-นี-ยะ-สะ-ถาน) แปลว่า สถานที่อันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช เป็นคำที่ใช้เรียกสถานที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ

สังเวชนียสถาน หมายถึงสถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกระลึกถึงพระพุทธเจ้า เกิดความแช่มชื่น เบิกบาน เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำความดี เมื่อได้ไปพบเห็น

สังเวชนียสถาน มี 4 แห่ง คือ

สถานที่ประสูติ
สถานที่ตรัสรู้
สถานที่แสดงปฐมเทศนา
สถานที่ปรินิพพาน

คนส่วนมาก กระทั่งผมเองตอนที่ยังไม่ทราบข้อมูล จะ"รู้จัก" สังเวชนียสถานที่พุทธมณฑลอันจำลองมา ด้วยภาพในใจแค่เห็นแท่นหิน และ ธรรมจักรศิลาสลักขนาดใหญ่ แค่นั้น (บอกคำว่าพุทธมณฑล นึกถึงกันอยู่สามอย่าง คำว่าสาย4ซึ่งรถติดทุกวัน หลวงพ่อใหญ่ และธรรมจักรใหญ่ = =")

ตอนผมไปพุทธมณฑลครั้งแรกเมื่อปี 2533 ตอนนั้นกลุ่มผม พาอาจารย์ชาวต่างชาติที่สอนไปเที่ยนครปฐม ขากลับแวะพุทธมณฑล ผมประทับใจมากกับบรรยากาศ สถานที่อันร่มรื่น องค์พระประธานพุทธมณฑล และที่ชอบมากอีกอย่างหนึ่งค่ือ สังเวชนียสถาน ที่ออกแบบคล้ายสวนสาธารณขนาดใหญ่ เป็นเกาะทีมีคูน้ำล้อมในแต่ละตำบล โดยต้องเดินไปไปตามก้อนหินเป็นสะพานข้าม แล้วก็มีแท่นหินที่สลักสวยงามเป็น landmark โดยไม่มีพระพุทธรูปอยู่่บนแท่นหิน (ซึ่งเมื่อเรียนจบแล้ว ก็ยังหาโอกาสแวะไปเองอีกหลายครั้ง) ก็รู้แค่นั้น

อีกปีนึงถัดมา หลังจากกลับจากการไปร่วมtripศึกษาธรรมะที่สวนโมกข์ ถึงได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว สังเวชนียสถานที่พุทธมณฑล มีความลึกซึ้งในการออกแบบมากกว่าที่คิดไว้มากครับ แสดงถึงปัญญาอันสูงยิ่งของการออกแบบ ในการใช้สัญลักษณ์สูงสุด ในการสื่อถึง "พุทธะ"
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 102

เหน่งบา

25/04/2015 02:59:32
1,866









บริเวณสังเวชนียสถานสี่ตำบล (ที่จริงกว้างมากนะครับ)






ตำบลประสูติ มีหินสลักเป็นรอยพระพุทธบาทอยู่เจ็ดรอย อันหมายถึงเจ็ดแคว้นในอินเดียที่ได้ทรงเสด็จไปเผยแผ่พระพุทธธรรม





สถานที่ตรัสรู้ มีแท่นหินอยู่ใต้ต้นโพธิ์





ตำบลปฐมเทศนา มีธรรมจักรขนาดใหญ่ และ แท่นหินเปล่าๆห้าแท่น แทนปัญจวัคคีย์





แท่นหินปรินิพพาน

ไว้จะมาขยายความเพิ่มครับ ว่า ทำไม ไม่มีพระพุทธรูปในสังเวชนียสถานสี่ตำบลเลย???
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 103

SARUS

25/04/2015 15:50:13
28
ที่จริงกระทู้นี้ ไม่ค่อยกล้าเข้ามาเม้นท์ เพราะรู้สึกว่าตัวเองรู้น้อยเกินคับ

แต่คำถามน่าสนใจคับ...ทำไมไม่มีพระพุทธรูปในสังเวชนียสถาน รู้สึกคำนี้เขาใช้กับเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าด้วยนี่คับ แล้ว ทำไมไม่มีพระพุทธรูปเลย

รออ่านคำเฉลยคับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 104

เหน่งบา

26/04/2015 01:33:31
1,866
แถมรูปนึงครับ อาจารย์ศิลป์ กับพระต้นแบบ






ไว้มาเฉลยครับ วันนี้ไปงานศพที่ลำลูกกา กลับมาเกือบตีหนึ่ง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 105

Ahura

26/04/2015 09:48:10
1,663



องค์ต้นแบบนี้ สามารถเข้าไปชมได้ในหอต้นแบบ ซึ่งตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยศิลปากรครับ
สิ่งที่ทำให้พระองค์นี้มีความพิเศษคือ การปฏิวัติกระบวนทัศน์ในการปั้นพระในประเทศไทย
โดยนำเอาหลัก academic แบบตะวันตกมาใช้ในการปั้นครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 106

เหน่งบา

26/04/2015 12:45:37
1,866
ผมว่า อาจารย์ลองตั้งกระทู้แนะนำพาชมสถานที่ที่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปทัศนศึกษาได้ หรืองานศิลปะกลางแจ้ง ในเขตมหาวิทยาลัยศิลปากรไว้สักกระทู้หนึ่งก็ดีนะครับ เพราะแค่หอต้นแบบนี้อย่างเดียว หากเข้าไปชมได้ ก็ไม่เสียทีที่ได้เข้าไปในมหา'ลัยแล้วละครับ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 107

Ahura

26/04/2015 13:15:29



นอกเหนือจากพระศรีศากยะทศพลญาณฯ แล้ว
ภายในหอประติมากรรมต้นแบบยังมีต้นแบบงานอนุสาวรีย์ที่สำคัญๆในประเทศไทย
ซึ่งเราจะได้เห็นงานในอีกมุมมองที่ไม่ได้ตั้งบนฐานสูง และได้รายละเอียดที่ผู้ปั้นถ่ายทอดอย่างเต็มที่ ( งานหล่อบรอนซ์รายละเอียดจะสูญหายราว 20-30% )
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 108

Ahura

27/04/2015 10:45:31
1,663



ระหว่างรอข้อมูลเกี่ยวกับพุทธมณฑลจากคุณเหน่งบา ผมขอแทรกเกร็ดเล็กๆน้อยๆนะครับ
ในยุคสมัยหลังพุทธกาล ความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธองค์นั้นอยู่ในสถานะที่ทรงเป็น"หลักการแห่งธรรมะ " โดยไม่ได้ดำรงอยู่ในฐานะมนุษย์ รูปร่างมนุษย์ของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าเปลือกที่ห่อหุ้ม จึงไม่นับว่าเปลือกนี้เป็นลักษณะที่ดี พอที่จะอธิบายพุทธลักษณะได้
ดังนั้นพุทธศิลป์ในช่วงพ.ศ.ที่ 1 - 500 ชาวพุทธจะกราบไหว้ หรือระลึกถึงพระพุทธเจ้าในรูปลักษณ์เชิงสัญลักษณ์ต่างๆมากมาย ที่สามารถสื่อสะท้อนความเป็นพุทธะ ที่น้อมนำศรัทธาสู่ด้านในของพระพุทธองค์ มากกว่าเปลือกนอกที่ห่อหุ้ม
รอยพระพุทธบาท ( foot print ) ก็เป็นรูปลักษณ์หนึ่งที่ใช้เป็นภาพลักษณ์ ( image ) ที่สื่อสะท้อนถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 109

Ahura

27/04/2015 11:20:41



ศิลปะสาญจี ราว พ.ศ. 300 สมัยราชวงศ์โมริยะ
บริเวณโตรณะ ( ซุ้มประตู )
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 110

Ahura

27/04/2015 12:54:27
1,663



บ้างก็ใช้สัญลักษณ์ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 111

Ahura

27/04/2015 13:01:23
1,663



บ้างก็ใช้สัญลักษณ์กวางหมอบ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 112

Ahura

27/04/2015 13:12:01
1,663



บ้างก็ใช้สัญลักษณ์กงล้อ หรือธรรมจักร
ซึ่งส่วนใหญ่มักสื่อถึงการเผยแผ่พระธรรม
แต่ในภาพนี้เป็นกงล้อที่ตั้งอยู่บนเสา ซึ่งมีการตีความถึงการบรรลุอรหันต์
ส่วนของเสาแสดงถึง "แกนจักรวาล " และเป็นเส้นทางของการบรรลุที่พุ่งสู่ดวงอาทิตย์
ส่วนของกงล้อแสดงถึง " ดวงอาทิตย์ " และกลางดุมล้อคือ " สุริยทวาร " ที่อรหันต์จะเข้าไป
ซึ่งเมื่อล่วงพ้นแล้วจะถือว่าเป็นการออกนอกจักรวาล และตัดขาดจากการเชื่อมโยงกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในจักรวาล
ซึ่งก็คือแดนนิพพานนั่นเองครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 113

Ahura

27/04/2015 13:30:31
1,663



รูปนี้ผมวาดไว้นานแล้ว ด้วยสีอครีลิคเนื้อหาเกี่ยวกับ สุริยทวาร
ที่ไร่แม่ฟ้้าหลวง จ.เชียงราย โดยบรรยายเนื้อหาด้วยภาษาบาลี
วันนั้น ว. วชิรเมธี ท่านมายืนดูผมวาดอยู่นาน ยืนอ่านเนื้อความสักพักก็เลยถามว่า "เขียนบาลีได้ด้วยเหรอ ? "
ผมก็ยิ้มๆ ท่านก็ยิ้มๆ แล้วก็เดินจากไป
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 114

เหน่งบา

27/04/2015 14:06:26
1,866
พระพุทธรูป มีขึ้นในโลกประมาณ๗๐๐ปี หลังพระพุทธองค์ปรินิพพาน

ช่วงก่อนมีพระพุทธรูป มีการทำสิ่งที่สื่อถึงพระองค์หลายอย่าง ไม่ว่า สถูป เจดีย์ ภาพสลัก

แล้วในเมื่อยังไม่มีการทำพระพุทธ สิ่งที่สื่อถึงพระพุทธเจ้าคืออะไร

ก็จะเป็นการใช้สัญลักษณ์ต่างแทนครับ ไม่ว่าจะเป็นภาพดอกบัว ภาพเสาไฟ ภาพพระพุทธบาท และ รวมถึงสัญลักษณ์ที่คนเมื่อสองพันกว่าปีก่อน เห็นว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกต้องที่สุด ในการสื่อถึงพระพุทธเจ้า คือ "ความว่าง"

มีผลงานหินแกะสลักมากมายหลายยุค หลายถิ่น ก่อนที่จะมีพุทธรูป ที่เป็นภาพพุทธประวัติ แสดงเหตุการณ์ตามพุทธประวัติ โดยมีสิ่งของ บุคคลต่างๆตามเรื่องราว ยกเว้นอย่างเดียว คือไม่มีรูปหรือภาพของพระพุทธเจ้า เราจะเห็นภาพบัลลังก์ว่าง ต้นโพธิ์ที่โคนต้นว่างเปล่า ฯลฯ อยู่มากมาย

ไม่ใช่ว่าต้นโพธิ์ บัลลังก์ หรืออาสนะที่ว่างเปล่านั้นคือพระพุทธเจ้า หากแต่ ความว่างเปล่าที่โคนต้นโพธิ์ ความว่างเหนือบัลลังก์ ความว่างเหนืออาสนะ...ว่างจากตัวตน บุคคลต่างหาก ที่แสดงสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์ ความว่าง คือสัญลักษณ์สูงสุดที่คู่ควรกับการใช้เพื่อสื่อถึง พุทธะ อันจริงแท้ ที่ไม่อาจแสดงด้วยภาพ หรือแบบหรือรูปบุคคลใดได้

สังเวชนียสถานที่พุทธมณฑลก็เช่นกันครับ ไม่ใช่แท่นหิน ไม่ใช่ต้นโพธิ์ ไม่ใช่ธรรมจักร ที่แทนพระพุทธเจ้า หากแต่ความว่างเหนือแท่นหินประสูติ ความว่างเหนือแท่นหินใต้ต้นโพธิ์ ความว่างเปล่าหน้าธรรมจักรต่างหาก ที่เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์ แม้ในตำบลปฐมเทศนา ความว่างเหนือแท่นหินเล็กห้าแท่น ก็เป็นสิ่งที่สื่อถึงปัญจวัคคีย์ทั้งห้า

ตัดแปะงานเขียนของท่านพุทธทาส มาบรรยายเพิ่มเติมนะครับ จากหนังสือ ภาพพุทธประวัติจากหินสลัก ยุคก่อนมีพระพุทธรูป

'...เมื่อความสำคัญของภาพพุทธประวัติชุดนี้อยู่ที่การไม่ยอมทำรูปพระพุทธองค์เป็นรูปมนุษย์ (anthropomophic image) แต่พยายามทำเป็นสัญลักษณ์ (symbol) ไปเสียทั้งนั้น ดังนี้แล้ว ปัญหาย่อมเกิดขึ้นว่า ทำไมจึงไม่ยอมทำ ? ถ้าเราตอบคำถามข้อนี้ได้ เราจะเข้าใจอะไรมากมายหลายอย่าง ในทางศิลปะ โบราณคดี ประวัติของศาสนา กระทั่งหลักธรรมะในขั้นสูงเช่นเรื่องความไม่ยึดมั่นด้วยอุปาทาน เป็นต้น

สิ่งที่อาจจะแสดงได้ด้วยรูปของมนุษย์นั้น เป็นเพียงเปลือกนอกของสิ่งที่เรียกว่าพระศาสดาที่แท้จริง อันจะเป็นที่พึ่งของเราได้ ถ้าเราแสดงภาพของพระภควันด้วยรูปร่างมนุษย์เช่นนั้น เราก็เป็นคนตู่พระภควัน หรือแสดงพระภควันในลักษณะที่เป็นของเท็จหรือของปลอมออกมา เพราะว่าใครจะไปทำภาพของหน้าตาแขนแมนของพระองค์ให้เหมือนของจริงได้, หรือว่าใครจะแสดงอารมณ์ (mood) อันแท้จริงที่พระพักตร์ของพระพุทธรูปนั้นให้เหมือนของจริงหรือถูกต้องได้, ย่อมทำไปตามอารมณ์ของผู้ทำเอง จนมีมากแบบมากชนิด น่าเกลียดน่าชังก็มี เป็นเจ้าชู้ไปก็มี, บูดบึ้งไม่สมกับความเป็นพระภควันไปก็มี มากมายเหลือที่จะกล่าวได้

ทีนี้ ในระดับสูงสุด คือการทำสัญลักษณ์นั้น ถ้าทำเป็นภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นรูปหรือแบบขึ้นมา ก็ต้องเผชิญกันกับความชำรุดเป็นธรรมดา ดังนั้นคนที่ฉลาดที่สุดจึงใช้ "ความว่าง" เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่รู้จักชำรุดทรุดโทรมหรือเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่นิดเดียว นับว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ยอดสุดของสัญลักษณ์ทั้งหลาย เมื่อไม่มีอะไรจะกระทบกระทั่งต่อ "ความว่าง" ได้ฉันใด ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะกระทบกระทั่งพระภควันพระองค์จริง อันเป็นอนันตกาลได้ฉันนั้น ดังนั้นพุทธบริษัทในอินเดีย สมัย พ.ศ. ๓๐๐–๖๐๐ จึงไม่ยอมทำรูปเคารพแก่พระพุทธองค์, แต่ได้ทำสัญลักษณ์ในขั้นที่ฉลาดที่สุด คือ ความว่างแทน...'

และนี่คือ ภูมิปัญญาของคนสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน ที่ยังสืบทอดมาให้เราพบเห็น และศึกษาเรียนรู้ ณ ปัจจุบันนี้ครับ ^ ^


(ขออภัยที่ตอบช้าไปหน่อย ยังดีที่มีอาจารย์Ahura มาให้ข้อมูลความรู้ซึ่งน่าจะกว้างขวางลึกซึ้งกว่าผมอีกนะครับ

ปล.ภาพวาด งดงามมากครับ อาจารย์
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 115

SARUS

27/04/2015 14:11:54
28
รออ่านมาตั้งนาน เห็นความเห็นของอาจารย์อฮูร่าแล้วก็พอเข้าใจรางๆ แต่มาอ่านคำตอบที่ว่า ใช้ความว่างเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้านี่ อึ้งไปเลยครับ....ลึกล้ำจริงๆ

ทีแรกดูภาพที่พี่เหน่งบาเอามาลงก็งั้นๆครับ เห็นแท่นหิน เห็นธรรมจักร แต่พอมาอ่านคำตอบที่ว่า ให้ดูความว่างเหนือแท่นหินนี่ ต้องย้อนความเห็นไปดูใหม่อย่างพิจารณาเลยครับ สติปัญญาคนโบราณนี่ สูงส่งแท้
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 116

Ahura

27/04/2015 14:35:14



แล้วถ้าเป็นแบบนี้ล่ะครับ! คุณเหน่งบา
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 117

เหน่งบา

27/04/2015 14:35:30
1,866
ที่จริงศาสนาอื่น หลายศาสนา ก็ไม่มีรูปเคารพนะครับ คริสต์ แต่เดิม ใช้ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แทนพระเยซู ที่มีรูปพระเยซู รูปพระแม่มารี นี่ก็มาสร้างเพิ่มในภายหลัง

ก็มีแต่อิสลามแหละครับ ที่ยังคงทำตามคำสอนอย่างเคร่งครัด ไม่ยอมทำ และไม่มีรูปเคารพใดๆทั้งสิ้น (ข้อมูลจากหนังสือท่านพุทธทาสอีกแหละครับ)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 118

SARUS

27/04/2015 14:43:16
28
กำลังจะถามว่า แบบนี้ ก็น่าจะเป็นแนวคิดในการต่อต้านการมีพระพุทธรูปใช่ไหมคับ พี่เหน่งบา และแล้วก็เห็นรูปอาจารย์อฮูร่า ใน คห.116 = =*

อยากฟังความเห็นว่า พี่เหน่งบาจะตอบความเห็น 116 และ 118 อย่างไร 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 119

Ahura

27/04/2015 15:24:52
1,663
ในราวปี 2490 ท่านพุทธทาสได้ปาฐกถาที่พุทธสมาคม ในหัวข้อ " ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม "
โดยไคลแมกซ์อยู่ที่คำพูดที่ว่า

" การไหว้พระพุทธรูป คือ ภูเขาขวางกั้นพุทธธรรม " และ

" พระพุทธเจ้า คือ ภูเขาลูกมหึมา ที่ขวางกั้นพระนิพพาน "

ปาฐกถาดังกล่าวสร้างความฮือฮาและกระแสความขุ่นเคืองของชาวพุทธที่มีต่อพระหนุ่มอินดี้ผู้นี้!
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 120

เหน่งบา

27/04/2015 15:42:29
1,866
ระวังพระพุทธรูป บังพระพุทธเจ้า
ระวังคัมภีร์ใบลาน บังพระธรรม
ระวังลูกชาวบ้านห่มผ้าเหลือง บังพระสงฆ์

^ ^ บวกกับพี่ในทางธรรมของท่าน ท่านปัญญานันทะ ก็จะมีคำกล่าวทำนองว่า ท่านเป็นคอมมิวนิสต์เลยละครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 121

เหน่งบา

27/04/2015 20:49:37
1,866
ตอบความเห็น 116 ก่อน ที่พอทราบมา ผมเดาว่า น่าจะเป็นพระพุทธรูปในลัทธิตันตระ ซึ่งเป็นกิ่งของพุทธนิกายวัชรญาณในธิเบต

พระพุทธรูปลักษณ์ดั้งเดิมของนิกายวัชรยานมิได้เป็นเช่นที่เห็น หากเป็นของเฉพาะลัทธิตันตระที่แตกตัวออกไปเป็นแขนง (Sect) พระพุทธลักษณ์ดั้งเดิมนั้นเป็นปางสมาธิ ทรงสงบนิ่ง พระหัตถ์เบื้องขวาประทับวางไว้บนพระหัตถ์เบื้องซ้าย มิได้แสดงอาการใดๆ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป พระพุทธลักษณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป รุ่นใหม่ที่ประดิษฐ์ออกมามีการแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อฝ่ายหญิงซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอิทธิพลจากลัทธิตันตระของฝ่ายฮินดูที่สะท้อนกลับมาอีกทอดหนึ่ง หรือขึ้นอยู่กับผู้จัดทำว่า ทำพระพุทธรูปขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ใด

พุทธตันตระที่เกิดก่อนนั้น ต่างไปจากฝ่ายตันตระของศาสนาฮินดูที่ลอกเลียนไปใช้ในภายหลัง และไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากได้บิดเบือนความเชื่ออันบริสุทธิ์ของฝ่ายพุทธในเรื่อง 2 เพศที่เป็นหนึ่งเดียวซึ่งในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์จะขาด 2 ปัจจัยนี้ไม่ได้

ฝ่ายฮินดูมีเทวรูปของตนกอดกับสตรีเพศที่ร่างเปล่าเปลือยเช่นกัน แต่เน้นไปในเรื่องการร่วมเพศตามความเชื่อ โดยพยายามสะท้องให้เห็นว่าอิสตรีนั้นเป็น “ศักดิ์” (Shakti) หรือ “อำนาจ” ชนิดหนึ่ง ขณะที่เทวรูปไศวะ (Siva) เป็น “ปัญญา” (Wisdom) ซึ่งจะต้องเอาชนะ “อำนาจ” อันเป็นราคะ ขณะที่ฝ่ายพุทธไม่มีความเชื่อในเรื่อง “ศักดิ์”

แต่ในปัจจุบันลัทธิตันตระของฝ่ายฮินดูไม่มีเหลืออยู่อีกแล้วในอินเดีย เนื่องจากไม่ได้รับความนิยม เพราะไม่สอดคล้องกับความจริงทั้งในทางโลกและทางธรรม

ตรงข้ามกับฝ่ายวัชรยานแห่งทิเบต ที่แสดงพระพุทธองค์เป็นตัวแทนแห่ง “เมตตา” (Passion) และสตรีเพศเป็น “ปัญญา” (Wisdom) ซึ่งจะต้องรวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน และเป็นหนึ่งเดียวกัน มิเช่นนั้นการตรัสรู้ย่อมไม่อาจจะเกิดขึ้น

ที่เคยอ่านมา รู้อยู่แค่นี้ครับ ^ ^ ต้องขอให้ผู้รู้ ให้อรรถาธิบาย่โดยละเอียดและเข้าใจง่ายให้ด้วยครับ (ถ้ายาวๆ หาอ่านหนังสือเอาพอจะได้...แต่อ่านแล้วก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่ดี เหมือนผมนั่นแหละครับ) 555




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 122

เหน่งบา

27/04/2015 21:08:20
1,866
ส่วนความเห็น 118 ก่อนอื่น ขอเพิ่มเติมข้อความจากหนังสือของท่านพุทธทาสอีกเล็กน้อยนะครับ '....การทำสัญลักษณ์นั้น ถ้าทำเป็นภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นรูปหรือแบบขึ้นมา ก็ต้องเผชิญกันกับความชำรุดเป็นธรรมดา ดังนั้น คนฉลาดที่สุดจึงใช้ "ความว่าง"เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่รู้จักชำรุดทรุดโทรมหรือเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่นิดเดียว นับว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ยอดสุดของสัญลักษณ์ทั้งหลาย เมื่อไม่มีอะไรกระทบกระทั่งต่อ"ความว่าง"ได้ฉันใด ก็ย่อมไม่มีอะไรกระทบกระทั่งพระภควันพระองค์จริง อันเป็นอนันตกาลได้ฉันนั้น ดังนั้นพุทธบริษัทในอินเดีย สมัย พ.ศ.๓๐๐ - ๖๐๐ จึงไม่ยอมทำรูปเคารพแก่พระพุทธองค์ แต่ได้ทำสัญลักษณ์ในขั้นที่ฉลาดที่สุด คือ ความว่างแทน....'

>
>
>

ที่นี้ ถ้าถามความเห็นส่วนตัว ผมยอมรับว่า หลักการที่ท่านพุทธทาสว่ามา ถูกนักครับ เพราะที่จริง ปั้นแต่งอย่างไร ไม่มีทางเหมือนองค์จริง

แต่มันมีมุมมองที่ไม่ใช่ปลีกย่อยด้วยซ้ำให้มองได้หลายมิติ ซึ่งตรงนี้ผมอยากให้อาจารย์อหุระลองให้คำอธิบายเรื่องความเชื่อ ปรัชญา และแง่มุมในทางศิลปะด้วยครับ

สำหรับผมเอง เอาสั้นๆนะครับ มองแยกประเด็นครับ มองตื้นๆคิดตื้นๆด้วยซ้ำ ผมมองแยกเป็นพุทธธรรม กับพุทธศิลป์ครับ

ความเชื่อ คติในการสร้างพระพุทธรูปนอกเหนือจากแง่มุมทางศิลปะ บางท่าน อาจว่าเป็นเปลือก ไม่ใช่แก่น แต่"คน"ก็มีหลายระดับครับ ต้นไม้เองก็ไม่ได้มีแต่แก่น เปลือกก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งของต้น ทีนี้เราต้องมีกระบวนการสอน ที่เมื่อดึงดูให้คนเข้ามาด้วยเปลือก แล้วจะศึกษาให้ถึงแก่นได้อย่างไร ผมตอบสั้นๆแค่นี้นะครับ ^ ^

ส่วนเรื่องพุทธศิลป์ หรือ แง่มุมพุทธปรัชญา ตามอ่านความรู้เต็มเหยียดได้จากอาจารย์อหุระกันดีกว่าครับ ผมก็รอจะได้ความรู้จากพี่ท่านอยู่เหมือนท่านอื่นๆครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 123

เหน่งบา

27/04/2015 22:02:44
1,866
แตะประเด็นนี้แล้ว ผมมีรีเควสท์ครับ 555 ไหนๆอุตส่าห์เริ่มเรททั้งที ขอแบบสุดทางเลยนะครับ

ยิงลูกโดดไปคำเดียวเลย..ขชุรโห ^ ^

บอกแบบไม่อ้อมค้อมว่า ผมพอรู้ตรรกะ แนวคิดของเรื่องนี้ แต่ยังไม่เคยขยันหา"ดู"ให้กระจะตา

หาอาจารย์จะกรุณาจัดหนักให้ก็เป็นพระคุณครับ อิอิอิอิ... แล้วผมจะบรรยายเสริมทีหลัง(เรื่องตรรกะตามที่คนที่ผมเชื่อตีความ ไม่ใช่เรื่องรายละเอียดของงานศิลป์ที่นั่น = =")
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 124

Ahura

27/04/2015 22:03:34
1,663



" เสพกามเพื่อบรรลุธรรม " เป็นไอเดียที่น่าลิ้มลองมาก 5555
ฮินดูกับพุทธนี่เป็นไม้เบื่อไม้เมาจริงนะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง " โคตมะ " นี่ฮินดูถือเป็นผู้ก่อการร้ายนะครับ! คอยบ่อนทำลายความเชื่อในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นระบบวรรณะ การบูชายัญ บูชาไฟ ฯลฯ
ทั้งสองศาสนาจึงแข่งขันกันเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสิ้นพุทธองค์แล้ว การแตกนิกายเพื่อให้เหนือกว่าคู่แข่งจึงเป็นไปอย่างแพร่หลาย และมีอาการ " บิด " ออกจากหลักคำสอนเดิมของพุทธองค์
อย่างไรก็ดี ทุกลัทธิล้วนมีจุดมุ่งหมายคือการหลุดพ้น แต่แตกต่างกันไปตามวิธีการอันหลากหลาย และยังคงเป็นวิธีปฏิบัตินิยม ( pragmatism ) อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ตันตระก็เช่นกัน ที่มุ่งผลในทางปฎิบัติหากแต่พุทธภาวะนั้นเป็น " วัตถุแห่งโลกภูมิ " และความเป็นพุทธะนั้นก็ดำรงอยู่ในตัวเราทุกคน นิพพานและโลกนี้เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นผลสำเร็จจากการปฏิบัติจึงมีสองด้านทั้งโลกิยะและโลกุตระ
ตันตระแบ่งตัวออกเป็นด้านซ้ายและขวา ฝ่ายขวาคือ มิ-ซุง ในจีน หรือ ชิน-กอน ในญี่ปุ่น นับถือฝ่ายชาย เช่น ไวยโรจนะ อวโลกิเตศวร ฯลฯ
ฝ่ายซ้ายคือ วชิรยาน นับถือ " ศักติ " หรือพลังอำนาจของสตรี ซึ่งฐานความคิดมาจากพวกดราวิเดียน หรือ มิรขะ หรือทราวิฑ (ชื่อเยอะจัง ) คือคนพื้นเมืองดั้งเดิมแถบลุ่มน้ำสินธุที่ถูกพวกอารยันขับไล่ (เคยกล่าวไว้ในคอมเมนท์บนๆ) พวกนี้มีความเชื่อระบบแม่เป็นใหญ่ ดังนั้นโพธิสัตว์ของลัทธินี้จึงมีเมีย และพระก็มีเมียได้ ( นึกถึงอิ๊กคิวซัง )
ดังนั้นทัศนคติทางกามารมณ์ จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรขจัดออกไปเช่นลัทธิอื่น หากแต่การหลอมรวมชายและหญิง คือเมตตาและปัญญา (อย่างที่คุณเหน่งบาบอก) ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วย " ความสุขสุดยอด " เพื่อจะนำไปสู่ความหลุดพ้น
จึงเป็นที่มาของคติการสร้างพระพุทธรูปแบบ ยับ-ยุม (Yap- Yum ) แปลว่า พ่อ-แม่ ดังนี้แลฯ
ป.ล.ดึกๆอย่างนี้ชักอยากหลุดพ้นตะหงิดๆ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 125

SARUS

28/04/2015 07:13:39
28
มาย้อนอ่านหลายเรื่องในกระทู้ โดนใจมากกับประสพการณ์ของอาจารย์อฮูร่าเกี่ยวกับเรื่องพระยอดขุนพลวัดเขาอ้อ และ อึ้งกับประโยคนี้คับ

"ภาพพระยอดขุนพลองค์นี้เป็นของผมที่เปิดเจอในเวป ซึ่งก็คงหาไม่ยาก พระมีแค่ 2,500 องค์ สุดท้ายผมได้แต่หวังว่าเจ้าของคนใหม่จะมีบุญบารมีมากพอที่จะใช้และควบคุมพระยอดขุนพลนะครับ !"

อ่านแล้วทำให้นึกถึงกระทู้เก่าเฮียเหน่งบาที่ว่าด้วยเรื่องกระดูกะโหลกแม่นาค

"คุณหญิง ด็อกเตอร์วินิตา (วินิจฉัยกุล) ดิถียนต์ เจ้าของนามปากกา ว.วินิจฉัยกุล และ แก้วเก้า
ได้รับแรงบันดาลใจจากคำบอกเล่าเกี่ยวกับเกร็ดพระประวัติส่วนหนึ่ง ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าอาภากร กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ โดยผู้เล่าคือ น.ต.ภากร ศุภชลาศัย ร.น.
ซึ่งเป็นหลานตาของเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร

...มีของขลังหลายอย่างบนตำหนัก รวมถึงกะโหลกของนางนาคพระโขนง ซึ่งก่อนกรมหลวงชุมพรสิ้นพระชนม์
ทรงมอบของพวกนี้ให้พระธิดาองค์ใหญ่(ซึ่งเป็นมารดาของผู้เล่า) นำไปถ่วงทิ้งน้ำที่ปากอ่าวให้หมด
เพราะไม่มีใ่ครมีวิชา มีบารมีพอจะครอบครองได้อีก

หลังจากทิ้งของจมหายไปในน้ำ ก็เห็นควันสีเทาหม่นลอยพลุ่งขึ้นจากพื้นน้ำแลเห็นถนัด
ราวกับใครเผาอะไรให้เห็นตรงหน้า กลุ่มควันไม่ใหญ่นัก แต่ก็เห็นชัดว่า มันม้วนเป็นเกลียว
ขึ้นมาพ้นผิวคลื่น แตกกระจายเมื่อลมพัดปะทะ แล้วก็สลายไปตามแรงลม..."

อาจารย์คับ แล้วพระเครื่องอื่น ที่ไม่มีเงื่อนไขขั้นวิกฤตขนาดนั้น ก็มีไม่ใช่เหรอคับ ดูท่าอาจารย์น่าจะกว้างขวางในวงการนี้แน่ ทำไมไม่เล่นของอื่นล่ะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 126

Ahura

28/04/2015 15:11:35
1,663



@SARUS ครับ
ก็อย่างที่คุณเหน่งบาบอกไว่ว่า ใช้เปลือกดึงดูดเพื่อเข้าหาแก่น
พระหรือวัตถุมงคลสายคงกระพันชาตรี หรือสายเหนียวมีความแตกต่างจากพระหรือวัตถุมงคลสายอื่นๆเช่น เมตตามหานิยมหรือแคล้วคลาด ไม่ว่าจะเป็นการปลุกเสกหรืออำนาจทางพุทธคุณที่ประจุไว้ในองค์พระ และวัตถุมงคลที่มาจากการใช้วิชาอาคมหรืออำนาจจิตอะไรก็ตามแต่
การเห็นผลหรือส่งผลนั้นต้องประกอบขึ้นด้วยกันระหว่างผู้สร้างและผู้ใช้ ในหมวดหมู่พระกู้ชาติ หรือนักรบใช้ออกรบส่วนหนึ่งนอกจากการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการสู้รบ ยังเป็นอุบายให้ผู้ใช้มีสมาธิจดจ่อ ไม่ว่อกแว่กออกนอกลู่นอกทาง จึงยังผลถึงต้องมีการปฏิบัติตนในกรอบศีลธรรมจรรยา
พระและวัตถุมงคลในสายของเขาอ้อแทบทุกรุ่นจะต้องมีคู่มือการใช้ครับ เป็นใบฝอยบ้าง เป็นตำราเล่มเล็กๆบ้าง ในนั้นเกือบ 70 % จะเป็นเรื่องของการควบคุมลมหายใจ การทำสมาธิ การกำหนดจิต การท่องภาวนาบทสวด ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นวิถีทางของชาวพุทธพึงปฏิบัติ ซึ่งคนที่ยึดโยงอยู่กับวัตถุเหล่านี้จะซึมซับมันไปแทบไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นวิธีการน้อมนำธรรมะเข้ามาสู่จิตใจได้อย่างแยบยล
ส่วนเรื่องอิทธิปาฏิหารย์มันเป็นเรื่องผลพลอยได้และเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ซึ่งมันอาจจะเป็นอุปาทานหรืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีจริง ผู้ใช้จะทราบเองพูดไปมันก็เหมือนอวดอุตริครับ (คล้ายๆเรื่องหูฟังเลยนิ ! 555 )
ประสบการณ์เหนือจริงที่ได้รับ ท้ายสุดแล้วมันก็คือเปลือกนอกที่ห่อหุ้มพุทธธรรมไว้แค่นั้นครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 127

Ahura

29/04/2015 10:13:14



กลับมาที่ไตรภูมินะครับ
วิมานฉิมพลีของเหล่าครุฑตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของเขาพระสุเมรุ
อุโบสถของวัดพระแก้วจะมีชั้นครุฑประดับอยู่
นั่นหมายความว่าตัวอุโบสถคือเขาพระสุเมรุครับ โดยมีองค์พระแก้วเป็นจุดศูนย์กลางของการ " กระเพื่อม" ออกของสัตตบริภัณฑ์ หรือพื้นที่พุทธาวาสโดยรอบ เช่น ระเบียงคตเป็นต้น
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 128

Ahura

29/04/2015 10:19:17
1,663



วิหารวัดพระเชตุพน หน้าบันจะประดิษฐานรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
นั่นหมายความว่าพื้นที่หน้าบันคือส่วนของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
และตัววิหารคือเขาพระสุเมรุครับ ส่วนทางเดินรอบวิหารคือนทีสีทันดรครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 129

Ahura

29/04/2015 10:24:31
1,663



โทดครับรูปบนเป็นหน้าบันวิหารวัดสุทัศน์ครับ ขออภัย
ส่วนผังของวัดพระเชตุพน ส่วนอุโบสถคือเขาพระสุเมรุ ส่วนรอบคือเขาสัตตบริภัณฑ์ และมีทวีปทั้ง 4 ทิศ
ชมพูทวีปอันเป็นที่อยู่ของโลกเรา อยู่ทิศใต้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 130

Ahura

29/04/2015 10:37:06
1,663



พุทธจักรวาลวิทยาครับ
เป็นที่น่าสังเกตว่าในทางวิทยาศาสตร์ สุริยจักรวาลของเราก็ตั้งอยู่ในทิศใต้ของแกแลคซี่ทางช้างเผือกด้วยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 131

Ahura

29/04/2015 10:52:35
1,663
จะเห็นได้ว่าจักรวาลทัศน์ของคนโบราณ จะเป็นลูกกลมๆ และมีหลายลูกดั่งเม็ดทราย
โดยพื้นที่ว่างระหว่างจักรวาลแต่ละลูก จะเป็นที่ตั้งของนรกโลกันต์ซึ่งอยู่นอกจักรวาลครับ (มีสถานะคล้ายแดนนิพพาน)
ดังนั้นเมื่อสิ้นกัลป์ ไฟจะประลัยสิ้นทั่วทั้งจักรวาล สัตว์นรก เดรัจฉาน อสูร มนุษย์ เทวดา พรหม (ต่ำกว่าชั้นอาภัสรา ) ล้วนตายเรียบครับ
ฉะนั้นพวกที่รอดจะมีสองกลุ่ม คือ โลกันตนรก และ แดนนิพพาน
ดังนั้นการรอดจากไฟประลัยกัลป์จะต้องทำดีแบบสุดขั้ว ! ไม่ก็ทำชั่วแบบสุดขั้ว! ครับ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 132

Ahura

29/04/2015 12:58:01
1,663



เมื่อเข้าใจไอเดียของพุทธจักรวาลแล้ว ก็ลองมาดูไอเดียในการออกแบบพุทธศิลป์
ยกตัวอย่างต้นทางของเจดีย์ที่มีลักษณะโอคว่ำ หรือระฆังคว่ำ
ถ้าจักรวาลเป็นลูกฟุตบอล ครึ่งล่างที่จมน้ำ คือพื้นที่ ของนรก ดิรัจฉาน เปรตวิสัย และอสูรกาย ซึ่งเป็นทุกขคติภูมิ
ส่วนที่พ้นน้ำคือ มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม ซึ่งเป็นสุขคติภูมิ
ดังนั้นลักษณะของเจติยะทั้งหลายจึงสื่อถึงด้านครึ่งบนที่เป็นสุขคตินั่นเอง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 133

เหน่งบา

29/04/2015 14:16:01
1,866



ไม่ว่างมาต่อกระทู้ แต่อุตส่าห์มากวนรอบบ่ายครับ 5555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 134

Ahura

29/04/2015 15:25:50
1,663
ลูฟว์ ผมไปมา 2 ครั้งก็ยังดูงานไม่หมดครับ ( 2 แสนชิ้น )
บริเวณนี้ถือเป็น landmark และเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟใต้ดินกับลูฟว์ ส่วนด้านบนจะเป็นบริเวณขายตั๋ว (ค่าเข้าพันกว่าบาท )ถูกมั่กๆ 55
แต่ถ้าในนวนิยายของ Dan Brown จุดนี้คือที่ฝังศพของ Mary Magdalene เมียของพระเยซูครับ!
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 135

เหน่งบา

29/04/2015 15:38:01
1,866
คือ ผมไม่รู้รายละเอียดหรอกครับ ดาวินชีโค้ดก็ดูไปหลับไป

เพียงแต่หารูปปิรามิดกลับหัวมากวน(...)สถูปหรือสิ่งก่อสร้างทั่วไปที่สร้างฐานใหญ่ปลายเล็กเฉยๆครับ5555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 136

Ahura

29/04/2015 16:02:32
1,663
คติการสร้างปิรามิดมาจากความเชื่อในการสร้างโลก ( Genesis ) ของอียิปต์
ในจักรวาลอันมืดมิดและเต็มไปด้วยห้วงน้ำ " นัน " อันกว้างใหญ่
เทพเจ้าอตุมปรากฏขึ้นและทรงยกเนินดินขึ้นพ้นห้วงน้ำ และเกิดดวงอาทิตย์ขึ้นตามมา
ดังนั้นปิรามิดคือเนินดินดังกล่าวครับ
จะเห็นได้ว่าคติการสร้างงานของคนยุคโบราณจะอ้างอิงความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลเป็นหลักครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 137

เหน่งบา

29/04/2015 17:42:08
1,866
ตำนานว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น เดิมเป็นพิภพของอสูร (ย้ำ อสูรนะครับ ไม่ใช่มาร ไม่ใช่ยักษ์ เพราะคนละพวกกัน) แล้วเสียท่าเทวะ ถูกแย่งชิงไป จับโยนลงมา แต่ด้วยบุญญาธิการ เลยเกิดภพอสูรขึ้นมารองรับ จากนั้นมาก อสูรก็ทำสงครามกับเทวะเพื่อขอคืนพื้นที่..เทวาสุระสงคราม

เขตระหว่างอินทรา และอสูร จะมีนาคา ครุฑา กุมภัณฑ์ และยักษา รวมถึงท้าวจัตุโลกบาลเฝ้ารักษา(คือก่อนจะถึงดาวดึงส์ จะผ่านจาตุมหาราชิกาภูมิก่อน)

<ตำนานของฝรั่งก็มีบางส่วนคล้ายกัน เทพผู้ครองอำนาจกลุ่มเดิม(ไททัน)ที่มีร่างกายใหญ่โตน่าครั่นคร้าม(????? คล้ายอสูร...รึเปล่า???) ถูกยึดอำนาจโดยเทพกลุ่มใหม่แห่งโอลิมปัส ยังมีประเด็นสอดคล้องเรื่อง"อาวุธสายฟ้า" ของเซอุสที่ทำให้ชนะพวกไททัน กับวชิราวุธของท้าวสักกะที่ปราบพฤตาสูรและพวกพ้องให้แตกพ่ายไป >
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 138

เหน่งบา

29/04/2015 18:39:52
1,866
อ่า...นั่นสิครับ หน้าบันวัดพระเชตุพนผมนึกไม่ออก แต่จำได้ว่าหน้าบันวัดสุทัศน์(ไปไหว้พระมาหลายรอบครับ วัดอาทิตย์มักจะมีอารอุปสมบทในโบสถ์ บรรยากาศดีมาก)เป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ทว่าก็จำรูปไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละครับ

ใครมีโอกาสผ่านวัดสุทัศน์(ตรงเสาชิงช้า หรือแทบตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานครฯ)แนะนำให้เข้าไปเที่ยวนะครับ ไม่ใช่แค่พระพุทธรูปสำคัญ แต่สถาปัตยกรรม และศิลปะแทบทุกจุดในวัด มีของดีของงามมากควรค่ากับการเข้าไปเยี่ยมชม และชื่นชมสมบัติของชาติ ตัววิหารหลวงที่ใหญ่โตมโหฬารและงดงามที่สุดแห่งหนึ่ง(ใหญ่ตามพระประธานในวิหารและครับ ดูภาพในความเห็น 1,2,6) และองค์ประกอบโดยรวมของวัด รวมถึงเป็นที่เก็บพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลด้วย(วัดสุทัศน์ เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๘ ครับ)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 139

เหน่งบา

29/04/2015 20:10:10
1,866




แว่บกลับมาที่เกาะเมือง อยุธยาอีกรอบ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 140

เหน่งบา

29/04/2015 20:16:12
1,866




บานประตูวัดวิหารทอง ที่เหลือรอดจากการเผาทำลายครั้งกรุงแตก วางอยู่ในตำแหน่งกลางพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา บนเกาะเมือง อยุธยา..คือวางอยู่ตรงข้ามพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยในความเห็นที่ 9 กับ 73..ความวิจิตรพิสดารงานแกะสลักชั้นยอด สูงกว่าสองช่วงตัวคน แกะสลักลึกลงไปสามสี่ชั้น
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 141

เหน่งบา

29/04/2015 20:19:04
1,866









ขออภัยครับ ภาพอาจไม่ดีนัก ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ ออกแบบมาให้แสงเข้าเยอะ และกระจายมาก ผมมีปัญญาถ่ายได้แค่นี้เองครับ = ="
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 142

เหน่งบา

29/04/2015 20:20:59
1,866
ลงภาพซ้ำอีกต่างหาก




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 143

เหน่งบา

30/04/2015 19:16:02
1,866




ลายปูนปั้นหน้าบันวัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี สมัยอยุธยา
งานปูนปั้นชั้นสุดยอดของแผ่นดินครับ สุดยอดฝีมือ สุดยอดจินตนาการ สุดยอดพลังสร้างสรรค์ลายไทย

กระทั่งยุคปัจจุบัน ครูช่างที่เมืองเพชรบางคน ยังเคยไปศึกษาเล่าเรียนลายไทยจากที่นี้ และ"in๋" กับลายปูนปั้นนี้จนเกือบเสียสติ เรียกว่าบ้าๆบอๆอยู่สามปี แล้วค่อยถอนตัวจากมิติที่หลงเข้าไปติดอยู่ได้พร้อมกับได้ฝีมือและวิถีลายไทยติดตัวมา(เรื่องจริงนะครับ)

ใช้ภาษาเก่าหน่อยอธิบายคือ คนทำ "ประจุ"พลังเอาไว้ในลายปูนปั้นแรงกล้ามาก คนที่จิตใจ สมาธิ อารมณ์ ความรู้สึก จินตนาการ และศรัทธาสอดคล้องกับท่านผู้สร้าง จะ"รับ"สิ่งที่คนทำถ่ายทอดเอาไว้ได้อย่างลึกลับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 144

FITTY UP

01/05/2015 19:35:46
0
วัดเขาบันไดอิฐ หลวงพ่อแดงท่านศักดิ์สิทธิ์มากครับ เจออภินิหารท่านมากับตัวผมเองเลยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 145

เหน่งบา

01/05/2015 19:38:03
1,866
เชิญเล่าเป็นวิทยาทานให้เพื่อนพ้องน้องพี่ได้เลยครับ คุณFITTY UP ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 146

สันติ

02/05/2015 15:14:16
ขอบคุณคุณเหน่งบา
และ อาจารย์ Ahura

สำหรับข้อมูล รูปภาพ
เป็นสิ่งที่อ่านและดูแล้วมีความรู้สึกดีมากๆ ครับ

ขอบคุณจริงๆ ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 147

Ahura

02/05/2015 19:44:32



ในบรรดาสิ่งมีชีวิตในอุดมคติที่อลังการงานสร้างผมว่าคงไม่มีสิ่งใดเกินช้างเอราวัณครับ
ช้างเอราวัณนั้นไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานนะครับ หากแต่เป็นเทวดาองค์หนึ่งนามว่า ไอยราพัณเทวบุตร เมื่อใดพระอินทร์ประสงค์จะไปที่แห่งใด เทวดาองค์นี้ก็จะ Transform เป็นช้างเผือกมารับใช้ทันที!
ที่ว่าอลังการนั้นมาดูมิติและรายละเอียดช้างเชือกนี้กัน
ความสูง = 2,400,000 เมตร
มีหัวทั้งหมด 33 หัว
หัวใหญ่สุดอยู่ตรงกลางและเป็นที่ประทับของพระอินทร์มีชื่อว่า สุทัศน์ กว้าง 480,000 เมตร
แต่ละหัวมีงา 7 กิ่ง แต่ละงายาว 800,000 เมตร รวมทั้งสิ้น 231 งา
ในแต่ละงาจะมีสระ 7 สระ ในสระมีบัว 7 กอ ในกอบัวมีดอก 7 ดอก แต่ละดอกมีกลีบ 7 กลีบ ในแต่ละกลีบมีนางฟ้า 7 องค์ แต่ละองค์มีสาวใช้ 7 คน
รวมแล้วในงาทั้งหมดจะมีสระ 1,617 สระ
มีกอบัว 11,319 กอ
มีดอกบัว 79,233 ดอก
มีกลีบบัว 554,631 กลีบ
มีนางฟ้า 3,882,417 องค์
มีสาวใช้ 27,176,919 คน
พอแค่นี้ก่อน! นี่ยังไม่รวม accessory ที่ติดตั้งอยู่บนหัวอีกมหาศาลผมมองชิ้นส่วนกับตัวเลขแล้วตาลาย 555555555555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 148

FITTY UP

02/05/2015 20:27:27



คือ๓๖๕ วันได้หยุดงาน๕วันเท่านั้นครับ
กลับแต่ละครั้ง เลยเหมือนกับที่เขาว่าบ้านนอก
เข้ากรุงละครับ 55 เรื่องก็คือทำให้ผมไม่รู้การวิ่งเลนรถในถนนกรุงเทพ
ที่มีถึง๔เลน จำได้ว่าเรื่องเกิดที่แถวสี่แยกวิทยุจากสวนลุม
ข้ามฝั่งไปสนามมวย คือผมข้ามถนนที่มีเกาะกลาง ข้ามไปแล้วเลน๑กำลัง
จะข้ามไปเลน๒ ซึ่งต้องหยุดรอ ที่มีเกาะกลางอีกครั้ง ตาผมก็มองรถที่มาแต่ด้านซ้ายเท่านั้น กำลังจะก้าวลงจากเกาะกลางลงไปที่ถนน ทันใดนั้น

เหมือนมี
อะไรบางหย่างตรึงขาผมไว้ ไม่ให้ก้าวลงไปที่ถนนได้ จนผมแทบจะหน้า
ขมำ เพราะเกาะกลางจะสูงกว่าพื้นถนนครับ ชั่วเสี้ยววินาที นั้นก็มีรถวิ่ง จากทางขวา
ผ่านหน้าผมไป ชนิดที่เขาเรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปดเลยจริงๆ
ผมใจหายวูบ พอตั้งสติได้ก็รีบหันหลังเผ่นกลับไปยังฝั่งสวนลุมอีกครั้ง...
รู้เลยครับ ที่เขาว่าเหมือนใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เป็นแบบนี้นี่เอง...555
[เมื่อก่อน คือสี่สิบกว่าปีมาแล้วนะคร้าบบบ...

หลวงพ่อแดงที่ผมใส่อยู่ครับ เหรียญนี้เป็นเหรียญที่ผมเก็บได้ที่หน้าบ้านครับ ...สมัยนั้นหน้าบ้านที่ผมอยู่ จะเห็นภูเขาไดถึง 3 ลูกคือเขาวัง เขากิ่ว เขาบันไดอิฐ ครับ

ตามความเห็นส่วนตัว พุทธคุณ คือประจุพลัง ที่ท่านผู้มีพลังจิตสูงส่ง ถ่ายทอดเข้าไปในวัตถุมงคลครับ เหมือนคลื่นวิทยุที่อยู่รอบตัวเราครับ
มองไม่เห็นแต่มีจริงครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 149

FITTY UP

02/05/2015 20:44:39
0



ครับ คือเมื่อก่อนผมเคยอยู่ที่เพชรบุรีมาประมาน๖ - ๗ ปี ปีๆ๑จะได้หยุดกลับบ้านที่กรุงเทพ คือสารตจีนและ ตรุษจีนเท่านั้น
คือ๓๖๕ วันได้หยุดงาน๕วันเท่านั้นครับ
กลับแต่ละครั้ง เลยเหมือนกับที่เขาว่าบ้านนอก
เข้ากรุงละครับ 55 เรื่องก็คือทำให้ผมไม่รู้การวิ่งเลนรถในถนนกรุงเทพ
ที่มีถึง๔เลน จำได้ว่าเรื่องเกิดที่แถวสี่แยกวิทยุจากสวนลุม
ข้ามฝั่งไปสนามมวย คือผมข้ามถนนที่มีเกาะกลาง ข้ามไปแล้วเลน๑กำลัง
จะข้ามไปเลน๒ ซึ่งต้องหยุดรอ ที่มีเกาะกลางอีกครั้ง ตาผมก็มองรถที่มาแต่ด้านซ้ายเท่านั้น กำลังจะก้าวลงจากเกาะกลางลงไปที่ถนน ทันใดนั้นเหมือนมี
อะไรบางหย่างตรึงขาผมไว้ ไม่ให้ก้าวลงไปที่ถนนได้ จนผมแทบจะหน้า
ขมำ เพราะเกาะกลางจะสูงกว่าพื้นถนนครับ ชั่วเสี้ยววินาที นั้นก็มีรถวิ่ง จากทางขวา
ผ่านหน้าผมไป ชนิดที่เขาเรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปดเลยจริงๆ
ผมใจหายวูบ พอตั้งสติได้ก็รีบหันหลังเผ่นกลับไปยังฝั่งสวนลุมอีกครั้ง...
รู้เลยครับ ที่เขาว่าเหมือนใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เป็นแบบนี้นี่เอง...555
[เมื่อก่อน หมายถึงสี่สิบกว่าปีมาแล้วนะครับ]

หลวงพ่อแดงที่ผมใส่อยู่ครับ เหรียญนี้เป็นเหรียญที่ผมเก็บได้ที่หน้าบ้านครับ ...

สมัยนั้นหน้าบ้านที่ผมอยู่ จะเห็นภูเขาได้ถึง 3 ลูกคือเขาวัง เขากิ่ว เขาบันไดอิฐ ครับ

ตามความเห็นส่วนตัว พุทธคุณ คือประจุพลัง ที่ท่านผู้มีพลังจิตสูงส่ง ถ่ายทอดเข้าไปในวัตถุมงคลครับ เหมือนคลื่นวิทยุที่อยู่รอบตัวเราครับ
มองไม่เห็นแต่มีจริงครับ ความเห็นผมอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้นะครับ ขอบคุณครับ


พอดีกอปข้อความไม่ครบครับ เอาใหม่ 55
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 150

เหน่งบา

02/05/2015 20:51:16
1,866
อันนี้ฝีมือใครอ้ะครับ เยี่ยมยอดมาก ^ ^

ที่จริง พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณนี่ก็เป็นอลังการงานสร้างที่คนไทยทั้งชาติควรภูมิใจนะครับ







ทราบว่าฝรั่งมาเห็นถึงกับตกตะลึง ว่าประเทศอย่างไทย(ซึ่ง..ต่ำต้อย..ในสายตามัน เอ๊ยเขา) สร้างผลงานที่แสดงถึงความเจริญอย่างสูง ถึงพร้อมทั้งด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และศิลปกรรมอย่างนี้ได้ด้วยหรือ

https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C+%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%93&espv=2&biw=1576&bih=788&tbm=isch&imgil=th0WFBKAf3_M9M%253A%253B-_QKef6AeVp3VM%253Bhttp%25253A%25252F%25252Ftravel.kapook.com%25252Fview5329.html&source=iu&pf=m&fir=th0WFBKAf3_M9M%253A%252C-_QKef6AeVp3VM%252C_&usg=__qyzwPtmI6Nvv-5EsHhC07QzWclY%3D&dpr=1&ved=0CIIBEMo3&ei=vNNEVefQOIWjugTxzICwDA#imgrc=_

ตัดแปะรูปไม่ไหวครับ ไปดูในเน็ทเอาละกัน ของจริง ขนาดใหญ่โตมโหฬารมากมายเลยนะครับ ที่เห็นช้างใหญ่ๆน่ะ เอาจริงเข้า ตัวคน สูงเท่าความสูงของเล็บที่เท้าช้างเท่านั้นนะครับ คิดไว้ว่าใหญ่อย่างไร ไปเห็นของจริงใหญ่ยิ่งกว่านั้น หากมีโอกาสควรไปชมครับ และภายในในนี่ ละเอียดงดงามเกินกว่าผมจะพรรณาได้ครับ

http://www.ancientcitygroup.net/erawan/th/home

ลองดูในยูทูบหน่อยก็ดี

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 151

Ahura

02/05/2015 21:17:32
1,663
ช้างเอราวัณของเสี่ยเล็ก ใช้เทคนิคเดียวกับเทพีเสรีภาพครับ
คือการเคาะแผ่นทองแดงลงบนแม่พิมพ์ไม้ แล้วประกบเข้ากับโครงสร้างเหล็ก
แต่ขนาดและรายละเอียดยังเป็นแค่ขี้ฝุ่นของช้างเอราวัณในอุดมคติครับ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 152

เหน่งบา

09/05/2015 07:56:48
1,866

























รูปพระ(เครื่อง)ตรีกาย ศิลปะเขมร ลพบุรี สุโขทัย ทั้งเนื้อดิน และเนื้อชิน(โลหะ)

ไม่ได้กะเล่นเรื่องพระเครื่อง เพราะคราวนี้หลายท่านอาจจะเป็นนักเล่นพระเครื่องอยู่แล้ว และมีความรู้ดีกว่าผมมาก ที่เอารูปมาให้ดู คือจะให้ดูจินตนาการและฝีมือในการสร้างสรรค์พุทธศิลป์ของคนรุ่นเก่า

แล้วพระตรีกาย(บางคนเรียกพระสามพี่น้อง)คืออะไร? หมายถึงพระพุทธเจ้าในอดีตหรือ(ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นสี่องค์ หรือห้าองค์ถ้ารวมในอนาคต

(ไว้จะมานำเสนอข้อมูลต่อครับ ต้องขอเวลาพิมพ์ก่อน ^ ^)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 153

เหน่งบา

14/05/2015 00:03:10
1,866
มาแล้วครับ ทิ้งระยะนานไปหน่อย

แนวคิดเรื่องตรีกาย ได้รับการพัฒนาขึ้นภายหลังพุทธปรินิพพานไม่นานนัก สืบเนื่องจากการที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติให้บุคคลใดเป็นประมุขแห่งสงฆ์ ในขณะที่จำนวนภิกษุก็เพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา ทำให้เกิดความเห็นที่แตกต่างทั้งในเรื่องของวินัยและหลักธรรม เมื่อไม่มีประมุขที่สามารถตัดสินชี้ขาด เวลาเกิดข้อขัดแย้งพระภิกษุก็จะยึดมั่นในความเห็นของหมู่คณะที่ตนสังกัดอยู่ ยังผลให้เกิดสำนักพุทธต่างๆตามมานับได้เป็นสิบแห่ง

แต่เดิมความขัดแย้งเป็นเรื่องของวินัยสงฆ์ข้อปลีกย่อย ต่อมาเกิดความเห็นที่แตกต่างในเรื่องของหลักธรรมคำสั่งสอน ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าของตนเป็นพุทธวจนะ ดังนั้นศรัทธาในพระธรรมจึงเริ่มจางหาย ชาวพุทธไม่รู้ว่าควรจะเชื่อหลักธรรมของฝ่ายใด หรือคำสอนของใครน่าเชื่อถือและนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ดีกว่า

ในเวลานั้นกระแสที่เกิดขึ้นใหม่คือการไขว่คว้าหาที่พึ่งในพระพุทธเจ้าซึ่งนั่นนำไปสู่ความเชื่อว่าพระพุทธองค์มีสามกาย กายที่หนึ่งคือ ธรรมกายหรือกายธรรม อันเป็นนิรันดรไม่ขึ้นกับกาลและสถานที่ ตามคติมหายาน ธรรมกายเป็น กายที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เป็นแก่นแท้ เป็นสัจจธรรม ที่ดำรงอยู่ไม่มีวันสลาย ธรรมกายจัดเป็นนิจจัง สุขขัง ศูนยตา และบริสุทธิ์ อีกทั้งธรรมกายยังสัมพันธ์กับเรื่องราว ของ ตถาคตครรภ์ ,พุทธภาวะ และรัตนทั้งสาม คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะอีกความหมายหนึ่งคือความตรัสรู้ธรรมคือพระนิพพานนั่นเอง “ ธรรมกาย ” หมายถึง พระคุณทั้งหลายของพระพุทธองค์ อันมีพระเมตตาคุณ , พระกรุณาธิคุณ , พระปัญญาคุณ ซึ่งมีรัศมีแผ่กว้าง แผ่คลุมไปโดยทั่ว ไร้เงื่อนไขและไร้ซึ่งข้อจํากัดใดๆ ทั้งปวง เป็นสภาวะอมตะ ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีท่ามกลางและไม่มีที่สุด
พระธรรมกาย เป็นพระนิรันดรกายของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระโพธิญาณซึ่งปรากฏอยู่ทุกแห่งหน พระธรรมกายนี้อยู่เหนือกาลเทศะ ไม่อยู่ใต้อำนาจของไตรลักษณ์ พระธรรมกายนี้ทรงไว้ซึ่งอันติมภาพอย่างสัมปุรณะ ย่อมอยู่เหนือความเข้าใจและความคาดคะเนของสามัญมนุษย์ ซี่งรับรู้ไม่ได้ เป็นที่มาของพระสัมโภคกายและพระนิรมานกาย โดยที่พระรูปกายทั้งสองต้องขึ้นอยู่กับพระธรรมกายนี้

กายที่สองคือ สัมโภคกาย หรือกายทิพย์อันเป็นพระกายละเอียดของพระพุทธเจ้าขณะอยู่ในฌาณสมาบัติและเป็นแสงสว่างแผ่ซ่านออกไปไม่สิ้นสุด กายนี้ฝ่ายเถรวาทไม่รับรอง สัมโภคกาย คือพระกายที่เป็นทิพยภาวะ ประทับอยู่ ณ พุทธเกษตรของพระองค์ ทรงแสดงพระสัทธรรมอยู่ในแดนอื่นๆ สัมโภคกายดำรงอยู่เพื่อช่วยเหลือพระโพธิสัตว์ที่ปฏิบัติผ่านทสภูมิแล้ว เป็นกายที่อยู่ระหว่างธรรมกายและนิรมาณกาย ดำรงอยู่นิรันดร พ้นจาก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นกายที่มีอยู่ก่อนนิรมาณกาย และมีอยู่หลังปรินิพพานของนิรมาณกาย

ส่วนกายที่สาม คือ นิรมาณกาย หรือกายเนื้อ อันเป็นพระกายของปุถุชนที่ต้องเกิดแก่เจ็บตาย และนั่นก็คือพระศากยมุนีพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์ คือพระกายที่พระองค์นิรมิตขึ้นมา เป็นพระกายเนื้อที่คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ เช่น ความทรุดโทรมด้วยความชรา และความดับขันธ์ เป็นต้น เป็นพระกายที่ทรงนิรมิตมาเพื่อบำเพ็ญพุทธกิจ คัมภีร์ปัญจวีสติ แสดงว่า พระโพธิสัตว์หลังจากได้รับธรรมจากการปฏิบัติบำเพ็ญบารมีจนได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แนวคิดตรีกายเกิดจากการให้น้ำหนักศรัทธาที่พระพุทธเจ้ามากกว่าพระธรรม เพราะพระธรรมตีความได้หลากหลายตามจริตของบุคคล ดังนั้นการกลับไปหาพระพุทธบิดรจึงเป็นที่สุดและถูกต้องกว่าการเชื่อพระธรรม คำสอนจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับผู้สอนเป็นหลัก จึงไม่มีความแน่นอน หากจะหาความความแน่นอนต้องกลับไปสู่แหล่งที่มาของคำสอนนั้น ซึ่งก็คือพระพุทธเจ้า

หลังจากพุทธปรินิพพานได้ประมาณสามร้อยปี มีนักปราชญ์ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยนิยมประพันธ์และศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ มีบทกวีและบทประพันธ์ชั้นครูเกิดขึ้นมากมายในยุคนี้และตกทอดมาถึงปัจจุบัน จินตนาการเกี่ยวกับพระพุทธองค์ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของมหาบุรุษ พระชาติกาล และพุทธพยากรณ์ได้รับการเน้นย้ำเป็นพิเศษ เหล่านี้ก่อให้เกิดความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าองค์แท้หรือกายธรรมยังดำรงอยู่ ไม่ได้ดับสูญไปไหน องค์ที่ปรินิพพานเป็นเพียงภาค(หรือปรากฎการณ์)หนึ่งของกายธรรมเท่านั้น

ตามประวัติศาสตร์แล้ว นิกายมหาสังฆิกะคือกลุ่มแรกที่พยายาามทำให้พระพุทธเจ้าเป็นมากกว่ามนุษย์สามัญชน พวกเขาเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งเมื่อผ่านการสั่งสมบารมีมากยาวนานแล้ว จะสิ้นสุดหน้าที่หลังจากประสูติในกายเนื้อแค่แปดสิบปี

กว่าบุคคลหนึ่งจะทำความดีจนมีบารมีธรรมเต็มเปี่ยมขนาดได้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องกินเวลานับได้เป็นอสงไขยมหากัป ซึ่งนั่นเป็นเวลาอันยาวนานจนประมาณไม่ได้ จากนั้นก็ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานไปภายในเพียงชั่วอึดใจเดียวเมื่อเทียบกับเวลาที่สั่งสมมาทั้งหมด เป็นไปได้อย่างไรสำหรับมหาบุรุษที่ตั้งความปรารถนาจะช่วยเหลือเวไนยสัตว์ด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ ที่จะยอมละทิ้งหรือดับปณิธานของตนเองด้วยการปรินิพพาน กล่าวโดยง่ายก็คือ ช่วงเวลาแปดสิบปีนั้นทรงช่วยเหลือสัตว์ได้จำนวนน้อยมากหากเทียบกับกับพระปณิธานอันแรงกล้า

ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงเป็นเพียงปรากฎการณ์อย่างหนึ่งที่เป็นส่วนย่อยของความจริงทั้งหมด ความจริงคือ พระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ในอีกสองกายที่เหลือ และนี่เองเป็นเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนการมีอยู่ของพระชินพุทธะทั้งห้าพระองค์

แต่การมีอยู่ของพระกายที่เหลือไม่อาจเข้าใจได้ด้วยภาษาชาวบ้าน เพราะไม่มีเรื่องของบุคคลตัวตนอยู่ในกายทั้งสองที่เหลือนี้เลย ธรรมกายเป็นเหมือนกฎหรือหลักการสากลที่เป็นจริงเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและเมื่อใด เป็นโพธิจิต(จิตตรัสรู้) หรือศักยภาพที่เชื่อมโยงจิตปุถุชนทั้งหลายเข้าไว้ด้วยกัน

ส่วนสัมโภคกายก็เป็นภาพลักษณ์ของพระพุทธเจ้าอันไม่ขึ้นกับกาลเป็นต้นแบบแห่งจิตมนุษย์ ไม่ใช่อุดมคติหรือสภาพสมบูรณ์แบบที่หยั่งไม่ถึงแต่คือสัญลักษณ์และประสพการณ์ที่ทำให้จิตปุถุชนกลายเป็นจิตอริยบุคคล

กล่าวโดยเปรียบเทียบได้ว่า สัมโภคกายเป็นความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ในแง่นี้มนุษย์ทุกคนจึงมีสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงอยู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่นิยมใช้มากที่สุดเพื่อเป็นวิถีทางนำเราไปสู่ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ(หรือหยั่งถึงสัมโภคกายของพระพุทธเจ้า) ก็คือภาภบุคคลาธิษฐาน(personification)ของพระพุทธเจ้าในรูปแบบและลักษณะต่างๆกันสถิตในแผนภาพจักรวาลจำลอง(cosmogram)ที่เรียกว่า มณฑล(mandala)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 154

เหน่งบา

14/05/2015 00:17:27
1,866
มันดาลาที่ว่า่ครับ




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 155

SARUS

14/05/2015 00:42:27
28
อื้อหือ..มิน่า หายไปหลายวัน พิมพ์ซะยาวเฟื้อยเลยคับพี่ รายละเอียดเยอะมาก อ่านแล้วงงๆอยู่บ้าง พอเข้าใจลางๆ

ถามแทรกนิดนึง เพราะพอเห็นมันดาลานี่ ผมว่าพี่มีเรื่องไปต่อยาวแน่

ผมเคยเห็นภาพพระที่คล้ายๆพระตรีกายที่พี่ว่าแต่ไม่เหมือน ชื่อแปลกๆ รู้สึกจะเป็นนารายณ์ทรงปืนหรือไงเนี่ย ต่างกับพระตรีกายยังไงคับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 156

เหน่งบา

14/05/2015 01:06:51
1,866



เอารูปมาให้ดูก่อนครับ ดึกแล้วอธิบายไม่ไหวขอไปนอนก่อน

ที่จริงหวังว่า คนที่มีความรู้มากกว่าผม จะมาอธิบายครับ เพราะเกี่ยวกับพระเครื่องนี่รู้น้อยมาก ผมมองในแง่ศิลปะ แต่เกี่ยวกับพระเครื่อง มันมีมิติที่ลึกซึ้ง หลากหลายแง่มุมให้ศึกษามากกว่าแค่รูปแบบอย่างเดียว ทั้งในแง่ความเชื่อ ปรัชญา ศาสนา กระทั่งการเมือง หรือแค่วิธีการจัดสร้าง มวลสาร การเผา ฯลฯ มีศิลปะวิทยาการหลายสาขามาเกี่ยวข้องครับ

ผมให้ข้อมูลได้แค่ด้านเดียว คือเกี่ยวกับแนวคิดในการสร้าง คือ ด้านความเชื่อ(ศาสนา)ครับ ไว้พรุ่งนี้รอดู เผื่อจะมีข้อมูลดีๆจากท่านอื่นมาร่วมครับ ^ ^

ที่แน่ๆ ไม่เกี่ยวกับพระนารายณ์ และไม่เกี่ยวกับปืนตรงไหนเลยครับ 55
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 157

เหน่งบา

14/05/2015 07:05:47
1,866






แถมให้อีกภาพครับ สวยจริงๆ
พระนารายณ์ทรงปืน เป็นพระเครื่องเนื้อชิน กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ลพบุรีบ้านผมเองครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 158

Ahura

14/05/2015 10:27:00
1,663
ในแง่การ design เลข 3 ถือเป็น absolute balance ครับ
เป็นจำนวนที่ให้ความรู้สึกด้านดุลยภาพมากที่สุด ซึ่งตอบสนองความสูงส่งและความสมบูรณ์ของอำนาจเหนือธรรมชาติ
ดังนั้นแทบทุกคติความเชื่อในโลกจึงมักใช้ลักษณะสามประการเป็นพื้นฐานของการแสดงออก
ในเมโสโปเตเมียเทพพื้นฐานใช้สามองค์ (อาทิตย์, จันทร์, ดาว) พราหมณ์ ฮินดู (ตรีมูรติ) คริสต์ (ตรีเอกภาพ พระเจ้า, พระบุตร,พระจิต)
ส่วนของพุทธก็ตรีรัตนะ ซึ่งทั้งหมดจำนวนสามจึงเป็นฐานใหญ่ของสิ่งเคารพบูชาสูงสุด
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 159

Ahura

14/05/2015 10:46:36
1,663
ส่วนพระนารายณ์ทรงปืน (ภาษาชาวบ้าน) ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดทางพุทธศิป์และใช้เรียกผิดๆสืบต่อกันมาาวนาน (จนกลายเป็นถูก555)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 160

เหน่งบา

15/05/2015 19:25:30
พระตรีกาย หมายถึงกายทั้งสามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันมี ธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมาณกาย ดังที่อธิบายไว้ยาวเฟื้อยข้างบนครับ

ส่วนนารายณ์ทรงปืน ดูจากรูป ที่เห็นตรงกลางเป็นพระนาคปรก ซึ่งโดยนัยยะเป็นปางที่เน้นเกี่ยวกับอิทธิปาฎิหาริย์ ด้านซ้ายมือ(ของเรา)ที่เห็นเป็นสี่กร ไม่ใช่พระนารายณ์ แต่เป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ขวามือ(ของเรา) ด้านซ้ายของ พระปางนาคปรก ใน พระนารายณ์ทรงปืน องค์นี้เป็นรูปเคารพของ พระนางปรัชญา ปารมิตาเทวี เป็นเทพนารีของศาสนาพราหมณ์ ลัทธิบูชาศักติ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ยุคที่พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานกำลังเป็นที่แพร่หลายในอินเดีย

"ศักติ" ที่จริงแล้ว มิได้มุ่งหมายความเน้นไปในการเป็น "ชายา" หากแต่เป็นพลังงานควบคู่ที่อยู่คนละด้านกันครับ

พระนารายณ์ทรงปืน เป็นพระพิมพ์ในสมัยลพบุรี ต่อมาอิทธิพลของศิลปะแบบนี้ได้มีการสร้างสืบทอดกันอย่างต่อเนื่องในหลายเมือง ดังปรากฏที่มีการขุดพบพระพิมพ์นี้จากหลายกรุ อาทิ ในลานกรุทุ่งเศรษฐี จ.กำแพงเพชร, กรุวัดเขาพนมเพลิง จ.สุโขทัย, กรุวัดชุมนุมสงฆ์ จ.สุพรรณบุรี, กรุวัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา, กรุศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ และกรุที่นิยมสุด คือ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.ลพบุรี
พระนารายณ์ทรงปืน มีทั้งเนื้อชินเงิน เนื้อดิน และเนื้อตะกั่วสนิมแดง บางองค์มีทองเก่าปิดมาด้วย บางองค์ทาชาดสีแดงแบบแห้งสนิทเกาะติดแน่น ด้านหลังมีทั้งแบบลายผ้าเล็กๆ และแบบหลังเรียบตัน นอกจากยังมีการพบพระพิมพ์นี้ได้ที่ จ.พิจิตร เป็นเนื้อชินเขียว องค์พระมีขนาดเล็กกว่าของเมืองอื่นๆ

พุทธลักษณะ เป็นพระแผงใหญ่ ขนากว้าง ๕.๓ ซม. สูง ๖.๗ ซม. มีรูปเคารพ ๓ องค์ ในซุ้มกนกเสมาครอบแก้วแบบกว้าง เหนือซุ้มครอบแก้วขึ้นไปประดับด้วยลวดลายอย่างละเอียดมากมาย ฐานด้านล่างที่ประทับของรูปเคารพทั้ง ๓ องค์ เป็นฐานที่ยาวตรง พร้อมมีลายขีดคู่ ที่มีรายละเอียดเล็กๆ ประกับกันเป็น ๒ ชั้น สวยงามมาก
อ.ประชุม กาญจนวัฒน์ ปรมาจารย์ด้านพระกรุ กล่าวถึงชื่อพระพิมพ์นี้ที่เรียกว่า “พระนารายณ์ทรงปืน” ก็เพราะมีผู้เห็นพระโพธิสัตว์ที่ยืนประทับทรงพวงประคำ, คัมภีร์, ดอกบัว และหม้อน้ำอมฤต อยู่บนพระหัตถ์ทั้ง ๔ นั้น โดยเห็นเป็นองค์นารายณ์ทรงปืน เลยเรียกพระพิมพ์นี้ด้วยความเข้าใจผิดกันเรื่อยมาจนทุกวันนี้ แต่พระพิมพ์นี้ ก็ทรงไว้ซึ่งพระพุทธคุณ คงมีด! คงไม้! และคงปืน!
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 161

เหน่งบา

20/05/2015 12:00:35
1,866



ประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ศิลปะวัตถุชิ้นเยี่ยมของเมืองไทย

ในบรรดาโบราณวัตถุของเมืองไทย ชิ้นเอกชิ้นหนึ่งคือประติมากรรมครึ่งองค์รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรซึ่งค้นพบที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓
พระโพธิสัตว์องค์นี้มีความงามอย่างลึกซึ้ง เมื่อผู้ใดได้พบเห็นก็จะชื่นชมหลงใหลในความงดงามราวกับเทพยดาเสกสรรปั้นแต่ง ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงประจักษ์เมื่อได้ทอดพระเนตรประติมากรรมชิ้นนี้ ตามที่ปรากฎในงานเขียนเรื่อง "แนวสังเขปของโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน" ของท่านพุทธทาสภิกขุว่าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรองค์ที่งามมากนั้น "พบที่สนามหญ้าตรงหน้าบริเวณกำแพงพระบรมธาตุ(ไชยา)ออกไป สมเด็จกรมพระยาดำรงฯเสด็จมาพบด้วยพระองค์เอง...ท่านทอดพระเนตรเห็นตั้งแต่บนหลังช้าง ช้างยังไม่ทันทรุดตัวลงอย่างเรียบร้อย ท่านรีบลงมาอย่างกะว่าหล่นลงมา ตรงไปอุ้มรูปนี้ขึ้นด้วยพระองค์เอง

.....เมื่อพาเข้ากรุงเทพฯ ถึงวันที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯจะต้องเข้าประชุมเสนาบดีตามปกติ ซึ่งมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นประธานในการประชุม สมเด็จกรมพระยาดำรงฯแกล้งเสด็จสายไม่น้อยกว่า ๓๐ นาที ถึงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บ่นไม่พอพระทัยและกระสับกระส่าย และทรงบ่นว่าไม่เคยพลาดเวลามาสายเลย
ครั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯไปถึง มีมหาดเล็กอุ้มอวโลกิเตศวรสำริดองค์ใหญ่นี้ตามไปด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจ้องอย่างตื่นเต้นและตรัสด้วยความตื่นเต้นว่า

"อะไรของเธอๆ ดำรง"

วันนั้น เลยไม่ต้องประชุมข้อราชการ กลายเป็นเรื่องชมและวิพากษ์วิจารณ์รูปปฏิมาอวโลกิเตศวรสำริดองค์นี้เสียจนหมดเวลา...

ความงดงามแห่งรูปลักษณ์ขององค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรดังกล่าว มีอานุภาพสามารถสะกดจิตใจและอารมณ์ของผู้ที่ได้พบเห็นให้หยุดนิ่งและดื่มด่ำในความงามของศิลปะที่ปรากฎออกมาเป็นรูปธรรมได้
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 162

เหน่งบา

21/05/2015 05:39:05
1,866
วิหารโพธิสัตว์กวนอิมปางเมตตาธรรม เมืองโบราณ

สถาปัตยกรรมทรงไทยรุ่นใหม่อันงามสง่า





ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 163

เหน่งบา

30/05/2015 02:51:45
1,866
มาอัพเดทกระทู้ลมแทบใส่ ภาพเน่าไปบานเลย เพราะฝากรูปไว้ที่ ohozaa T_T
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 164

เหน่งบา

23/06/2015 22:40:33
1,866



ไม่รู้ว่าทำไม แต่ภาพที่เว็บฝากไฟล์ล่มกลับมาแล้ว สาธุ..(ถ้าเป็นเว็บอื่น ผมแก้ไขลงรูปใหม่ได้ครับ แต่เว็บเฮีย ทำไม่ได้)

ฉลองด้วย เหวัชระ ศิลปะลพบุรีครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 165

Ahura

23/06/2015 23:06:41
1,663



ฉลองภาพหายด้วยรูปสลัก "พิธีเบิกพรหมจรรย์" นะครับ
รูปนี้อยู่บริเวณหน้าบัน ด้านทิศใต้ของมณฑปปราสาทเขาพนมรุ้ง
เป็นรูปนักบวชตันตระกำลังใช้อวัยวะเพศชาย (ปลอม)เบิกพรหมจรรย์ให้สาวแรกรุ่น(กระเทาะหลุดเหลือแต่เท้าที่ถูกนักบวชจับไว้)
โดยมีเพื่อนสาวสองคนนั่งต่อคิวด้วยความเสียวสยอง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 166

เหน่งบา

24/06/2015 00:00:18
หายไปแบบนี้ ยังกะโดนเซนเซ่อร์เลยนะครับ = ="

ว่าแต่ อาจารย์ฉลองภาพหาย ด้วยเหตุดังฤาครับ...
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 167

เหน่งบา

24/06/2015 00:05:34
1,866



งานนี้ แฟนการ์ตูนญี่ปุ่นคงรู้จักกันดี ฟุโดเมียวโอครับ
ไว้จะมาว่าเรื่องเกี่ยวกับเหวัชระและฟุโดเมียวโอต่อ ว่าเกี่ยวกับพุทธศาสนาอย่างไร

(เมียวโอ ถ้าภาษาจีน = เม้งอ้วง ครับ แปลว่าเจ้าแห่งแสงสว่าง บางที่ก็ตีความแสงสว่างว่าหมายถึงปัญญา เลยแปลไทยเมียวโอหรือเม้งอ้วงว่า วิทยราชก็มี)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 168

เหน่งบา

22/07/2015 06:52:55
สองเดือนก่อน ไปวัดอรุณมา

เลยได้ไปถ่ายภาพพระเจดีย์จุฬามณีของจริง(หมายถึงของที่วัด)กับท้าวจัตุโลกบาลที่สถานที่จริง ไม่ใช่แค่สแกนภาพในหนังสือ จึงขอขายของเก่าจากความเห็น37 อีกรอบครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 169

เหน่งบา

22/07/2015 06:55:33
1,866



พระจุฬามณีเจดีย์ มีรูปท้าวจตุโลกบาลยืนเฝ้า ๔ ทิศ

เดิมทีฐานชุกชีวิหารน้อยในวัดอรุณราชวรารามนี้ เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตในสมัยกรุงธนบุรี ก่อนจะถูกอัญเชิญไปยังวัดพระแก้ว เมื่อคราวผลัดแผ่นดินเป็นกรุงรัตนโกสินทร์

จุฬามณีเจดีย์ที่จำลองขึ้นนี้ หมายถึง พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์(ชั้นที่สอง ในฉกามาพจรภูมิทั้งหกชั้น)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 170

เหน่งบา

22/07/2015 07:02:18
1,866
คราวนี้ ได้ถ่ายรูปรูปจำลองท้าวจัตุโลกบาล ซึ่งหากสันนิษฐานตามรูปแบบศิลปะที่เห็น เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ลักษณะการวางผังกำหนดตำแหน่ง เชื่อว่า รูปท้าวจัตุโลกบาลที่เห็น น่าจะเป็นฝีมือช่างอยุธยาแท้ๆครับ เพราะ รูปแบบศิลปะ เป็นอยุธยาตอนปลายชัดเจน ฝีมือละเอียดอ่อนงดงาม และการกำหนดผังสถาปัตย์ที่มีท้าวจัตุโลกบาลยืนพิทักษ์รักษาสี่ทิศนี่ ในความรู้อันน้อยนิดของตัวเอง ไม่เคยเห็นที่ใดเลย หากไม่ใช่พระเจดีีย์จุฬามณี(ซึงน่าจะสร้างขึ้นภายหลัง)สิ่งที่เคยอยู่ ณ ตำแหน่งนี้ ต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ก็น่าจะตรงกับข้อมูลที่ได้อ่านมา คือ พระแก้วมรกรต เคยประดิษฐานอยู่ที่นี่
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 171

เหน่งบา

22/07/2015 07:02:52
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 172

เหน่งบา

22/07/2015 07:03:29
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 173

เหน่งบา

22/07/2015 07:03:59
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 174

เหน่งบา

22/07/2015 07:04:32
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 175

เหน่งบา

22/07/2015 07:08:15
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 176

เหน่งบา

22/07/2015 08:29:35
1,866
ที่จริง นอกจากวิหารที่ประดิษฐานเจดีย์จุฬามณีแล้ว วัดอรุณ ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๒ ยังมีโบราณสถาน และโบราณวัตถุ อีกทั้งเรื่องราวอีกมากมายให้ศึกษาเรียนรู้ครับ ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะ และ ไม่ได้อยู่ไกลเลย สำหรับคนกรุงเทพ จากสนามหลวง เดินไปท่าเตียน เพียงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาก็ถึงแล้ว อยากให้หาโอกาสไปเยือนกันครับ และไปแล้ว ยังมีของอร่อยให้ชิมหลายอย่าง ซึ่งจะแจ้งข้อมูลในกระทู้อื่น ^ ^

ตัดแปะข้อมูลจากวิกิพีเดียให้อ่านกันครับ
วัดอรุณราชวราราม หรือที่นิยมเรียกกันในภาษาพูดว่า วัดแจ้ง หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า วัดอรุณ เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา ว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอก และกลายเป็นวัดมะกอกนอกในเวลาต่อมา เพราะได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านเรียกวัดที่สร้างใหม่ว่า วัดมะกอกใน (วัดนวลนรดิศ) แล้วจึงเรียกวัดมะกอกซึ่งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ว่า วัดมะกอกนอก ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้งนั้น เชื่อกันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง แต่ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเพลงยาวหม่อมภิมเสน วรรณกรรมสมัยอยุธยาที่บรรยายการเดินทางจากอยุธยาไปยังเพชรบุรี ได้ระบุชื่อวัดนี้ไว้ว่าชื่อวัดแจ้งตั้งแต่เวลานั้นแล้ว

เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับนั้น ทรงเอาป้อมวิชัยประสิทธิ์ข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้งตัวพระราชวัง แล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์สมัยอยุธยา และเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2322 ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามใน พ.ศ. 2327

ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมา และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” ต่อมามีพระราชดำริที่จะเสริมสร้างพระปรางค์หน้าวัดให้สูงขึ้น แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสริมพระปรางค์ขึ้นและให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่องที่จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดต่อบนยอดนภศูล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธารามหลายรายการ และให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม”
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 177

เหน่งบา

22/07/2015 08:44:01
1,866



มีโอกาสไปพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร มาด้วยครับ(อยู่ติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)แน่นอนว่ามีข้าวของมากมายจารนัยไม่หมด ผมมีความรู้น้อยเกินกว่าจะบรรยายครับ ทำได้แค่ถ่ายทอดความงดงามที่ได้พบเห็นเพียงส่วนเสี้ยว เพราะกล้องเมื่ออยู่กับมือผม ก็จะกลายเป็นเสมือนกล้องปัญญาอ่อนเสียทุกตัวไป T^T และเนื่องจากเดินทางไปเที่ยวกรุง(เทพ)ด้วยรถโดยสารจากต่างจังหวัด ดังนั้น ภาพถ่ายก็จะไม่ได้ใช้ขาตั้ง...มีปัญญาความสามารถถ่ายได้แค่นี้แหละครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 178

เหน่งบา

22/07/2015 08:44:58
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 179

เหน่งบา

22/07/2015 08:45:26
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 180

เหน่งบา

22/07/2015 08:45:50
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 181

เหน่งบา

22/07/2015 08:46:24
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 182

เหน่งบา

09/08/2015 09:59:12
1,866





รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกวนอิม แกะสลักจากหินขาวด้วยฝีมือปราณีตงดงาม เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารบนเขาเซียน ต่อมาเมื่อวิหารไม่มีคนดูแล ต้องปิดล็อค เปิดให้เข้าชมเฉพาะช่วงตรุษจีน เลยอัญเชิญลงมาที่มูลนิธิถ้ำประทุนที่อยู่เชิงเขา แล้วสร้างวิหารเล็กครอบ ผมมีปัญญาถ่ายภาพได้แค่นี้เองครับ หากได้ไปเห็นของจริง จะรู้สึกได้เลยว่านี่เป็นศิลปวัตถุชิ้นหนึ่ง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 183

เหน่งบา

09/08/2015 09:59:57
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 184

เหน่งบา

11/08/2015 05:42:26
1,866
พระกษิติครรภโพธิสัตว์ (อ่านว่า /พฺระ-กะ-สิ-ติ-คับ-พะ-โพ-ทิ-สัด/, สันสกฤต: क्षितिगर्भ; Kṣitigarbha; กฺษิติครฺภ) เป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นที่นับถือในศาสนาพุทธนิกายมหายานในภูมิภาคเอเชียตะวันออก มักมีรูปลักษณ์เป็นพระภิกษุมหายาน นามของพระโพธิสัตว์องค์นี้อาจแปลได้ว่า "ขุมทรัพย์แห่งแผ่นดิน" ("Earth Treasury"), คลังแห่งแผ่นดิน ("Earth Store"), "บ่อเกิดแห่งแผ่นดิน"( "Earth Matrix"), หรือ "ครรภ์แห่งแผ่นดิน" ("Earth Womb")

พระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้รับมอบหมายจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าให้เป็นผู้แสดงธรรมโปรดสัตว์ในกามภูมิ 6 ในช่วงที่พระองค์ปรินิพพานไปแล้วและพระศรีอริยเมตไตรยยังไม่ได้ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระกษิติครรภมีปณิธานสำคัญในการช่วยสัตวโลกทั้งหมดให้พ้นจากนรกภูมิ หากนรกยังไม่ว่างจากสัตว์นรกก็จะยังไม่ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุดังกล่าว พระองค์จึงถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์แห่งสัตว์นรกทั้งปวง เช่นเดียวกับการเป็นผู้คุ้มครองเด็กทั้งหลาย และเทพอุปถัมภ์ของเด็กที่เสียชีวิตและทารกที่ตายจากการแท้งในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

รูปลักษณ์ของพระโพธิสัตว์องค์นี้ ปกติมักทำเป็นรูปพระภิกษุมหายาน มีรัศมีเปล่งรอบพระเศียรซึ่งปลงพระเกศาแล้ว หัตถ์หนึ่งทรงจับไม้เท้าซึ่งใช้เปิดประตูนรก อีกหัตถ์หนึ่งทรงถือแก้วจินดามณี (แก้วสารพัดนึก) เพื่อประทานแสงสว่างท่ามกลางความมืด





พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์เป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ 4 พระองค์ ซึ่งเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในศาสนาพุทธมหายานแถบเอเชียตะวันออก ร่วมกับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ และพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์

จิตรกรรมฝาผนังสมัยก่อนราชวงศ์ถังของจีนที่ถ้ำผาม่อเกาและถ้ำผาหลงเหมิน ได้แสดงภาพของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ไว้ตามความนิยมในลักษณะดั้งเดิมของพระโพธิสัตว์ หลังสมัยราชวงศ์ถัง รูปลักษณ์ของพระองค์ได้แพร่หลายมากขึ้นในลักษณะของพระภิกษุมหายานถือไม้เท้าและลูกประคำ

พระนามเต็มของพระองค์ในภาษาจีนคือ "ต้าหยวนตี้จั้งผู่ซ่า" (จีนตัวย่อ: 大願地藏菩萨; จีนตัวเต็ม: 大願地藏菩薩; พินอิน: Dàyuàn Dìzàng Púsà) ซึ่งแปลว่า มหาปณิธานกษิติครรภโพธิสัตว์ นามดังกล่าวนี้แสดงถึงปณิธานของพระองค์ซึ่งปรากฏอยู่ในพระสูตรมหายานต่าง ๆ ระบุว่าจะทรงรับภาระในการสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งปวงที่ในอยู่ในกามภูมิทั้งหกในโลก อันได้แก่ สัตว์นรก, เปรต, อสูร, เดรัจฉาน, มนุษย์ และเทพ (หมายความถึงสวรรค์ฉกามาพจรทั้ง 6 ชั้น) ตลอดยุคระหว่างศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้าและพระศรีอริยเมตไตรย ด้วยบทบาทที่สำคัญดังกล่าว ศาลาหรือวิหารซึ่งอุทิศแด่พระโพธิสัตว์พระองค์นี้จึงมักปรากฏอยู่เป็นศูนย์กลางของวัดพุทธมหายานฝ่ายตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในศาลาอนุสรณ์สถานหรือสุสานต่าง ๆ

ในประเทศไทยเอง มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย (佛眼禪林弘法基金會:地藏道場) พุทธมณฑลสาย 6 ได้สร้างวัดหรือธรรมสถาน เพื่ออุทิศแด่องค์พระกษิติครรภโพธิสัตว์โดยเฉพาะ โดยสร้างองค์พระกษิติครรภ ด้วยหินแกรนิตแกะสลักสูงรวมฐาน 13.99 เมตร และพระกษิติครรภ 6 ปาง ที่มีคติมาจากปุณฑริกสมาธิสูตร (蓮華三昩經) ที่ว่าพระกษิติครรภ์นิรมาณกายไปโปรดสัตว์ทั้ง 6 ภูมิ พร้อมพญายมราชและนายนิรยบาล เป็นหินแกะสลักสูงใหญ่กว่าคน รวม 25 องค์ ถือเป็นกษิติครรภมณฑล ที่มีไม่กี่แห่งในโลก
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 185

เหน่งบา

11/08/2015 05:59:20
1,866
หากจะกล่าวถึงวิหารธรรมของพระโพธิสัตว์อันมี
1.สุทธิ (ความบริสุทธิ์ ถูกต้องถึงที่สุด)
2.ปัญญา
3.เมตตา(ความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข)
4.ขันติ

ด้วยปณิธานที่ว่า หากใดแดนนรกยังไม่ว่างเปล่า จะไม่ขอเข้าสู่พุทธภูมิ ก็ย่อมแปลว่า พระกษิติครรภโพธิสัตว์จะไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าตลอดไป ย่อมแสดงถึงขันติธรรมและพระเมตตาคุณอันหาที่สุดมิได้ เพราะเวไนยสัตว์ย่อมไม่มีวันที่จะปราศจากความชั่ว ไม่มีวันที่ไร้ความมืดบอดหลงผิด

ภาพพระโพธิสัตว์สวมมงกุฏมาลาห้าพุทธพระองค์นี้จึงได้รับความเคารพ การบูชาอย่างสูงและมักพบเห็นได้ในศาลเจ้าของชนเชื้อชาวจีนอยู่เสมอครับ

ท่านจะเป็นประทานแสงสว่างให้สัมภเวสี(ผู้แสวงหาภพเกิด)ที่ตกอยู่ในภพกลางอันเนื่องจากไม่มีบุญหรือบาปอันแรงพอจะส่งไปสู่ภพภูมิใดๆโดยไร้กำหนดเวลา นำส่งวิญญาณไปสู่สัมปรายภพตามแต่วาสนาของเวไนยสัตว์นั้นๆ


ภาพจิโซโบซัสซึ หรือพระกษิติครรภ ในความเชื่อและจินตนาการของชาวญี่ปุ่น











ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 186

เหน่งบา

11/08/2015 06:48:45
1,866
ขอตัดแปะคลิปบทสวดสรรเสริญพระกษิติครรภโพธิสัตว์เจ้า จากยูทูบ ซึ่งเป็นวิดีโอของมูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัยจากลิงค์นี้ครับ https://www.youtube.com/watch?v=5r9GyLpwOE0

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 187

Ahura

11/08/2015 18:35:34
1,663



มาดูพุทธศิลป์ที่เป็นงานสร้างสรรค์แบบร่วมสมัยบ้างครับ

ผลงานของ ศาสตราจารย์วิชัย สิทธิรัตน์ ชื่องาน " Stop " ขนาด 4 เมตร
ท่านเป็น adviser ของผมตั้งแต่เรียนปริญญาตรี โท เอก เรียกว่าแทบจะเป็นพ่อคนที่สอง

งานชิ้นนี้ได้แรงบันดาลใจจากการที่รัฐบาลตาลีบัน ระเบิดพระพุทธรูปยืนที่หน้าผาบามิยัน นำมาซึ่งความเศร้าสลดของท่านอาจารย์
ท่านจึงสร้างพระขนาดใหญ่นี้เพื่อกระตุ้นเตือนการต่อต้านและทำลายล้างพระพุทธศาสนนา

โดยเปลี่ยนพุทธลักษณะของพระบามิยัน จากปางประทานพรไปเป็นปางห้าญาติหรือห้ามสมุทร เพื่อแสดงออกถึงการหยุดการทะเลาะเบาะแว้ง แตกแยก และทำร้ายทำลายกัน

ในส่วนองค์พระจะเหลือเพียงร่องรอย และการสูญหาย ซึ่งกระตุ้นความรู้สึกสลดสังเวชจากกาารถูกทำลายครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 188

เหน่งบา

11/08/2015 19:13:54
1,866
รูปพระกษิติครรภโพธิสัตว์เจ้า หาได้อีกรูปครับ จากพุทธจักษุวิชชาลัยเช่นเดิม






ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 189

Ahura

11/08/2015 19:16:48
1,663



ที่มา: http://phathaweethat.blogspot.com/2012/02/33.html


พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติฑีฆายุมงคล

เป็นผลงานที่สร้างชื่อให้กับท่านศาสตราจารย์วิชัย สิทธิรัตน์ ทำให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นมืือหนึ่งของสยามประเทศ

โดยมีพระกระแสรับสั่งจาก สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ให้ท่านอาจารย์ปั่นพระพุทธรูปให้หนึ่งองค์
ศ.วิชัย ใช้เวลาปั้นขึ้นรูปเพียง 2 เดือน หลังปั้นเสร็จ ท่านบอกว่าเหมือนท่านแก่ไปอีก 12 ปี เพราะต้องใช้สมาธิจิตในการปั้นสูงมากและต้องเร่งเวลา ซึ่งใช้กำลังของจิตสูงกว่าปกติในการปั้น
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 190

Ahura

11/08/2015 19:37:19
1,663



ที่มา: http://forum.ampoljane.com/lofiversion/index.php/t90.html


อีกหนึ่งผลงานระดับ masterpiece ของศาสตราจารย์วิชัย สิทธิรัตน์

เป็นองค์พระพิฆเณศ ที่จัดว่าหาฝีมือใครปั้นเทียบได้ยาก องค์พระสวยสมบูรณ์แบบมาก
ทำให้ราคาจาก 19,999 ไปเป็น 50,000 แล้วในปัจจุบันเพราะหมดไปนานแล้ว

เหตุที่มีราคาแพงนอกจากความสวยแล้ว ยังเป็นที่นิยมในหมู่พ่อค้า เพราะท่านปั้นให้สังวาลย์งูนั้นคล้องอยู่ใต้พุงซึ่งแสดงออกถึงความอุดมสมบูณ์ มีกินมีใช้ไปตลอด
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 191

เหน่งบา

11/08/2015 20:03:06
1,866
ฮืม ม ม. . . งาน"Stop" นี่ ทำให้ผมกลับไปนึกถึงการใช้ความว่างเป็นสัญลักษณ์อ้ะครับ ถึงพระพุทธรูปถูกทำลายไป แต่ ธรรมมะ คุณธรรม พุทธธรรม พุทธานุภาพ...ไม่เคยหายไป

ผมดูงานของอาจารย์วิชัยชิ้นนี้แล้ว ดันไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ถูกทำลายอ้ะครับ = =" แต่ไปคิดถึงสิ่งที่ไม่เคยหาย ไม่ถูกทำลาย ไม่ถูกกระทบกระทั่ง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 192

Ahura

11/08/2015 20:40:41
1,663
ใช่ๆๆๆ เลยครับ " ความว่าง " เป็นเป้าหมายสูงสุดของการนับถือพุทธศาสนา คือ ว่างจากตัวตน ว่างจากกิเลส ว่างจากทุกข์

ความว่าง ซึ่งเป็นทัศนธาตุหนึ่งของการออกแบบทางศิลปะ จึงเป็น content หลักของงานชิ้นนี้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 193

เหน่งบา

11/08/2015 21:23:16
1,866
พรุ่งนี้จะไปต่างจังหวัด วันนี้ขอเบรคแค่ภาพนี้ครับ มีถ่ายพระพิฆเนศมาจากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนครเหมือนกัน ดูเหมือนเป็นงานจากชวา ซึ่งทูลเกล้าถวายล้นเกล้าฯหรือพระบรมวงศ์ศานุวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งนี่แหละครับ ในคราวเสด็จไปเยือนอินโดนีเซีย





ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 194

เหน่งบา

11/08/2015 21:29:26
1,866
เคยได้ยินมาว่า ถ้างานสร้างพระพิฆเนศยุคเก่ามากๆ จะเป็นสองกรครับ ไม่ใช่สี่กร
..คือก็ไม่ได้บ้าตรงความเก่าหรอกนะครับ ไม่ใช่คนเล่นของเก่า แค่เล่าตามข้อมูลที่ได้ยิน กับอยากเห็นจินตนาการของศิลปินต่างยุคสมัยมากกว่า ว่า ใครจะรังสรรค์ผลงานได้สวยกว่ากัน ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 195

Ahura

11/08/2015 21:57:07
1,663



องค์นี้ตั้งอยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลป์

ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดในประเทศไทย

ฝีมือช่างกองหัตถศิลป์ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 196

เหน่งบา

11/08/2015 22:01:13
1,866
หึ...ขัดใจอีตรงจานดาวเทียมกับลำโพงนั่นน่ะสิครับ = ="
เรียกว่าเป็นทัศนอุจาดยังได้เลย ที่จริงทางเจ้าของสถานที่น่าจะดูสักหน่อยนะครับ จะเปลี่ยนลำโพงเป็นแบบอื่น จะย้ายจานไปอยู่ตำแหน่งอื่น...

ผมคงคิดมากไปน่ะครับ 555

องค์ท่านสวยจริงๆแหละครับ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 197

Ahura

11/08/2015 22:09:26
1,663
ภายในวิทยาลัยนาฏศิลป์คับแคบมากๆครับ

ผมมาคุมสอบที่นี่หลายครั้ง หูตาลายครับ กับนางรำทั้งหลาย ลืมวิวรกๆนี่เลย 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 198

เหน่งบา

04/10/2015 16:43:26
1,866



พระนิรันตราย (องค์เดิม)

พระพุทธรูปศิลปะแบบทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ขนาดหน้า ตักกว้าง ๖ ซม. องค์พระสูง ๘.๒๐ ซม. วัสดุทองคำ ประทับนั่งแบบปรยัง กาสนะ ข้อพระบาทไขว้กันอย่างหลวมๆ แสดงธยานะมุทราโดยพระหัตถ์ขวา ช้อนเหนือพระหัตถ์ซ้าย พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงเป็นเส้นติดต่อกัน ค ล้ายปีกกา พระเนตรเหลือบต่ํ า พระนาสิกป้าน พระโอษฐ์ค่อนข้างกว้าง พระกรรณยาวเกือบจรดพระอังสะ พระเศียรประกอบด้วยขมวดพระเกศา มีเกตุมาลาอยู่เบื้องบนปราศจากรัศมี องค์พระพุทธรูปครองอุตราสงค์เรียบ ไม่มีริ้วห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา ขอบอุตราสงค์พาดผ่านข้อพระกรซ้าย พระพุทธรูปประทับนั่งบนปัทมาสน์มีกลีบบัวคว่ำบัวหงายประกอบทั้ง เบื้องบนเบื้องล่าง ซึ่งฐานปัทมาสน์นี้ได้สร้างเพิ่มเติมในภายหลัง

พระนิรันตรายนี้ กำนันอิน แขวงเมืองปราจีนบุรี และบุตรชาย เป็น ผู้ขุดค้นพบพระนิรันตราย และได้นำไปมอบให้พระเกรียงไกรกระบวนยุทธ์ ปลัดเมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งต่อมาได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเห็นว่าสองคนพ่อลูกมีกตัญญู ต่อพระพุทธศาสนาและพระเจ้าแผ่นดิน จึงทรงพระราชทานรางวัล เงินตรา ๘ ชั่ง พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานอัญเชิญ พระพุทธรูปทองคำนี้ไปรักษาไว้ ณ หอเสถียรธรรมปริตร กับพระกริ่งทองคำ องค์น้อย

เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๓ มีผู้ร้ายลักพระกริ่งองค์น้อยที่ตั้งอยู่คู่กันไป จึงทรง พระราชดำริว่า พระพุทธรูปที่ได้รับการทูลเกล้าฯถวายมาก็เป็นทองคำ ทั้งแท่งใหญ่กว่าพระกริ่ง ควรที่ผู้ร้ายจะลักพระพุทธรูปองค์นี้ไป แต่ก็แคล้วคลาด ถึง ๒ ครั้ง อีกทั้งผู้ที่ขุดค้นพบได้ก็ไม่ทำอันตรายเป็นที่อัศจรรย์อยู่ จึงทรง ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระนิรันตราย” อันมีความหมายว่า ปราศจากอันตราย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 199

เหน่งบา

04/10/2015 16:46:59
1,866



พระนิรันตราย (องค์ใหม่)

พระพุทธรูปศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ ช่วงปี พ.ศ.๒๓๙๔-๒๔๑๑ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑.๖๕ ซม. องค์พระสูง ๒๐.๓๐ ซม. วัสดุทองคำ ประทับ นั่งวัชราสนะ แสดงธยานะมุทราโดยพระหัตถ์ขวาช้อนบนพระหัตถ์ซ้ายเหนือ พระเพลา มีพระพักตร์ค่อนข้างกลม พระนลาฏค่อนข้างแคบ พระขนงเป็น รูปปีกกา มีอุณาโลมอยู่ระหว่างพระขนง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์เรียว พระกรรณคล้ายมนุษย์สามัญ พระเศียรประดับด้วย ขมวดพระเกศาขนาดเล็ก ปราศจากเกตุมาลาโดยปรากฏรัศมีรูปเปลวไฟ เหนือพระเศียร องค์พระพุทธรูปครองอุตราสงค์จีบเป็นริ้วเหมือนผ้าตาม ธรรมชาติห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา เหนือพระอังสาซ้ายมีสังฆาฏิขนาดใหญ่ พาดทับยาวลงมาจรดพระนาภี ปลายตัดเป็นเส้นตรง อันตรวาสกมีลักษณะ คล้ายริ้วผ้าตามธรรมชาติเช่นเดียวกับอุตราสงค์ ซึ่งเป็นการครองผ้า อย่างธรรมยุติกนิกาย

พระพุทธรูปประทับนั่งบนปัทมาสน์อันประกอบด้วยกลีบบัวคว่ำและ กลีบบัวหงายเหนือฐานแข้งสิงห์ และฐานเขียงแปดเหลี่ยมซึ่งเป็นที่สำหรับ รับน้ำสรงพระ มีท่อเป็นรูปศีรษะโคอันแสดงเป็นที่หมายพระโคตร ซึ่งเป็น โคตมะอันเป็นแบบที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริ ให้สร้างขึ้น

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระนิรันตรายองค์นี้ด้วยทองคำตามพุทธลักษณะสวมพระพุทธรูป นิรันตราย องค์เดิมอีกชั้นหนึ่ง กับทั้งให้หล่อด้วยเงินไล่บริสุทธิ์เป็นคู่กัน อีกองค์หนึ่ง

ปัจจุบันพระนิรันตรายประดิษฐานอยู่ในหอพระสุลาลัยพิมาน ในหมู่พระมหามณเฑียร และได้รับการอัญเชิญเข้าในงานพระราชพิธีสำคัญๆ เช่น พระราชพิธีหล่อพระพุทธรูป และพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น

ขอบคุณ ภาพและข้อมูลจากเว็บ amuletat7.comนะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 200

เหน่งบา

04/10/2015 17:08:49
1,866
ยังมีพระพุทธรูปอีกองค์ ที่มักได้รับการกล่าวถึงคู่กันด้วยมีชื่อเป็นมงคลนาม คือ พระไพรีพินาศ บางท่านก็พยายามหาองค์จำลองมาบูชาคู่กัน เป็นพระนิรันตราย-ไพรีพินาศ ไว้จะเอารายละเอียดมานำเสนอต่อครับ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 201

เหน่งบา

06/10/2015 06:11:21
1,866



ตัดแปะล้วนๆจาก http://thaprajan.blogspot.com ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ ภาพประกอบสวยงาม

เหตุใดจึงชื่อ"พระไพรีพินาศ"


พระไพรีพินาศ เป็นพระพุทธรูปศิลาปิดทอง ศิลปะศรีวิชัย ปางประทานพร (คล้ายปางมารวิชัย เพียงแต่หงายพระหัตถ์ขวา) ประวัติการสร้างไม่ปรากฏแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่ามีผู้นำมาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ตั้งแต่ครั้งทรงผนวชและประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงเชื่อว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีอานุภาพกำจัดภัย ให้ผู้ที่คิดร้ายพ่ายแพ้พระบารมี

เรื่องมีอยู่ว่า.. เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เสด็จออกผนวชเมื่อเจริญพระชนมายุครบตามเกณฑ์ ทรงผนวชได้เพียง 15 วัน ก็เกิดเหตุการณ์ผลัดแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ 2 เสด็จสวรรคตอย่างปัจจุบัน

ตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 (หรือ "เจ้าฟ้ามงกุฎ" ในขณะนั้น) ควรจะได้รับราชสมบัติต่อจากรัชกาลที่ 2 เพราะทรงเป็นพระราชโอรสที่มีพระราชสมภพจากพระอัครมเหสีของรัชกาลที่ 2 คือสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ มีฐานันดรศักดิ์เป็น "สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า" จัดว่าเป็นอันดับสูงสุดในพระบรมวงศานุวงศ์ มีฐานะเป็นรัชทายาท และเวลานั้น ตำแหน่งวังหน้าซึ่งถือเป็นตำแหน่งรัชทายาทก็ยังว่างอยู่ ภายหลังจากที่กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ 2 ก็มิได้ทรงตั้งวังหน้าขึ้นใหม่ตลอดรัชกาล แต่ราชสมบัติกลับมิได้ตกแก่เจ้าฟ้ามงกุฎตามที่กฏมณเฑียรบาลกำหนดไว้

ในสมัยรัชกาลที่ 2 ผู้กำกับดูแลราชการต่างพระเนตรพระกรรณมีอยู่ 3 พระองค์ คือ วังหน้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ กำกับดูแลราชการแผ่นดินทั่วไป เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี กำกับกรมวังและมหาดไทย กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3) กำกับกรมพระคลังมหาสมบัติ ครั้นเมื่อวังหน้าสิ้นพระชนม์ กรมหลวงพิทักษ์มนตรีก็เข้ามากำกับดูแลแทน แต่อยู่ได้เพียง 5 ปี ก็สิ้นพระชนม์อีก จึงเหลือเพียงกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์พระองค์เดียว ที่กำกับดูแลราชการทั้งหลายทั้งปวง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 202

เหน่งบา

06/10/2015 06:14:54
1,866



เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ใกล้เสด็จสวรรคตนั้น ทรงพระประชวรจนตรัสไม่ได้ จึงมิได้ระบุว่าจะมอบราชสมบัติให้แก่ผู้ใด พระราชวงศ์และเสนาบดีทั้งหลาย จึงเห็นพ้องกันให้ทูลเชิญกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสองค์โตอันเกิดจากพระสนมของรัชกาลที่ 2 คือเจ้าจอมมารดาเรียม ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)

เจ้าฟ้ามงกุฎ แม้จะมีสิทธิโดยชอบธรรมด้วยเป็นพระราชโอรสองค์โตอันเกิดจากพระอัครมเหสี แต่ยังอ่อนวัยวุฒิ คุณวุฒิ รวมถึงอำนาจบารมีส่วนพระองค์ อีกทั้งถูกคุกคามจากพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายที่สนับสนุนกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ โดยเฉพาะจากกรมหลวงรักษณ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) ลวงให้เสด็จเข้าไปในพระบรมมหาราชวังและถูกควบคุมตัวไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งเมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว พระองค์จึงได้รับการปล่อยตัวให้เสด็จกลับไปประทับที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส ในปัจจุบัน) ดังเดิม ความปรากฏในโคลงลิลิตมหามกุฏราชคุณานุสรณ์ คัดมาโดยย่อว่า

เขาเชิญไปวัดแก้ว มรกต อกอา
พัก ณ พระอุโบสถ ต่างเฝ้า
อ้างองค์พระทรงพรต พลุกพล่าน สมฤา
อละหม่านแต่งทหารเข้า แวดล้อมวงรวัง

ประทับขังอุโบสถสิ้น สัปตวาร พ่ออา
ห่างมิตศิษย์บริพาร ผ่อนเฝ้า
คึกคักแต่พนักงาน สนมนิเว สะรักษ์ฤา
คอยพิทักษ์สมศักดิ์เจ้า พระฟ้าประดาผงม

กรมหลวงรักษ์รณเรศ หรือพระองค์เจ้าไกรสรนี้ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) อันเกิดกับเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ได้รับการสถาปนาเป็นกรมหมื่นรักษ์รณเรศ และได้เลื่อนขึ้นเป็นกรมหลวงรักษ์รณเรศในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ด้วยเป็นเจ้านายพระองค์สำคัญที่มีความดีความชอบในการพรากราชสมบัติให้พลัดจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตกแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อเหตุการณ์ลงเอยเช่นนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ "วชิรญาณภิกขุ" ในขณะนั้น ทรงรับรู้ถึงความไม่ปลอดภัยของพระองค์เอง จำต้องปลีกตัวหนีห่างจากกิจการที่เกี่ยวกับอาณาจักร จึงตัดสินพระทัยที่จะผนวชอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ต่อไปไม่มีกำหนดเพื่อหลบราชภัย อย่างไรก็ตาม แม้พระองค์จะมิได้เสวยราชย์และดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต ก็ยังถูกกรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) คุกคามกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลา

คราวหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ประชุมคณะพระมหาเถระผู้สอบในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงแปลทุกวัน ทรงพระปรีชาสามารถมาก แปลพักเดียวได้ตลอดประโยคไม่มีพลาดพลั้งให้มหาเถระต้องทักท้วงเลย วันแรกแปลคัมภีร์ธรรมบทประโยค 1-2-3 วันที่สองเสด็จเข้าแปลคัมภีร์มงคลทีปนีสำหรับประโยค 4 วันที่สาม เสด็จเข้าแปลคัมภีร์บาลีมุตสำหรับประโยค 5 ปรากฏว่ากรมหมื่นรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) ซึ่งกำกับกรมธรรมการได้ถามพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมฬีโลกซึ่งเป็นผู้สอบอยู่ด้วยว่า "นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบก็น้อยพระหฤทัย ด้วยเจตนาจะสนองพระเดชพระคุณเฉลิมพระราชศรัทธา หาได้ปรารถนายศศักดิ์ลาภสักการะอย่างใดไม่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบความขุ่นหมองที่เกิดขึ้น ก็ทรงอนุญาตไม่ต้องแปลต่อไปอีก และพระราชทานพัดยศสำหรับเปรียญเอก 9 ประโยคให้ทรงถือเป็นสมณศักดิ์ต่อมา

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) นั้น ผู้คนนิยมนับถือพระองค์มาก จนเป็นเหตุให้เกิดคำพูดแสดงความสงสัยว่า ที่คนพอใจไปวัดสมอรายกันมากนั้น เพราะประสงค์จะยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในทางการเมือง เพื่อระงับความสงสัยและข่าวลือต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) จึงโปรดให้ทูลเชิญ "วชิรญาณภิกขุ" เสด็จมาอยู่เสียใกล้ ๆ พระองค์ ซึ่งประจวบเหมาะกับขณะนั้น วชิรญาณภิกขุเองก็ทรงมีฐานะเป็นพระราชาคณะแล้ว แต่ยังไม่ได้ทรงเป็นเจ้าอาวาสครองวัด เพียงแต่ประทับอยู่วัดสมอรายดำเนินกิจการทางสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต จึงได้ทรงนิมนต์ให้เสด็จมาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปีวอก พ.ศ. 2379
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 203

เหน่งบา

06/10/2015 06:17:25
1,866



ครั้นเสด็จมาประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ก็ทรงได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากกรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) มากขึ้น จนถึงหาเหตุให้สึกพระสุเมธมุนี พระอุปัชฌาย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แกล้งใส่บาตรพระธรรมยุตด้วยข้าวต้มให้ร้อนมือที่อุ้มบาตร และเบียดเบียนด้วยประการต่าง ๆ นา ๆ

ในปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) กรมหลวงรักษ์รณเรศต้องราชภัย เพราะความกำเริบเสิบสานและสำเร็จความใคร่บ่าวจนน้ำกามเคลื่อน จึงถูกถอดเป็นไพร่เรียกว่า "หม่อมไกรสร" แล้วประหารชีวิตโดยทุบด้วยท่อนจันทน์ ผู้ทำหน้าที่ประหารเคยเป็นข้าในกรมของผู้ถูกประหาร จึงมือไม้สั่น ปรกติทุบทีเดียวก็ตายสนิท แต่นี่เจ้านายตัวจึงทุบพลาด เจ้านายก็เด็ดขาด ตะโกนสั่งจากถุงที่คลุมว่า ทุบใหม่ ไอ้นี่สอนไม่จำ.. ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ความว่า..

"...เพราะด้วยอ้ายพวกละคร ชักพาให้เสียคน จึงให้ตระลาการค้นหาความอื่นต่อไปให้ได้ความว่า กรมหลวงรักษรณเรศ ชำระความของราษฎรมิได้เป็นยุติธรรม ด้วยพวกละครรับสินบนทั้งฝ่ายโจทก์ฝ่ายจำเลย แล้วก็คงหักเอาชนะจงได้ แล้วเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ชั้นแต่ลอยกระทง ก็ไปลอยกรุงเก่าบ้าง เมืองนครเขื่อนขัณฑ์บ้าง เอาธรรมเนียมที่ในหลวงทรงลอย พวกละครห่มแพรสีทับทิมใส่แหวนเพ็ชรแทนหม่อมห้าม แลเกลี้ยกล่อมขุนนางและกองรามัญไว้เป็นพวกพ้องก็มาก ที่ผู้ใดไม่ฝากตัวก็พยาบาทไว้ ตั้งแต่เล่นละครเข้าแล้ว ก็ไม่ได้บรรทมอยู่ข้างในด้วยหม่อมห้ามเลย บรรทมอยู่แต่ที่เก๋งข้างท้องพระโรงด้วยพวกละคร จึงรับสั่งให้เอาพวกละครแยกย้ายกันไต่ถาม ได้ความสมกันว่า เป็นสวาทไม่ถึงชำเรา แต่เอามือเจ้าละครและมือท่านกำคุยหฐานด้วยกันทั้งสองฝ่าย ให้สำเร็จภาวะธาตุเคลื่อนพร้อมกัน เป็นแต่เท่านั้นแล้วโปรดให้ตระลาการถามกรมหลวงว่า เป็นเจ้าใหญ่นายโตเล่นการนี้สมควรอยู่แล้วหรือ กรมหลวงรักษรณเรศให้การว่า การที่ไม่อยู่กับลูกเมียนั้น ไม่เกี่ยวข้องแก่การแผ่นดิน ถามอีกข้อหนึ่งว่า เกลี้ยกล่อมเจ้านายขุนนางไว้เป็นพรรคพวกมาก จะคิดกบฏหรือ กรมหลวงให้การว่า ไม่ได้คิดกบฏ คิดอยู่ว่า ถ้าสิ้นแผ่นดินไป ก็ไม่ยอมเป็นข้าใคร..."

ข้อความในพระราชพงศาวดารกล่าวถึงกรมหลวงรักษ์รณเรศว่า “... แล้วยังมาคิดมักใหญ่ใฝ่สูงจะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่มนุษย์เขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน..." จึงโปรดให้ถอดเสียจากกรมหลวง ให้เรียก "หม่อมไกรสร" ลงพระราชอาญาแล้ว ให้ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรมสามค่ำ (ตรงกับวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2391) อายุได้ 58 ปี
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 204

เหน่งบา

06/10/2015 06:21:03
1,866



เบื้องหลังอันเป็นที่มาของพระนามของพระพุทธรูปที่เรียกว่า "พระไพรีพินาศ" เพราะในระยะใกล้ ๆ กับเวลาที่หม่อมไกรสรจะถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์นี้เอง พระไพรีพินาศก็ได้เสด็จมาสู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และท้ายที่สุด "ไพรี" ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้พินาศลงด้วยประการฉะนี้ และอีกสามปีเศษถัดมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 ทรงอยู่ในราชสมบัติ 17 ปี
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 205

เหน่งบา

06/10/2015 06:22:23
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 206

เหน่งบา

06/10/2015 06:24:11
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 207

เหน่งบา

06/10/2015 06:25:29
1,866
ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเฉลิมพระนามพระพุทธรูปนี้ว่า "พระไพรีพินาศ" โปรดให้สร้างเก๋งประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ที่พระมหาเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร

นอกจาก "พระไพรีพินาศ" แล้ว ภายในพระมหาเจดีย์สีทอง ยังมีพระเจดีย์ศิลาองค์ย่อมประดิษฐานอยู่ มีนามพระราชทานคล้ายคลึงกันว่า "พระไพรีพินาศเจดีย์" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คงจักได้ทรงโปรดให้สถาปนาขึ้นไว้แต่ครั้งยังทรงพระผนวชและประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร หรือไม่เช่นนั้น ก็คงจักทรงโปรดให้สถาปนาขึ้นเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการใหญ่คราวหนึ่ง เรียกว่า งานผ่องพ้นไพรี
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 208

เหน่งบา

06/10/2015 06:26:53
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 209

หนังเเมว

07/10/2015 02:31:02
1
พี่เหน่งบานี่ เเสดงว่าเป็นคนมีธรรมมะ เเละชอบประวัติศาสตร์ ขอนอกเรื่องหน่อย เเต่จริงๆไม่ได้นอกเรื่องนะ อิอิ ภาพทุกภาพหรือหลายๆภาพนี่ ส่วนมากอิงมาจากพระพุทเจ้า เเล้ว ก้อมารผู้ขวางทางพระพุทธเจ้า คือจิตใจนี่เอง พระพุทเจ้าสอนให้รู้ตัวเองว่าเราคือใคร เเล้วจะทำอย่างไรกับตัวเรา คือท่านสอนให้เห็นว่าโลกนี้มีเเต่ทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดทุกข์เท่านั้นที่ดับ พระพุทธเจ้า ท่านต้องการให้เห็นความจริงที่ว่า กฎของโลกนี้คือการเกิดเเก่เจ็บตาย ท่านต้องการให้เราหลุดออกจาก วตสงสารนี้ คือกฎของโลกนี้ เราจะเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่ชาติๆๆๆๆ ถ้าเราไม่หาทางออกจากมัน วิธีที่ท่านหลุดพ้นเเล้วนำมาบอกเราก้อคือ การรู้กฎของธรรมชาติ คือไตรลักษณ์-อิทัปปัจจยตา ไตรลักษณ์คือ เกิดมา ตั้งอยุ่ ดับไป มีเเต่ทุกข์ อิทัปปัจจยตา ก้อคือ เหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงเกิด สองกฎนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสรู้ได้ โดยการท่องเตือนตัวเองว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ดับสลาย จนบรรลุอรหันต์ จึงได้ อริยสัจสี่ อริยสัจสี่นี่คือผลที่พระพุทธเจ้าได้จากการตรัสรู้ ที่พูดมายาวนี่เเค่อยากจะบอกวิธีเเก่ทุกท่าน ว่าเป็นเรื่องง่ายๆที่เราจะบรรลุธรรมได้ เพียงเเค่ท่าน ท่องขันธ์5 อินทรีย์ 6 เเค่นั้นเอง ผมมีวิธีมาบอกก้อคือการวิปัสนานั่นเอง ง่ายๆไม่ต้องนั่งสมาธิ วิปัสนานี่หลายคนเข้าใจคนละเเบบ บ้างก้อ ยุบหนอพองหนอ จงกรม นั่นก้อคือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง เเต่การวิปัสนาที่ถูกต้องนี่ คือการเตือนตัวเองเเค่นั้นเอง โดนการน้อมเข้ามาใส่ตัว คือการท่องนั่นเอง วิธีก้อเเสนจะง่ายครับ
มีดังนี้วิธีวิปัสสนาแบบง่ายๆ แต่ได้ผล มีปัญญาแก้ปัญหาชีวิตและดับทุกข์ได้ถาวร
การฝึก ทำได้ทุกหนทุกแห่งควบคู่กันไปกับการทำงานหรือการดำเนินชีวิตของเราตามปกติ





ให้ฝึกดังนี้ – เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งหลับ ตาเห็นรูปอะไร หูได้ยินเสียงอะไร จมูกได้กลิ่นอะไร ลิ้นได้รสอะไร กายกระทบสัมผัสอะไร ใจคิดนึกอะไร ฝึกให้รู้ให้เห็นความจริงของโลกและชีวิตนี้



ตาเห็นรูป พิจารณาว่ารูปไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ เช่นกัน หูได้ยินเสียง พิจารณาว่าเสียงไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ เช่นกัน จมูกได้กลิ่น พิจารณาว่ากลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ เช่นกัน ลิ้นได้รส พิจารณาว่ารสไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ เช่นกัน กายกระทบสัมผัส พิจารณาว่ากายสัมผัสไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ เช่นกัน ใจนึกคิด พิจารณาว่าความคิดไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ เช่นกัน ให้พิจารณาทั้ง ๒ ด้านอย่างนี้ เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในขณะปัจจุบัน จนเป็นปกตินิสัยในชีวิตประจำวัน (หรือท่องให้ได้เหมือนสูตรคูณ) แล้วความพอใจ ไม่พอใจหรือ โลภ โกรธ หลง หรือสมุทัยของทุกข์ทั้งปวง ซึ่งเรียกว่าเป้นความเชื่อก็จะถูกความจริงว่าไม่เที่ยงดับลงไปทันที ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่า ทุกข์เกิดที่ไหนดับที่นั่น ทุกข์เกิดทางตาดับทางตา ทุกข์เกิดทางหูดับทางหู ทุกข์เกิดทางจมูก ดับทางจมูก ทุกข์เกิดทางลิ้นดับทางลิ้น ทุกข์เกิดทางกายดับทางกาย ทุกข์เกิดจากใจดับทางใจ เมื่อเหตุทั้งปวงของทุกดับไปแล้ว ต่อจากนั้นปัญญาหรือความรู้ที่ดับทุกข์ได้ หรือแก้ปัญหาชีวิตได้ก็จะเกิดขึ้นตามมา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มหาศาล แล้วก็จะมีปัญญาแก้ปัญหาชีวิตได้และดับทุกข์ได้ถาวรในที่สุด คือ บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ได้ภายใน ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างช้า พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 210

หนังเเมว

07/10/2015 02:32:42
1



หรือจะท่องตามนี้ก้อได้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 211

เหน่งบา

07/10/2015 07:06:06



ขอบคุณคุณหนังแมวที่เอาข้อมูลดีๆมีสาระมาร่วมกระทู้นะครับ ^ ^

รายการต่อไป เป็นพระพุทธรูปสำคัญที่ประดิษฐานอยู่คู่กันในวัดบวรนิเวศครับ

คนส่วนใหญ่ถ้ารู้จักวัดบวรนิเวศวิหาร จะรู้ว่ามีพระสำคัญคือ พระพุทธชินสีห์ ซึ่งมีความงดงามบริสุทธิ์ อาจจะทราบว่ามีพระไพรีพินาศ แต่ส่วนมาก ไม่ทราบว่า พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่หลังพระพุทธชินสีห์ก็มีความเป็นมามีความสำคัญไม่น้อย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 212

เหน่งบา

07/10/2015 07:47:24
งานนี้ตัดแปะเต็มๆจากกระทู้ของคุณตั้งฉ่าย เว็บบ้านใบไม้ครับ ขออโหสิ...เอ๊ย...ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

วัดบวรนิเวศวิหาร หรือ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร

วัดบวรนิเวศวิหาร หรือ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ (สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ) ได้มีพระดำริโปรดให้สร้างขึ้น แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน วัดบวรนิเวศวิหาร สร้างขึ้นด้วยศิลปะไทยผสมจีน ภายในพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปสำคัญอยู่ 2 องค์ คือ พระประธาน อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน เพชรบุรี และ พระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก ถัดจากพระอุโบสถออกไปเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่ สร้างสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 หุ้มกระเบื้องสีทอง ในรัชกาลปัจจุบัน รอบฐานพระเจดีย์มี ศาลาจีนและซุ้มจีน ถัดออกไปเป็นวิหารเก๋งจีน นอกจากนี้ก็มีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือขรัวอินโข่ง

ใต้ฐานพุทธบัลลังก์ พระพุทธชินสีห์ พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเคยผนวช ณ วัดนี้เมื่อยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร

ระหว่างผนวชและประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประติมากรของกรมศิลปากรปั้นหุ่นและสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร โดยเสด็จพระราชดำเนินหล่อพระพุทธรูป วันที่ 5 ธันวาคม 2499 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ได้ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่าพระพุทธนาราวันตบพิตร

พระพุทธชินสีห์

ประดิษฐานอยู่ข้างหน้าพระพุทธสุวรรณเขต เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๔ นิ้ว สองข้างพระพุทธชินสีห์มีรูปพระอัครสาวกคู่หนึ่ง สันนิษฐานว่า สมเด็จพระธรรมราชาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย โปรดให้สร้างขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันกับพระพุทธชินราช และพระศรีศาสดา เดิมประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารด้านทิศเหนือของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ต่อมาวิหารชำรุดทรุดโทรมลง สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาศักดิพลเสพ จึงโปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานที่มุขหลังของพระอุโบสถจัตุรมุข วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อพุทธศักราช ๒๓๗๔

ครั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะยังทรงผนวช ได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวอัญเชิญพระพุทธชินสีห์มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถหน้าพระพุทธสุวรรณเขต เมื่อพุทธศักราช ๒๓๘๐ แล้วได้ติดทองกะไหล่พระรัศมี ฝังพระเนตร และฝังเพชรที่พระอุณาโลมใหม่ พร้อมทั้งปิดทององค์พระพุทธรูป ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ในพุทธศักราช ๒๓๙๔ โปรดเกล้าฯ ให้แผ่แผ่นทองคำลงยาราชาวดีประดับพระรัศมีเดิม ถวายฉัตรตาด ๙ ชั้น ถวายผ้าทรงสะพักตาด ต้นไม้เงินทอง และกลองมโหระทึกสำหรับประโคมในเวลาพระสงฆ์บูชาเช้าค่ำเป็นเกียรติยศ พุทธศักราช ๒๓๘๙ โปรดเกล้าฯให้หล่อฐานสำริดปิดทองใหม่มีการสมโภช พุทธศักราช ๒๔๐๙ ทรงสมโภชอีครั้งและถวายพระธำมรงค์หยกสวมนิ้วพระอังคุฐซ้าย

พระพุทธชินสีห์นับเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ซึ่งพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์เสด็จมาถวายสักการบูชาในโอกาสต่างๆ เช่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครทางสถลมารคมานมัสการและถวายต้นไม้เงินและต้นไม้ทองเมื่อคราวประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระพุทธชินสีห์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองแต่ครั้งสุโขทัย นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามมากที่สุดพระองค์หนึ่ง สมเด็จพระบวรราชเจ้าพระองค์นั้น ได้ทรงอัญเชิญพระพุทธชินสีห์มาจากพระวิหารทิศเหนือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก มาประดิษฐานไว้ในมุขหลังของพระอุโบสถ ซึ่งก่อขึ้นใหม่ อัญเชิญลงแพมาทั้งพระองค์ เมื่อฤดูน้ำ พ.ศ. ๒๓๗๒ แต่ได้ยินกันมาโดยมากว่ามุขหลังคามีมาแต่เดิม จึงรวมเป็น ๔ มุข ตามรูบเมรุของเจ้าจอมมารดา ของพระองค์เจ้าดาราวดี พระราชชายา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู้ทรงรจนาตำนานวัด ทรงสันนิษฐานว่า มุขหลังก่อทีหลัง ในเมื่อปรารภว่าจะเชิญพระพุทธชินสีห์ลงมา เดิมคงมีแต่หลังหน้าซึ่งเป็นพระอุโบสถ หลังขวางซึ่งเป็นพระวิหาร แต่สร้างติดกันจึงดูเป็น ๓ มุข

พระพุทธชินสีห์นี้ มีตำนานกล่าวไว้ในพงศาวดารเหนือว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก เจ้าเมืองนครเชียงแสน สร้างขึ้นพร้อมกับพระชินราชและพระศาสดาเมื่อก่อน พ.ศ. ๑๕๐๐ มีเรื่องโดยย่อว่า พระศรีธรรมไตรปิฎก เจ้านครเชียงแสนยกกองทัพมาตีเมืองศรีสัชนาลัย (อยู่ในเมืองสวรรคโลกสมัยนั้น) แล้วสร้างเมืองพิษณุโลก พร้อมกับพระพุทธรูป ๓ พระองค์ โดยให้พวกช่างที่มีฝีมือในเมืองต่างๆมาประชุม ช่วยกันปั้นหุ่นเพื่อจะให้ได้งดงามผิดกับพระพุทธรูปสามัญแต่ท่านสันนิษฐานว่า พระเจ้าพระศรีมหาธรรมไตรปิฎกผู้สร้าง คือพระมหาะรรมราชาที่๑ รัชการที่๕แห่งราชวงศ์พระร่วง สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เรียกโดยพระนามว่า พระเจ้าลือไทหรือลิไท ข้อที่ทำให้สันนิษฐานเช่นนั้นมีหลายประการ คือสอบสวนไม่ได้ความจริงว่า มีเจ้านครเชียงแสนองค์ใด มีความรู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก จนควรแก่พระนามนั้น และได้แผ่อำนาจลงมาทางใต้ในสมัยที่อ้างนั้น พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ปรากฏว่าทรงรอบรู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก ทรงแต่งหนังสือเรื่องตรภูมิ ซึ่งในทุกวันนี้เรียกันว่าไตรภูมิพระร่วง พระเกียรติยศที่ทรงรอบรู้พระไตรปิฎก คงเลื่องลือแพร่หลาย จึงเรียกพระนามเฉลิมพระเกีรยติว่า พระศรีธรรมไตรปิฎก และเมื่อก่อนแต่ทรงเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้เป็นพระมหาอุปราชอยู่ที่เมืองศรีสัชนาลัย เมื่อพระเจ้าเลอไทพระราชบิดาสวรรคต เกิดจราจลขึ้นในพระนครสุโขทัย ต้องยกทัพลงมาปราบปรามจนราบคาบแล้วจึงได้เสวยราชย์ เรื่องนี้ตรงกับเค้าเรื่องพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกยกกองทัพลงมาตีเมืองศรีสัชนาลัยในพงศาวดารเหนือ อีกประการหนึ่ง ลักษณะพระชินราช พระชินสีห์ ก็ด่างจากพระพุทธรูปอื่น ในบางอย่างเช่น มีนิ้วพระหัตถ์ทั้ง ๔ นิ้ว พระบาททั้ง ๔ นิ้วยาวเสมอกัน ต้องตามคัมภีร์มหาปุริสลักษณะแสดงว่าผู้สร้างได้ทราบคัมภีร์นั้น พระพุทธรูปที่ได้สร้างกันขึ้นชั้นหลัง ได้ถือเป็นแบบสืบมาทุกวันนี้ พระพุทธรูปที่สร้างในเมืองเมืองไทยแต่ก่อนนั้น ทั้งทางเมืองเหนือและเมืองใต้ ทำปลายนิ้วพระหัตถ์เป็นหลั่นกันเหมือนกับนิ้วมือคนสามัญ

อนึ่งมีทรวดทรงและชายจีวรยาวแบบลังกา แสดงให้เห็นว่าสร้างในสมัยพระเจ้าเลอไทยหรือลือไทย เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๐ พระพุทธชินสีห์ พระพุทธชินราช มีลักษณะงดงามอย่างน่าพิศวง และนับถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินในกรุงสยาม ได้เสด็จฯไปถวายนมัสกาหลายพระองค์ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาป็นราชธานี กล่าวเฉพาะพระพุทธชินสีห์เมื่อเมื่ออัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่มุขหลังของพระอุโบสถวัดนี้แล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ เมื่อทรงเสด็จมาผนวชอยู่ครองวัดนี้ ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ อัญเชิญย้ายจากมุขหลังออกสถิตหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่หรือพระโต เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๐ ปิดทองก้าไหล่พระรัศมีฝั่งพระเนตรใหม่ และติดพระอุนาโลม ส่วนมุขหลังอัญเชิญพระไสยาสน์เข้าไว้แทน ต่อมาได้รื้อมุขหลัง น่าจะเพื่อขยายทักษิณพระเจดีย์ออกมาอีกชั้นหนึ่ง ส่วนพระไสยาสน์น่าจะคงยังอยู่หลังพระอุโบสถ ณ ที่ติดพระบาทจำลองในบัดนี้ ต่อมาได้อัญเชิญไปไว้ในวิหารพระศาสดาเมื่อทรงลาผนวชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ตรัสให้แผ่ทองคำทำพระรัศมีลงยาราชาวดีประดับพระรัศมีเดิมอีกชั้นหนึ่ง ถวายฉัตรตาด ๙ ชั้นถวายผ้าทรงสพักตาด ต้นไม้ทองเงิน เมื่อพ.ศ. ๒๓๙๔ โปรดหล่อ ด้วยทองสัมฤทธิ์ปิดทองใหม่ มีการสมโภช เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๘ ทรงสมโภชอีกและถวายพระธำมรงค์หยกสวมนิ้วพระอังคุฐซ้าย ( แหวนที่นิ้วหัวแม่มือซ้าย) เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๙ ในรัชการที่ ๕ก็ได้ทรงปิดทองและโปรดให้มีการสมโภช พร้อมด้วยการฉลองพระอารามที่ทรงปฎิสังขรณ์ใหม่ และทรงสร้างเพิ่มเติมเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๔ พระพุทธชินสีห์ มีพระอัครสาวกยืนคู่หนึ่ง สันนิษฐานว่าสร้างภายหลัง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 213

เหน่งบา

07/10/2015 08:01:22
1,866
พระพุทธชินสีห์นี่ ควรที่คนไทย ควรจะได้ไปเห็นนะครับ ไม่นับเรื่องความเป็นพระสำคัญ ก็น่าจะได้ไปเห็นงานศิลปะชั้นสุดยอดของแผ่นดินกับตา ว่างดงามเพียงไหน

และพระพุทธรูปอีกองค์ที่..เห็นก็เหมือนไม่เห็น เพราะอยู่เบื้องหลังพระพุทธชินสีห์ อยู่ในเงามืด ซึ่งที่จริงองค์ท่านก็งดงามมากนะครับ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับขนาดอันใหญ่โตมโหฬารของพระโลหะหล่อ ซึ่งแสดงถึงความเจริญอย่างสูงทั้งทางศิลปะและโลหะวิทยา ที่หล่อพระใหญ่โตขนาดนี้ ได้สวยงามขนาดนี้

นี่เป็นข้อมูล "เบื้องหน้า"ครับ สำหรับ หลวงพ่อโต หรือ หลวงพ่อเพชร หรือ พระสุวรรณเขต หรือ พระสุวรรณขีด...

พระสุวรรณเขต

พระสุวรรณเขตหรือเรียกว่าหลวงพ่อโต หรือ “หลวงพ่อเพชร” คือพระประธานองค์ใหญ่ ตั้งอยู่ด้านในสุด เป็นพระประธานองค์แรกของพระอุโบสถนี้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระพุทธรูปโลหะ ลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยา หน้าตักกว้าง ๙ ศอก ๒๑ นิ้ว พระยาชำนิหัตถการได้ปั้นพอกพระศกให้มีขนาดดังที่เห็นในปัจจุบันแล้วลงรักปิดทอง ด้านข้างพระพุทธรูปองค์นี้มีพระอัครสาวกปูนปั้นหน้าตัก ๒ ศอก ข้างละ ๑ องค์

พระพุทธรูปวัดสระตะพานองค์นี้ เป็นพระหล่อ หน้าพระเพลา (ตัก) ๙ ศอก ๒๑ นิ้ว เป็นพระพุทธรูปโบราณ เรียกว่า พระโต แต่ นายอ่อน เจตนาแจ่ม ผู้รักษาพระอุโบสถเล่าว่า เคยได้ยินสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานิศรานุวัดติวงศ์ ตรัสกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสว่า "พระโตองค์นี้ ชาวพื้นเมืองเรียกกันว่า "หลวงพ่อเพชร" ชื่อท่านมีอยู่แล้วว่า "พระสุวรรณเขต" ไม่เรียก เมื่อเชิญมา รื้อออกเป็นท่อนๆ ตามรอยประสานเดิม อัญเชิญลงแพ มาคุมเข้าเป็นองค์เดิมอีก ลักษณะที่คุมเข้าใหม่เป็นฝีมือของช่างกรุงเทพฯ โดยมาก แต่ยังพอสังเกตได้ว่าเดิมเป็นลักษณะพระขอม พระศกของพระพุทธรูปนี้ เดิมโตอย่างของพระพุทธชินสีห์ พระยาชำนิหัตถการ นายช่างกรมพระราชวังบวรฯ เลาะออกเสีย ทำพระศกของพระโตนี้ใหม่ด้วยดินเผาให้เล็ก ตามที่เห็นว่างามในเวลานั้น ประดับเข้าที่แล้วลงรักปิดทอง พระองค์ใหญ่ มีพระสาวกใหญ่นั่งคู่หนึ่ง หน้าตักสองศอกถ้วนเป็นพระปั้น
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 214

เหน่งบา

07/10/2015 08:09:41
1,866



แต่มีข้อมูลลับ เบื้องหลังการที่หลวงพ่อโต หรือพระสุวรรณเขต ถูกอัญเชิญจากเพชรบุรีมาไว้ที่วัดบวรฯดังนี้ครับ ที่การณ์เป็นไปดังนั้น ก็เพราะ มีคำร่ำลือเกี่ยวกับแร่ธาตุกายสิทธิ์ที่ชื่อ สวรรณขีด อันเป็นที่มาของชื่อพระสุวรรณเขตดังนี้...

สุวรรณขีด...แร่กายสิทธิ์ หายากที่สุด คือสุวรรณเขต หรือขีด ยังไม่มีใครบอกได้ว่า รูปพรรณเป็นฉันใด บอกได้แต่คุณสมบัติว่า ขีดไปที่โลหะอะไร โลหะนั้นจะกลายเป็นทอง (คำ)

ใน สมัยรัชกาลที่ 3 ร่ำลือกันว่า สุวรรณขีด ฝังอยู่ในบริเวณพระเศียรหลวงพ่อโต (หน้าตัก 9 ศอก 21 นิ้ว) พระประธานวัดสระตระพาน เมืองเพชรบุรี (ตอนนี้เป็นวัดร้าง)

นักเลง ประวัติศาสตร์โบราณคดีรุ่นอาจารย์ล้อม สืบเสาะจนได้ความ ตามโฉนดที่ดิน ชื่อเดิมวัดนี้คือ วัดสัตตพาน ชื่อพระองค์นี้ มีสองชื่อ พระศรีสรรเพชญ์สัตตะพันพาน ชื่อหนึ่ง

พระพุทธสุวรรณเขต (หรือขีด) อีกชื่อหนึ่ง

ชื่อแรก เล่าสืบกันมาว่า โลหะที่หล่อองค์หลวงพ่อ ใช้พานถึงเจ็ดพันใบ

ชื่อสอง พระพุทธสุวรรณเขต (หรือขีด) บอกนัยว่า ช่างหล่อได้ฝัง “สุวรรณขีด” ก้อนแร่กายสิทธิ์ไว้

ชื่อสองนี่เอง ก่อเหตุเภทภัยให้กับองค์หลวงพ่อ

ผู้มีบุญบารมีในยุคนั้น เกิดอยากนิมนต์ท่านจากเพชรบุรีไปไว้ในกรุงเทพฯ ตอนอยู่เมืองเพชร เม็ดพระศกสัญลักษณ์ศิลปะสมัยทวาราวดี ก็สวยงามดีอยู่

แต่มาอยู่กรุงเทพฯ ก็มีช่างฝีมือทักว่า เม็ดพระศกท่านใหญ่ไป...ไม่งาม

จัดการเลาะเม็ดพระศกเก่าออก แล้วเติมเม็ดพระศกใหม่ ขนาดเล็กกว่าแทน

ใคร อยากดูว่า เม็ดพระศกหลวงพ่อโตองค์นี้ ใหญ่เล็ก งามไม่งามยังไง...ก็ไปขอพระท่านดูได้ ในโบสถ์วัดบวรนิเวศ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่อยู่หลังพระชินสีห์...องค์นั้นแหละ

การ เลาะเม็ดพระศกหลวงพ่อโตครั้งกระนั้น จะพบแร่กายสิทธิ์หรือไม่? พบแล้วเอาไปขีดโลหะอื่นเป็นทองไปแล้วหรือเปล่า? เป็นเรื่องที่สืบหาไม่ได้

อาจารย์ล้อมท่านแค่ตั้งข้อสังเกต นี่คือตัวอย่างให้ประจักษ์ว่า

ความละโมบของคนนั้น...สามารถทำได้ทุกอย่าง

อาจ เป็นเพราะข่าวการเลาะเม็ดพระศกเศียรพระ แต่ครั้งกระนั้นแพร่หลาย ชื่อและความเชื่อแร่กายสิทธิ์สุวรรณขีด ก็เริ่มสร่างซาและหายไป จนวันนี้ ไม่มีปรากฏอยู่ในพจนานุกรมฯ

อ้างอิง(ลอก)ข้อมูลจาก บ้านธรรมะรักโข และ นสพ.ไทยรัฐปีที่ 58 ฉบับที่ 18168 ประจำวันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2550
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 215

เหน่งบา

07/10/2015 08:27:32
1,866
อยากบอกอีกครั้ง
วัดหลายวัดในกรุงเทพ ไม่ได้อยู่ไกล ไม่ได้ไปยากเกินกว่าจะไปเยี่ยมชม พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลายต่อหลายองค์อันนับได้ว่าเป็นสมบัติแผ่นดิน อยู่ไม่ไกลให้เราได้ไปเห็นความงดงามกับตาครับ ไม่ว่าวัดสุทัศน์ วัดบวรนิเวศ วัดโพธิ์ วัดแจ้ง(วัดอรุณ) วัดราชประดิษฐ์ วัดราชบพิตธ โดยเฉพาะวัดพระแก้ว ซึ่งไม่ได้มีแค่พระ แต่มีสิงงดงามจากอดีตอันเป็นมรดกตกทอดทางศิลปะวํฒนธรรม ที่บรรพบุรุษได้ทิ้งไว้ให้แผ่นดิน รอให้เราได้ไปเห็น ไปภาคภูมิใจครับ

ภาพที่นำมาให้ดู ถ่ายทอดความงานที่แท้จริงได้เพียงส่วนเสี้ยวครับ ของจริง..แต่ละอย่าง..หากได้ไปเห็น งดงามกว่าภาพที่ผมถ่ายมามากกว่ากันอย่างเทียบไม่ได้

หลวงพ่อสุวรรณขีดนี่ดูจากภาพก็เฉยๆ แต่องค์จริง ผมไปยืนมองอยู่พักใหญ่ สัมผัสได้ว่า องค์ท่านงดงามมากครับ ยิ่งดูยิ่งสวย

วัดบวรอยู่แค่บางลำพูนี่เองครับ หากมีวันว่าง จากบางลำพู ไปสนามหลวง ละแวกนั้นมีวัดสำคัญให้ได้ไปชมอย่างจุใจครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 216

tangkoo.

08/10/2015 19:51:53
1,368
อ่านสนุกดี และได้ความรู้เพิ่มด้วยครับ ขอบคุณวิทยากรทั้งสองท่านด้วย^^

แต่กระทู้นี้ผมขอเวลาว่าง สักสองสามเดือนนะครับ จะอ่านรวบยอดทีเดียวเลย555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 217

Ahura

08/10/2015 22:26:49
1,663
กระทู้นี้อ่านตอนก่อนนอนแล้วหลับไวกว่าเสียบ Dita เข้าหู ฟัง Mozart ขับกล่อมอีกนะครับ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 218

เหน่งบา

09/10/2015 08:50:43
1,866
อยากจะอ้างนิดนึงว่า เว็บเฮีย ผมทำให้ตัวหนังสือเปลี่ยนสีกับขนาดไม่ได้ ข้อความเยอะจะดูน่าเบื่อ แต่นั่นมันปลายเหตุครับ

เพราะข้อมูลหลายอย่าง ตัดแปะมาล้วนๆ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเลือกว่า จะใส่ข้อมูลให้มาก แล้วน่าเบื่อ หรือใส่ข้อมูลแค่พอน่าอ่าน

สรุปว่าผมยอมให้มันน่าเบื่อแต่ข้อมูลเยอะไว้ก่อนครับ เผื่อใครอยากได้รายละเอียดก็จะได้เห็นครบหน่อย มันจะน่าเบื่ออ่านแล้วง่วงก็ยอมรับสภาพ ^ ^

>
>
ตอนนี้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติพระนคร ที่อยู่ข้างๆมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งที่ผ่านมา มีการบูรณะซ่อมแซมสถานที่อาคารหลายแห่ง (หลายตึกจะเข้าไปชมไม่ได้) มีอาคารหนึ่ง บูณระเสร็จเแล้ว คือพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน ทางพิพิธภัณฑ์เลยจัดนิทรรศการเป็นการฉลองเปิดตัวครับ สมเด็จพระเทพฯท่านเสด็จไปเปิดงานด้วย มีการจัดแสดงศิลปะวัตถุล้ำค่ามากมายหลากหลายสิบชิ้น ไม่ได้แค่ดึงของในพิพิธภัณฑ์มาจัดแสดง หากแต่ยังยืมของล้ำค่าสำคัญๆจากหลายที่มาจัดแสดงด้วย ประมาณว่า เรายกกรุมาไว้ที่นี่ครับ ของหลายชิ้น ที่เคยอยู่ตามหลายที่ซึ่งหากเราดั้นด้นไปดู จะได้เห็นเพียงสิ่งเดียว หรือบางที่ ปกติไม่มีทางได้เห็น อย่างเทวรูปสำริดขนาดใหญ่(ประมาณสามเท่าของคน)พระศิวะและพระวิษณุ ของเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ก็ได้มาจัดแสดงให้ได้ชมอย่างใกล้ชิดในพระที่นั่งศิวโมกข์พิมานนี้ด้วย ภายในบูรณะเสร็จเรียบร้อยสวยงาม ติดแอร์เย็นฉ่ำ ตอนนี้มีกรุมหาสมบัติอันล้ำค่าของแผ่นดิน(ศิลปะวัตถุครับ ^ ^) มาจัดแสดงให้ดูเป็นบุญตา

สุดสัปดาห์หรือแม้วันธรรมดา หากใครว่าง พอแวะไปแถวสนามหลวง ขอบอกว่า แวะเข้าไปชมให้ได้นะครับ โอกาสแบบนี้พอได้แต่หาไม่ได้
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 219

tram

09/10/2015 22:57:27
6








ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 220

tram

09/10/2015 22:59:38
6
เคยไปมาเหมือนกัน น่าจะเป็นช่วงน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ เพิ่งจะได้ความรู้จากคุณเหน่งบานี่แหละว่า พระองค์โตที่ด้านหลัง มีความเป็นมาอย่างไร
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 221

tram

09/10/2015 23:06:04
6










พระสุโขทัย นามอะไร ลืมไปแล้ว วัดมหรรณพาราม ตรงข้ามศาลเจ้าพ่อเสือ รูปนี้ถ่ายนานแล้วเหมือนกัน พอดีว่าวันนั้นที่บ้านเค้าชวนกันไปไหว้ตั่วเล่าเอี๊ย พอไหว้เจ้าเสร็จแล้ว ก็เลยแวบข้ามถนนมาดู เพิ่งรู้ว่ามีพระที่งามมากที่วัดนี้ องค์พระใหญ่พอสมควรเลย กล้องคอมแพ็คมันมีปัญญาเก็บภาพได้แค่นี้แหละ เป็นอีกวัดนึงที่แนะนำให้ไปชมความงามของพุทธศิลป์
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 222

เหน่งบา

10/10/2015 04:22:00
1,866
ขอบคุณคุณtram นะครับ สำหรับภาพสวยงามที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงองค์ประกอบศิลป์ในโบสถ์วัดบวรฯและเจดีย์(ซึ่งที่จริงเจดีย์นี่เป็นองค์ประธานในการวางผังสถาปัตย์ของวัดเลยครับ มีความสำคัญมากที่สุด แต่เปลี่ยนไปตามกาละและเวลา คือ สมัยก่อนโน้น เป็นปรางค์ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเจดีย์ตามคติและสมัยนิยมในยุคอยุธยาตอนกลางกับตอนปลาย)

ขอบคุณสำหรับข้อมูลพระพุทธรูปในวัดมหรรณพารามครับ ไว้จะตามไปดูแน่นอน ^ ^ เพราะอยู่ในละแวกที่ผมจะเดินเที่ยวพอดี สำหรับย่านเมืองเก่าแถบสนามหลวงท่าพระจันทร์ วังบูรพา ราชดำเนิน บางลำพู บางรัก แพร่งสรรพศาสตร์ ถ.ตะนาว นางเลิ้ง อะไรประมาณนั้น...โดยมีจุดประสงค์อยู่สองสถานคือ เที่ยวโบราณสถาน กับร้านอาหารเก่าครับ 5555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 223

เหน่งบา

10/10/2015 04:30:23
1,866



แทรกนิดนึงครับ เรื่่อง ลักษณะการสร้างนิ้วพระหัตถ์พระพุทธรูป ที่บางองค์จะเห็นมีนิ้วพระหัตถ์ทั้ง ๔ นิ้ว พระบาททั้ง ๔ นิ้วยาวเสมอกัน ต้องตามคัมภีร์มหาปุริสลักษณะ

ทีแรกเข้าใจว่า การสร้างแบบนั้น เก่ากว่า(สำหรับพระสุโขทัย) แต่เมื่อตรวจสอบพระพุทธรูปอ้างอิงตามลำดับเวลารัชการของการครองราชย์ สรุปว่า ยุคสุโขทัยตอนต้นๆจริง สร้างพระพุทธรูป แบบนิ้วพระหัตถ์สั้นยาวลดหลั่นกันเหมือนคนธรรมดาครับ

ต่อมาจึงทำให้เหมือนคัมภีร์คือ ออกแบบสร้างให้นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน และกลับเป็นยาวไม่เสมอกันอีกในภายหลัง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 224

เหน่งบา

10/10/2015 04:36:08
1,866



อันนี้ พระหัตถ์ขวาของพระอจนะ วัดศรีชุมครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 225

เหน่งบา

10/10/2015 05:19:34
1,866



อีกเรื่อง(ที่จริงเรื่องใหญ่ แต่ผมรู้น้อยขอพูดถึงสั้นๆคร่าวๆเท่านั้น) คือเรื่องยุคของการสร้างพระครับ

เราเรียกพระพุทธรูปตามยุคสมัย คือแท้ที่จริง ตามแบบพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้น พระสุโขทัย พระเชียงแสน พระอู่ทอง พระอยุธยา

แต่ พระที่สร้างตามศิลปะนั้นๆ อาจไม่ได้สร้างในสมัยนั้น????

คือสมัยก่อน ช่างถิ่นไหน ก็สร้างพระตามศิลปะและความชำนาญในการสร้างของแคว้นนั้น อาจจะมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมระหว่างกัน หรือแม้แต่มีการกวาดต้อนคนในยุคที่มีการทำสงคราม ตีบ้านชิงเมือง เอาสมบัติ ทรัพยากร ช่างฝีมือต่างๆไปสู่บ้านเมืองตน ทีนี้ให้อยู่ที่ไหน จะสร้างงานศิลปะ ก็มักสร้างตามความรู้ความชำนาญที่ตนมี

ดังนั้น พระที่เห็นเป็นรูปแบบต่างๆ ย่อมเป็นฝีมือของช่างสายนั้นๆ ไม่ว่าเชียงแสน สุโขทัย อยุธยา แต่การสร้าง อาจเป็นในยุคต่างๆกัน

ช่างสุโขทัย อยู่ในสุโขทัย แม้ในสมัยอยุธยา ถ้าสร้างพระขึ้นมาก็สร้างพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยอยู่ดีครับ ^ ^ ตรงนี้มักตัดสินกันตามหลักฐานเช่นถ้ามีการจดบันทึกไว้ชัดเจนว่าพระองค์นั้นสร้างขึ้นในสมัยใด เช่น พระพุทธชินราช สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าลิไทเป็นต้น
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 226

tram

11/10/2015 00:28:43
6
ผมเองก็แค่รู้แบบงูๆปลาๆ ที่ไปไหว้พระก็ประมาณว่า หาที่พึ่งทางใจล่ะครับ บางช่วงของชีวิตอะไรๆมันก็แย่ไปหมด คนที่เราเคยคิดว่าเป็นเพื่อน มันจะพิสูจน์กันก็ตอนนี้แหละ อย่าว่าแต่เพื่อนเค้าไม่สนใจเลย ขนาดหมาข้างบ้านมันยังไม่เหลียวมองเลยครับ เลยคิดได้เพียงว่า คำว่า "กัลยาณมิตร" นั้นที่แท้ก็คือ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" นี่เอง

ขอโทษที่พูดออกนอกเรื่องไป พูดถึงกัลยาณมิตรแล้ว ก็ขอแนะนำเส้นทางเดินชมวัดอีกแนวหนึ่ง แนะนำว่าเริมตั้งต้นที่ปากคลองตลาด เล็งแนวคลองหลอดไว้ครับ เดินไปตามถนนเลียบคลองแล้วไปสุดที่ท่าเรือข้ามฟากตรงประตูบายน้ำคลองหลอดออกเจ้าพระยา ตรงนั้นมีท่าข้ามเรือไปยังฝั่งวัดกัลยาณมิตร ไปไหว้หลวงพ่อโตซำปอกง เสร็จแล้วแวะศาลเจ้าเกียนอันเก็ง ไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิม ที่ศาลเกียนอันเก็งนี้ เป็นศิลปะแบบแต้จิ๋วมั้ง มีงานแกะสลักไม้สวยงามมาก ปัจจุบันนี้ที่ศาลเปิดให้เข้าสักการะในวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น แล้วก็ห้ามถ่ายรูปด้วย แต่ถ่ายด้านนอกได้น่ะ

เดินเลียบถนนริมเจ้าพระยาแบบชิลๆต่อลงมาทางฝั่งสะพานพุทธ ก็เป็นวัดประยุรวงศาวาส มีพระเจดีย์ใหญ่โตสวยงาม แล้วก็มีพระพุทธนาคน้อย ที่ว่ากันว่าส้รางในยุคเดียวกับพระองค์โตที่วัดสุทัศน์ เดี๋ยวมีรูปให้ดู เสร็จแล้วค่อยๆเดินลัดเลาะใต้สะพานพระปกเกล้าผ่านโรงเรียนศึกษานารี แล้วข้ามสะพานลอยมา ยังมีวัดพิชยญาติการาม วัดนี้อย่าพลาดเชียว มีพระสิทธารถที่พุทธลักษณะงามมาก นอกจากนี้รอบพระอุโบสถยังมีแผ่นหินแกะสลักเรื่องสามก๊กให้ได้ดูด้วยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 227

tram

11/10/2015 00:36:05
6
หลวงพ่อโตวัดกัลยาณมิตร




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 228

tram

11/10/2015 00:37:50
6
ศาลเจ้าเกียนอันเก็ง














ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 229

tram

11/10/2015 00:40:39
6
วัดประยุรวงศาวาส



















ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 230

tram

11/10/2015 00:42:55
6
วัดพิชยญาติการาม









ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 231

tram

11/10/2015 00:53:12
6
แถมรูปอาแปะเล่นเจ็งให้อีกรูป ก็รูปขยายอันข้างบนนั่นแหละ ผมเล็งดูแล้ว ไม่น่าจะเป็นตีขิมน่ะ แต่เอาเป็นว่า มันก็แค่นิยายสามก๊ก




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 232

เหน่งบา

11/10/2015 06:45:37
1,866



ขอบคุณจริงๆ สำหรับข้อมูลดีๆที่เข้ามาร่วมกระทู้กันครับ ผมคงมีเป้าหมายใหม่เพิ่มในการเข้ากรุงมาเที่ยวแล้ว ^ ^

จะทยอยลงภาพสมบัติแผ่นดินที่จัดแสดงในนิทรรศการ ณ พระที่นั่งศิวโมกข์พิมานนะครับ
อาจมีบรรยายข้อมูลบ้างเท่าที่พอรู้ ไม่บรรยายบ้าง..เพราะของที่เห็น ก็แสดงคุณค่าอยู่ในเองอยู่แล้ว
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 233

เหน่งบา

11/10/2015 06:50:15
1,866



เศียรพระขนาดใหญ่มโหฬาร พบที่วัดพระศรีสรรเพชร ตรงที่มีเจดีย์สามองค์ติดวังหลวงบนเกาะเมืองอยุธยา

ใหญ่ขนาดไหน ก็พระพุทธรูปยืนที่เห็นอยู่สองข้างนั่น ขนาดสเกลเท่ากับคนจริง(ผู้หญิง)น่ะครับ คิดดูว่า เศียรพระที่เห็นจะใหญ่โตสักเพียงใด ในขณะที่มีความงามอย่างยิ่ง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 234

เหน่งบา

11/10/2015 06:51:53
1,866



เทวรูปสทาศิวะ(พระศิวะห้าเศียร) พบที่วัดหน้าพระเมรุ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 235

เหน่งบา

11/10/2015 06:52:50
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 236

เหน่งบา

11/10/2015 06:53:25
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 237

เหน่งบา

11/10/2015 06:54:01
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 238

เหน่งบา

11/10/2015 06:55:08
1,866



ของสำคัญหลายชิ้น มาให้ชื่นชมกันใกล้ๆชนิดเอื้อมมือถึงเลยครับ เป็นโอกาสอันดีจริงๆ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 239

เหน่งบา

11/10/2015 06:55:54
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 240

เหน่งบา

11/10/2015 07:06:23
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 241

เหน่งบา

13/10/2015 08:26:55
1,866



ทับหลังศิลาจำหลักอันงดงาม

มองเลยไปข้างหลัง จะเห็นเทวรูปพระศิวะ และพระวิษณุ(นารายณ์)อยู่ลึกเข้าไป ซึ่งจะเห็นสเกลด้วยมีคนยืนอยู่เทียบให้รู้ว่า ขนาดขององค์เทวรูปสำริดสององค์นี้ ใหญ่มาก ขนาดสามเท่าของคน และสร้างขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบทางศิลปะ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 242

เหน่งบา

13/10/2015 08:28:24
1,866



พระศิวะ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 243

เหน่งบา

13/10/2015 08:29:56
1,866



พระวิษณุ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 244

เหน่งบา

13/10/2015 08:31:57
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 245

เหน่งบา

13/10/2015 08:32:35
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 246

เหน่งบา

13/10/2015 08:33:28
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 247

เหน่งบา

13/10/2015 08:37:31
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 248

tram

11/11/2015 22:47:08
6





อยากให้คนไทย ไปเที่ยวเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์กันเยอะๆครับ ปกติแล้วมิวเซียมนี่ ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของแต่ละประเทศเลยน่ะ แต่ที่นี่มันดูเก่าเกิ้น

ในรูปข้างบนนี่ ก็ถ่ายไว้ตอนปีที่น้ำท่วมแหละ จะเห็นว่ามีแผ่นหินอยู่ด้วย แผ่นหินอันนี้ัมนมีความพิเศษอยู่ที่ เมื่อเคาะแล้วจะมีเสียงดังคล้ายระฆัง เสียงอย่างเพราะเลย เวลาไปแล้ว ต้องแอบไปเคาะทุกที
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 249

tram

11/11/2015 22:53:02
6





รูปนี้ก็ไปมาเมื่อเดือนที่แล้ว เพราะน้าเหน่งบานี่แหละ ผมเลยต้องไปเดินเที่ยวเลย วันั้นเขา้ไปซื้อของที่บ้านหม้อ แต่มาคิดๆดู ไหนๆก็พอมีเวลา ไปเดินมิวเซียมสักหน่อยไม่ได้ไปนานแล้ว

รูปพระโพธิสัตว์สององค์นี้ ผมนำมาวางเทียบกัน เพราะเป็นยุคสมัยศรีวิชัยเหมือนกัน แต่จะปีใดก็ไม่อาจทรา่บได้ จำได้รางๆเลือนๆว่าเคยอ่านเจอหนังสือตอนสมัยเด็กๆว่า กรมยาดำรงราชานุภาพท่านไปเจอรูปหล่อพระโพธิสัตว์เหล่านี้ ถูกทิ้งไว้ข้างกำแพง(คงจะเป็นวัดเวียง?)ที่อำเภอไชยา ท่านเห็นว่างามเลยเก็บมา

จะสังเกตเห็นว่า รูปพระโพธิสัตว์ขวามือนั้น ยอดมงกุฎนั้นหักไปแล้ว ซึ่งถ้าเทียบเคียงงานศิลปะแล้ว ก็น่าจะมีความคล้ายคลึงกับองค์เล็กทางซ้ายมือน่ะครับ ดูจากลวดลายสร้อยประคำก็คล้ายกันมากเลย ทั้งสององค์นี้เป็นรูปพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เช่นเดียวกัน ดังนั้นบนยอดมงกุฎก็คงจะเป็นพระอมิตตาภพุทธเจ้าตามคติมหายานครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 250

tram

11/11/2015 23:00:29
6





มีรูปซ้ำกับน้าเหน่งบาหน่อย แต่เห็นว่าเป็นรูปพระโพธิสัตว์ก็เลยเอามาไว้ด้วยกัน องค์ซ้ายมือ ตามคำอธิบาย เค้าบอกว่าเป็นรูปโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นโยคี มีที่มาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ ผมเลยคิดเล่นๆดู สงสัยว่าพวกพ่อค้าของโบราณคงจะเห็นว่าไม่งามไม่น่าจะขายได้ เลยเหลือมาให้เราได้ดูจนทุกวันนี้ 555

ส่วนรูปขวามือ เค้าบอกว่า วัดวิเศษการให้ยืมจัดแสดง ก็คิดอยู่นานว่าวัดวิเศษการอยู่ไหนน๊า? ชื่อคุ้นๆ นึกอยู่ตั้งนาน อยู่ตรงแยกพรานนกก่อนถึงศิริราชนั่นเอง ในคำอธิบายประกอบการจัดแสดงก็ไม่ได้บอกว่าเป็นพระพุทธรูปอะไร แต่ผมเดาว่าคงจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ เพราะดูบนฝ่ามือแล้วมีรูปดอกบัว ก็คงหมายถึงนิยตโพธิสัตว์ ผู้เที่ยงแท้ต่อการได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภายภาคหน้า ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัย

ก็ถ่ายรูปไว้แค่นิดหน่อย ไม่ได้พกกล้องไป ถ่ายกะมือถือพอได้ฟีลเพลินๆ ก็โอเคแล้ว วันนี้ก็คงมีแค่นี้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 251

เหน่งบา

24/12/2015 12:00:45
1,866



หวังว่า เว็บใหม่นี่ คงมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ทำให้ลงรูปได้ง่ายหน่อยนะครับ ผมเสียเวลามาย่อรูปเป็นชั่วโมงๆกว่าจะทำเสร็จ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 252

เหน่งบา

01/02/2016 06:29:05
1,866
ต่อครับ

ขออนุญาตบ่นต่อนิดนึง คือ ประดารูปที่มาตัด ย่อจนได้ตามเงื่อนไขคือ ไม่เกิน 200kb กลายเป็นว่า หลายรูปก็ลงไม่ได้อยู่ดี ต้องเอาให้เล็กกว่า 190-180ลงมาอีก ถึงจะลงภาพได้ รอบแรกทำอยู่เกือบสองชั่วโมง มาเจอลงภาพยังไม่ได้อีกนี่หมดแรงครับ เซ็งจนขี้เกียจจะลงภาพต่อ รออีกหลายวันถึงมีแก่ใจจะมาย่อใหม่

หวังอีกครั้งนะครับ ว่าเว็บใหม่ คงมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ทำให้ลงรูปได้ง่ายหน่อยนะครับ = =*
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 253

เหน่งบา

01/02/2016 07:03:49



ที่เอามาในกระทู้นี้ เป็นภาพบางส่วนของเรือพระที่นั่งที่ใช้ในพระราชพิธี อยู่ในความดูแลของกองเรือเล็ก กองทัพเรือ คลองบางกอกน้อย

เชื่อว่าคนไทยทุกคนคงเคยเห็นภาพ แต่อาจไม่ได้นึกถึงว่า ของจริง มีให้ไปดูไปชื่นชมกันได้ใกล้ๆนี้เองครับ ข้ามสะพานปิ่นเกล้าไปไม่ไกล สามารถเข้าไปชมเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ นารายณ์ทรงสุบรรณ อนันตนาคราช เอนกชาติภุชงค์กันได้แบบระยะประชิด

เรือพระที่นั่งเหล่านี้ เป็นสมบัติขั้นสุดยอดของแผ่นดินครับ วิจิตรงดงามสุดอลังการ แสดงให้เห็นถึงความเจริญสูงสุดทั้งในแง่ศิลปะกรรม งานช่าง สถาปัตยกรรม และศิลปะการต่อเรือชั้นสูง...เรือพระที่นั่งขนาดมหึมายาวสี่สิบกว่าเมตร(เท่าตึกแถวเกือบสิบห้อง)ที่งดงามขนาดนั้น ทุกลำ สามารถใช้งานได้จริง ลอยล่องในแม่น้ำขนาดใหญ่อย่างเจ้าพระยาได้ทุกลำ มิใช่แค่ทำขึ้นสวยๆลอยจอดในอู่

คงมีไม่กี่ประเทศในโลกที่มาความเจริญทางศิลปวัฒนธรรมสูงถึงเพียงนี้ ต่อให้มีการต่อเรือที่ลักษณะเดียวกับเรา ผมก็มั่นใจว่าไม่น่าจะสวยกว่า(หรือแม้สวยเท่าเรา ^ ^) และยิ่งการมีมากและมีพระราชพิธีใหญ่แบบลอยเรือเป็นหมู่ เป็นพระราชพิธีเสด็จทางชลมารค...มีประเทศเดียวในโลกครับ

ที่บรรยายมา ไม่อาจถ่ายทอดความยิ่งใหญ่งดงามที่มีอยู่จริงได้แม้แต่หนึ่งในหมื่น

ขอตัดแปะงานเขียนของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยะกฤต จากหนังสือ"คิดถึงครู"มาบรรยายความรู้สึกของตนเองยามเมื่อได้ไปเห็นหมู่เรือพระราชพิธีของจริงครับ

'..คนอื่นเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกเช่นเดียวข้าพเจ้า เป็นความรู้สึกภาคภูมิหวงแหนยิ่งกว่าชาตินิยม มันเป็นศักดิ์ศรีโอ่อ่าและจองหอง แสดงถึงความเป็นอารยชาติของเราแต่เก่าก่อน ก่อนที่จะเป้นประเทศด้อยพัฒนาเล็กๆ เหลือเพียง..อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์...หรือไม่ก็ไม่เหลืออะไรเลย'
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 254

เหน่งบา

01/02/2016 07:04:34
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 255

เหน่งบา

01/02/2016 07:05:15
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 256

เหน่งบา

01/02/2016 07:06:18
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 257

เหน่งบา

01/02/2016 07:07:13
1,866



เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ(รัชกาลที่๙)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 258

เหน่งบา

01/02/2016 07:08:34
1,866



เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 259

เหน่งบา

01/02/2016 07:09:23
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 260

เหน่งบา

01/02/2016 07:10:15
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 261

เหน่งบา

01/02/2016 07:10:54
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 262

เหน่งบา

01/02/2016 07:13:15
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 263

เหน่งบา

01/02/2016 07:15:33
1,866



เรือพระที่นั่งเอนกชาติภุชงค์(ลำนี้เคยเห็นแต่ไกล ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบอย่าง อนันตนาคราช แต่พอมาดูของจริง อึ้ง..หรือเรียกว่าตะลึงไปเลยกับรายละเอียดที่งดงามพิสดารตลอดลำเรือยาวสี่สิบกว่าเมตร)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 264

เหน่งบา

01/02/2016 07:18:08
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 265

เหน่งบา

01/02/2016 07:18:44
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 266

เหน่งบา

01/02/2016 07:19:26
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 267

เหน่งบา

01/02/2016 07:20:19
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 268

เหน่งบา

01/02/2016 07:21:00
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 269

หูทองเหลือง

01/02/2016 23:34:42
เป็นกระทู้ที่อัดแน่นด้วยสาระความรู้จริงๆ ผมเห็นมานานแล้วมองข้ามไป จนมาตั้งใจอ่านวันนี้เอง
ผมมัวไปอยู่ไหนมา พลาดของดีไปตั้งนาน ว่าแล้วก็เขกหัวตัวเองสองโป๊ก!!
ขอบคุณคุณเหน่งบา อ.ahura และทุกท่านที่ให้ข้อมูลความรู้ด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ แถมด้วยความเชื่อและสิ่งเร้นลับ
ผมชอบครับ ยิ่งเรียนรู้ศิลปะ วัฒนะธรรม ประวัติศาสตร์ของไทย ยิ่งทำให้ภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 270

หูทองเหลือง

02/02/2016 00:40:38
2,052
ขอนำรูปพระพุทธรูปที่งดงามมากองค์หนึ่งมาให้ดูครับ



พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ องค์พระประธานในพระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา ครับ

องค์พระนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบกษัตราธิราช จึงดูงดงามแตกต่างจากพระพุทธรูปทั่วไป และเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบัน (สูงประมาณ 6 เมตร หน้าตักกว้างประมาณ 4.40 เมตร)

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ วัดหน้าพระเมรุนั้น เป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ได้ถูกเผาทำลายโดยพม่าในครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 (เนื่องจากพม่าใช้วัดนี้เป็นที่ตั้งฐานบัญชาการทัพ และยังตั้งปืนใหญ่ยิงข้ามคูเมืองเข้าไปในฝั่งพระราชวังซึ่งอยู่ตรงข้ามกันพอดี) นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่องค์พระประธานยังคงความงดงามอยู่ได้มาจนถึงปัจจุบัน

ผมเห็นภาพองค์พระ(ชื่อยาวมาก..)ครั้งแรกราว 20 ปีมาแล้ว จากนิตยสารท่องเที่ยวและถ่ายภาพสมัยนั้น ตอนยังวัยรุ่นและเริ่มหัดถ่ายภาพใหม่ๆ (กล้องฟิล์มครับ) เห็นแล้วก็ประทับใจในความงดงามแปลกตา และก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปกราบและถ่ายภาพให้ได้ ตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่ผมไปเที่ยวอยุธยา ผมต้องไปวัดหน้าพระเมรุ เพื่อกราบหลวงพ่อเสมอ (และถ่ายภาพด้วยครับ 55)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 271

Park Pomme

04/02/2016 13:51:11
1
ขอบคุณสำหรับเนื้อหาที่สรรหามาแปะครับพี่เหน่งบา กิกิ ^_^
บางรูปผมโหลดไม่ขึ้น เนตกาก หรือภาพมีปัญหาไม่แน่ใจ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 272

เหน่งบา

04/02/2016 19:28:54
1,866
ผมกำลังจะขออนุญาตพอดี

เว็บที่ผมใช้ฝากไฟล์มันล่มครับ ผมมาเจอนี่แทบลมใส่เลย เพราะเสียดายมาก ปัญหาอย่างยิ่งก็คือ เว็บเฮีย แก้ไขไม่ได้ครับ (ขออภัยที่ต้องบอกแบบนี้ เพราะถ้าเป็นเว็บอื่น มันหมูมาก ก็แค่แก้ไขลงรูปใหม่)

ผมเลยขออนุญาตเฮียและพี่น้องที่เข้ามาอ่าน ขอลงซ้ำครับ เพื่อแก้ กู้ ข้อมูลที่ภาพหายไปให้อ่านได้ แต่มันอาจจะต้องทำต่อเนื่องเป็นชุดเพราะหลายจุดนั้นมันเป็นความเห็นต่อเนื่องกัน แล้วผมจะฝากทางadminลบความเห็นที่เน่าออก ท่านที่เคยอ่านไปแล้ว อาจจะรู้สึกว่ามันซ้ำนะครับ ขออภัยด้วย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 273

เหน่งบา

23/03/2016 08:44:20
1,866



มาดูกันอีกครั้งครับ กับพระนาคปรกในวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ซึ่งน่าจะใช้คำว่า ประดิษฐาน"แอบ"อยู่หลังเสาต้นหนึ่งด้านซ้ายมือของพระศรีศายมุนี เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธศิลป์อันงดงามแปลกตา คนสร้างมีจินตนาการสร้างสรรค์บรรเจิดมากครับ นาคที่เห็น ทำเป็นส่วนที่แยกต่างหาก ครอบองค์พระอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน ขนาดประมาณครึ่งเท่าของคนจริง

น้อยคนที่จะได้เห็น ขนาดคนที่ไปไหว้พระศรีศายมุนีที่วัดสุทัศน์บ่อยๆ ก็ไม่ค่อยมีคนรู้ว่ามีพระนาคปรกองค์นี้อยู่
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 274

เหน่งบา

23/03/2016 08:44:56
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 275

เหน่งบา

23/03/2016 08:45:24
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 276

เหน่งบา

23/03/2016 08:45:51
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 277

เหน่งบา

23/03/2016 08:46:23
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 278

เหน่งบา

23/03/2016 08:46:56
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 279

เหน่งบา

23/03/2016 08:47:25
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 280

เหน่งบา

23/03/2016 08:47:51
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 281

เหน่งบา

20/05/2016 17:38:04
1,866



งานนี้ ผมค่อนข้างลังเลที่จะตัดแปะข้อมูลประกอบครับ
เพราะไม่ได้คิดจะเอาตำนานพระแม่โพสพมาตัดแปะใส่กันดื้อๆ
ข้อมูลในส่วนที่ผมมี มันจะไปเกี่ยวกับแม่โพสพในทาง spiritual aspect ซึ่งเกรงว่าจะเกิดรายการโต้แย้งกันขึ้น เพราะการสัมผัสรับรู้ จะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลครับ มันจะเกี่ยวกับintuition ซึ่งอาจไม่ได้เห็นเป็นรูปธรรม แล้วถ้าท่านที่ไม่เชื่อก็อาจไม่ได้เลือกใช้คำพูดอย่างระวังก็ได้

เลยเอาเป็นว่าดูรูปไปก่อนละกันนะครับ ไว้ถ้าผมกลั่นกรองข้อมูลมาเล่าได้ จะพยายามถ่ายทอดให้ได้อ่านละกัน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 282

เหน่งบา

05/06/2016 19:18:43
1,866



ภาพเจดีย์โลหะศิลปะลพบุรี ถ่ายจากพิพิธภัณฑ์สถาน วังนารายณ์ (พระนารายณ์ราชนิเวศน์) ลพบุรีครับ มีสององค์
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 283

เหน่งบา

05/06/2016 19:19:31
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 284

เหน่งบา

05/06/2016 19:22:54
1,866



จะเป็นเจดีย์ที่มีอิทธิพลศิลปะของปาละครับ เป็นเจดีย์ทรงกระบอก คือองค์ระฆังไม่ได้บานออกเป็นจอมแห(แบบองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงลังกา..หินยาน)

การที่มีพระเยอะๆอยู่รอบๆนี่ก็เป็นการสะท้อนแนวคิดของพุทธมหายานด้วยครับ(เจดีย์ทางเหนือ เช่นเชียงใหม่ ลำพูนหลายที่)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 285

เหน่งบา

05/06/2016 19:23:26
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 286

เหน่งบา

05/06/2016 19:24:34
1,866



ส่วนองค์นี้ ถ่ายจากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 287

เหน่งบา

11/09/2016 11:29:18
1,866
อ้างอิงถึง Andromeda โดยขี้เกียจหาข้อมูล แต่ตัดแปะกระทู้ของ'จารย์ Ahura เพื่อบอกเล่าถึงที่มา http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=210658

ที่จะให้ดู ไม่ใช่ให้ดูอันโดรเมด้า แต่จะให้ดูสัตว์ประหลาดทางมุมขวาล่างของภาพในกระทู้อาจารย์ศิระ ซึ่งตามท้องเรื่อง มันคือ Kraken (อ่านประมาณว่า แคร็กเคน) ซึ่งที่จริง ไม่มีการระบุรูปพรรณสัณฐานตัวตนที่แท้จริงของมัน ประมาณว่า มันคืออสุรสัตว์จากห้วงลึกอันน่าสะพรึงกลัว โดยศิลปินทั้งหลายก็จินตนาการรูปร่างของมันแตกต่างกัน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 288

เหน่งบา

11/09/2016 11:29:50
1,866



Kraken
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 289

เหน่งบา

11/09/2016 11:30:39
1,866



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 290

เหน่งบา

11/09/2016 11:35:59
1,866



Kraken จะมารับ เครื่องสังเวย นางอันโดรเมด้า ผู้ยอมสละตน(sacrifice)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 291

เหน่งบา

11/09/2016 11:39:55
1,866



นี่ก็ Kraken ครับ 5555
อินทิเกรตแอมป์ Alchemist Kraken ซึ่งเอาชื่อสัตว์ประหลาดมาใช้ โดยมีจินตนาการที่เคยเห็นภาพว่า อสุรสัตว์ Kraken รูปร่างเหมือนปลากระเบน อันเป็นที่มาของอินทิเกรตแอมป์หน้าตาประหลาดแต่สวยที่สุดตัวหนึ่ง Alchemist Kraken ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 292

เหน่งบา

07/10/2016 09:47:14
1,866


แตกตื่น!!! พญานาคโผล่กลางน้ำที่อยุธยา
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 293

หูทองเหลือง

07/10/2016 10:21:55
2,052
เห็นแล้วเศร้าใจครับ
ศาสนสถาน ศาสนวัตถุ คงเสียหายไม่ใช่น้อย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 294

เหน่งบา

22/10/2016 07:40:10
1,866


           
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 295

เหน่งบา

22/10/2016 08:00:24
1,866


ปีก่อน  ช่วงปลายปี ผมเข้าไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร หรือวังหน้าเดิม ที่อยู่ติดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่สนามหลวง หลังจากนัดเจอกับสหายธรรม ซึ่งก็เป็นไปเกี่ยวกับเรื่องการสนองตัณหาทางหู(คือลองและคุยกันเรื่องหูฟัง)กับทางปาก(ชิมร้านอาหารที่ตั้งเป้าเล็งลัคน์กันเอาไว้) เสร็จแล้วผมก็มาเที่ยววัดหรือพิพิธภัณฑ์ตามธรรมเนียม

ตื่นตะลึงกับความวิจิตรเลิศอลังการของเหล่ามหาราชรถที่เป็นสมบัติแผ่นดิน อันแสดงถึงความเป็นอารยะชาติของเราแต่เก่าก่อน พร้อมทั้งชะงัก..สะดุดใจนิดๆ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า ของเหล่านี้ ใช้ในงานอะไร  แล้วก็นึกปลอบใจตัวเองว่า ไม่ต้องไปคิดมาก ของแบบนี้ ใครมาพิพิธภัณฑ์ก็ต้องเข้ามาดู คงอีกนานว่าพระมหาราชรถจะไ้"ออกโรง"

ไม่นึกเลยว่า จะต้องได้มาเห็นการใช้งานจริงของพระมหาราชรถเร็วเช่นนี้ T_T
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 296

เหน่งบา

22/10/2016 08:16:38
1,866


"พระมหาพิชัยราชรถ”(ในรูปแรกและรูปที่สอง) เป็นราชรถที่ไว้สำหรับเชิญพระบรมโกศออกถวายพระเพลิง (นำโกศไปยังสนามหลวง เพื่อถวายพระเพลิง) ตามประวัติแล้ว มีแต่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้สร้างขึ้น เพื่อเชิญพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (พ่อของรัชกาลที่ 1) ออกถวายพระเพลิง ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง ในปี พ.ศ. 2339 และนับจากนั้นมาพระมหาพิชัยราชรถ จึงใช้สำหรับเชิญพระโกศพระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินี และพระบรมวงศ์ผู้ทรงศักดิ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าในสมัยต่อๆ มา
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 297

เหน่งบา

22/10/2016 08:26:49
1,866


ข้อมูลที่ตัดแปะในความเห็นบน และ ต่อจากนี้ โดยคุณ Bell Dedduang.com ขอบคุณนะครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 298

เหน่งบา

22/10/2016 08:27:49
1,866


ประวัติการใช้งานพระมหาพิชัยราชรถ
พ.ศ. 2339 อัญเชิญพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก
พ.ศ. 2342 อัญเชิญพระศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี
พ.ศ. 2355 อัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พ.ศ. 2361 อัญเชิญพระศพสมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาศักดิพลเสพย์
พ.ศ. 2368 อัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พ.ศ. 2369 อัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีในรัชกาลที่ 1
พ.ศ. 2380 อัญเชิญพระศพสมเด็จพระศรีสุลาลัยพระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ 3
พ.ศ. 2395 อัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. 2409 อัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. 2412 อัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. 2423 อัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี
พ.ศ. 2453 อัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. 2539 อัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
พ.ศ. 2551 อัญเชิญพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
พ.ศ. 2555 อัญเชิญพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
ปัจจุบันพระมหาพิชัยราชรถได้เก็บรักษาไว้ ณ โรงราชรถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีความเชื่อว่า หน้าโรงเก็บราชรถจะไม่สร้างถนนไว้ กำแพงด้านหน้าโรงราชรถจะไม่มีทางออก หากใช้งานต้องทุบเท่านั้น และเมื่อเสร็จพิธีก็ต้องก่ออิฐปิดทันที โดยเป็นความเชื่อว่าราชรถไม่ควรอยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน “เป็นธรรมเนียมที่ว่า จะจัดทำทางลาดยางสำหรับนำราชรถออกมาเฉพาะเวลามีงานพระบรมศพหรือพระศพเจ้านายเท่านั้น หากเสร็จงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพหรือพระราชทานเพลิงพระศพเสร็จสิ้นจะมีการรื้อทำลายทางลาดยางนั้น เพราะงานที่ต้องใช้ราชรถอัญเชิญพระโกศเป็นงานอวมงคล”
ซึ่งความเชื่อต่างๆก็จะมีขึ้นมาตามทุกยุคทุกสมัย แล้วแต่สถานะ ท้องถิ่น ความเชื่อต่างๆ ก็จะมีที่มาที่ไปเสมอ ดังเช่น พระมหาพิชัยราชรถ หน้าโรงเก็บราชรถจะไม่สร้างถนนไว้ กำแพงด้านหน้าโรงราชรถจะไม่มีทางออก และเมื่อเสร็จพิธีก็ต้องก่ออิฐปิดทันที โดยเป็นความเชื่อว่าราชรถไม่ควรอยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 299

เหน่งบา

22/10/2016 08:41:27
1,866
(ที่เห็นภาพ มีแค่บางส่วนของราชรถในโรงราชรถนะครับ เพราะมีหลายคัน ซึ่งใช้กับบุคคลที่ดำรงสถานะต่างกัน แต่ มุมถ่ายรูปมันจำกัด อันเกี่ยวกับทิศทางของแสงด้วย และผมรู้สึกลึกๆในใจว่า ไม่ค่อยอยากถ่ายด้วย = =*)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 300

เหน่งบา

31/08/2017 20:04:09
1,866



คงเคยเห็น"รูปถ่ายพระพุทธเจ้า" กันนะครับ มีที่มีอ้างว่าชาวอังกฤษไปถ่ายได้ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิที่อินเดีย อธิษฐานขอให้แสดงความศักดิ์สิทธิ์เลยถ่ายได้รูปนี้มา  หรือกระทั่งเอ่ยอ้างว่าใครหลายคนถ่ายได้ที่นั่นที่นี่(ในไทยนี่เอง)


ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 301

เหน่งบา

31/08/2017 20:05:46
1,866



แต่ว่า นี่เป็นภาพตัดแต่งจากรูปวาด (มีมั่วว่าวาดโดยกรมหลวงชุมพร)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 302

เหน่งบา

31/08/2017 20:07:18
1,866



ต้นแบบมาจากรูปวาดแล้วมาตัดแต่งภาพ ต้นฉบับเป็นภาพวาดของจิตรกรชาวสเปน Eduardo Chicharro ซึ่งได้วาดภาพนี้ขึ้นในราวปี ค.ศ.1916-1921 (พ.ศ.๒๔๕๙ - ๒๔๖๔) ภาพนี้มีชื่อเป็นภาษาสเปนว่า  Las teantaciones de Buda  (Last temptations of Buddha) เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผ้าใบขนาดกว้าง 290 ซม.  ยาว 366 ซม.
ปัจจุบันภาพนี้แขวนอยู่ที่ Real Academia de Bellas Artes de San Fernando ( The Adacdmy of fined arts of St.Ferdinan) กรุงแมดริด ประเทศสเปน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 303

เหน่งบา

02/09/2017 17:39:38
1,866



เจตนาผม ไม่ได้แอนตี้"ภาพพระพุทธเจ้า"นะครับ
จะว่าไป ผมว่าผมชอบภาพนี้ด้วยซ้ำ เพราะเชื่อว่าส่วนมากคนก็จะคิดว่า เหมือนพระพุทธเจ้า..ในความรับรู้ความเข้าใจของคนทั่วไป
ซึ่งถ้ามองให้ทะลุ"เปลือก"ของประเด็นอิทธิปาฏิหาริย์ว่ามีคนถ่ายภาพพระพุทธเจ้ามาได้(และ...เอามาแสวงหาประโยชน์)
ไม่ว่าภาพนี้ หรือรูปเคารพในรูปแบบอื่น จะสามารถทำให้เรารำลึกถึงพระพุทธองค์ในแง่ความเป็นจริง นึกถึงพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ผมมองว่าเป็นสิ่งดีทั้งสิ้นครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 304

เหน่งบา

02/09/2017 17:43:05
1,866
ขออภัยครับ ตัวหนังสือบะเร่อเลย

ภาพพระพุทธอังคีรสในพระอุโบสถวัดราชบพิตร วัดประจำรัชกาลที่๕(และที่๗) ผมถ่ายไว้เกือบสองปีมาแล้วครับ ก่อนที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันท่านจะขึ้นเป็นพระสังฆราช
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 305

เหน่งบา

13/10/2017 17:32:12
1,866



...โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพรหมะกัง สัสสะมะณะพราหมะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง
สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัตวา ปะเวเทสิ

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ได้ทรงทำความดับทุกข์ ให้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ทรงสอนโลกนี้
พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม...

ตัดแปะมาจากส่วนหนึ่งของบทสวดมนต์ทำวัตรเช้าครับ ไปเที่ยวถ้ำพระโพธิสัตว์ แก่งคอย สระบุรีมา แล้วก็คิดว่ารูปสลักอันนี้ เข้ากับบทสวดมนต์ท่อนนี้เป๊ะ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 306

เหน่งบา

13/10/2017 17:40:20
1,866



เป็นภาพแกะสลักทำนองนี้ที่เก่าที่สุดในประเทศไทยครับ ที่เขางูราชบุรียังเกิดขึ้นหลังที่นึ่
ตอนไปผมเป็นคนขับพาน้องชายกับลูกของเขา(ก็หลานผมนั่นแหละ)ไปเที่ยว ไม่ได้หาข้อมูลก่อนไป แค่เตรียมแผนที่แล้วไปให้ถูก
ไม่มีความพร้อมในการถ่ายอันใด รูปที่ได้เลยไม่ดีเลย แต่ก็ได้อารมณ์มาก และมารู้ข้อมูลทีหลังด้วยความเสียดาย
ว่าเป็นภาพสลักอันทรงคุณค่า และมีรูปที่ถูกสลักมากกว่าที่ถ่ายมาได้ (มีการแกะสลักภาพทั้งพระพุทธ มหาเทวะ เทพยดา สัตว์ อยู่แปดรูป)
...ตั้งใจจะไปถ่ายซ่อมวันที่ ๒๖ ตุลา ๒๕๖๐ นี้ พร้อมอุปกรณ์เท่าที่จะขนไปได้(ขาตั้งกล้อง บันไดไว้ปีนถ่าย)
ซึ่งคงทรหดพอสมควร เพราะต้องขึ้นเขาไปสักครึ่งชั่วโมง บันได๗๐๐ขั้นไต่ไปตามความคดเคี้ยวของภูเขา
พร้อมทั้งหนังสือสวดมนต์ของสวนโมกข์...กะจะไปทำวัตรเช้าในถ้ำนั้นครับ น่าจะเป็นประสพการณ์ชีวิตอันควรค่าแก่การจดจำ

คงไม่มีใครสวดมนต์ทำวัตรที่นั่น เป็นเวลานานเนิ่นล่วงมาแล้ว



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 307

lukephong

16/10/2017 12:39:48
81
อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาสาระและความงดงามครับ ชอบคุณเจ้าของกระทู้และทุกท่านที่เข้ามาให้ความรู้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 308

เหน่งบา

17/10/2017 12:50:30
1,866



สามเทพสุภา ( Three Judges of Hades World) คือ 3 ผู้พิพากษาความดีชั่วของผู้ที่เสียชีวิตลงตามเทพปกรณัมของกรีก ประกอบไปด้วย ราดาแมนทีส (Radamanthys) ไมนอส (Minos, ภาษากรีก Μίνως) และไออาคอส (Aiacos, Aeacus ภาษากรีกแปลว่า ค้ำจุนโลก)

ราดาแมนทีสกับไมนอส เป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่เป็นบุตรของซุสและยูโรปา ทั้งคู่เมื่อยังมีชีวิตอยู่เป็นกษัตริย์ เมื่อตายลงจึงได้เป็นผู้พิพากษาในยมโลก ส่วน ไออาคอส เป็นบุตรของซุสกับอีคิตน่า แต่เดิมก็เป็นกษัตริย์เช่นกัน เป็นกษัตริย์ที่ทรงความยุติธรรม เมื่อตายลงจึงได้เป็นผู้พิพากษาเช่นเดียวกับราดาแมนทีสและไมนอส โดยจะทำหน้าที่แตกต่างออกไป ราดาแมนทีส จะพิพากษาวิญญาณผู้ที่ตายจากภาคตะวันออก ไออาคอสจะพิพากษาวิญญาณชาวกรีกและเฝ้าประตูนรก ส่วนไมนอส จะเป็นผู้พิจารณาความดีชั่วเป็นเบื้องต้น

ข้อมูลจากวิกิพีเดียครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 309

เหน่งบา

17/10/2017 12:52:44
1,866
(จากซ้าย) ราดาแมนทีส, ไมนอส, ไออาคอส
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 310

เหน่งบา

17/10/2017 15:07:10
1,866



ไต้สื่อเอี๊ย เทพผู้คุมวิญญาณจากปรโลก

ชาวจีนฮกเกี้ยนมีความเชื่อว่า ในเดือนเจ็ด โดยเริ่มตั้งแต่เวลาหลังเที่ยงคืน ของวันที่สามสิบ เดือนหกนั้น ประตูผีจะเปิดออก เพื่อให้เหล่าดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ได้กลับมาเยี่ยมโลกมนุษย์ และดวงวิญญาณเหล่านี้ จะท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม ซึ่งดวงวิญญาณเหล่านี้ก็จะกลับมาเยี่ยมลูกหลาน ในขณะที่ดวงวิญญาณไร้ญาติก็ออกหากินไปเรื่อย จะมีการจุดหรือเปิดโคมไปไว้หน้าบ้าน ตามศาลเจ้า เพื่อเป็นการส่องทางให้แก่ดวงวิญญานที่ขึ้นมาจากปรภพ

เกี่ยวข้องกับตำนานของพุทธมหายาน

ในพระสูตรมหายาน โยคะตันตระอัคนีชวาลมุขเปรตพลีโยคกรรม หรือพระสูตรว่าด้วยพิธีเทกระจาดมีใจความกล่าวว่า สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้า ทรงประทับ ณ วัดนิโครธาราม ในเมืองกรุงกบิลพัสดุ์ ขณะนั้น พระอานนท์ พุทธอนุชา ทรงปลีกวิเวกไปวิปัสสนาในป่า ขณะที่วิปัสสนาอยู่นั้น มีเปรตตนหนึ่ง สภาพน่าเกลียดร่างกายดำ ผอมแห้ง ในปากมีไฟ ได้กล่าวกับกับพระอานนท์ว่า "หากพระคุณเจ้าไม่กระทำการกุศลอุทิศให้กับเหล่าฝูงเปรต แลคนยากคนจนทั้งหลาย อีก 3 วัน พระคุณเจ้าจะมรณภาพ" พระอานนท์พุทธอนุชาทรงหวาดกลัวอย่างยิ่ง จึงกับไปที่วัดนิโครธาราม แล้วได้ทรงถามพระผู้มีพระภาคถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตอบกลับพระอานนท์ผู้เป็นพุทธอนุชาว่า "อย่าทรงหวาดกลัวไปไยเลย เปรตตนนั้นไม่ใช่ใครอื่น ที่แท้คือพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(เจ้าแม่กวนอิม) ทรงนิรมาณกายให้พระอานนท์ทรงมาบอกเรื่องนี้" เพราะว่าสมัยก่อนนั้น เรา ตถาคตเคยเป็นศิษย์ของสำนักพระอวโลกิเตศวรซึ่งพระองค์ทรงเคยสอนมหาธารณีมนตร์ ที่ใช้จะโปรดสัตว์ เพื่อโปรดเหล่าเปรต ซึ่งเป็นมหากุศลอันใหญ่ยิ่ง บัดนี้เรา ตถาคต จักแสดงเหล่าธารณีมนตร์ให้แก่เธอเพื่อใช้โปรดสัตว์ ซึ่งในช่วงเดือนเจ็ด เป็นเทศกาลเปิดประตูนรก พิธีนี้จึงเกี่ยวข้องกับพิธีพ้อต่อ ซึ่งพ้อต่อหมายถึง"อนุเคราะห์คนยากจน" ซึ่งคำนี้มาจากพิธีนี้

พ้อต่อก้ง กวนอิมไต่ซู ไต่สือเอี้ย พระผู้คุมวิญญาณในพิธีพ้อต่อเดือนเจ็ด

ไต่สือเอี้ย(大士爺) พ้อต่อก้ง(普渡公) กวนอิมไต่สือ(觀音大士) คือพระผู้คุมวิญญาณภูตผีปีศาจในพิธีเดือนเจ็ด ประวัติก็สืบเนืองจากในพระสูตรมหายาน โยคะตันตระอัคนีชวาลมุขเปรตพลีโยคกรรม ซึ่งไต่สือเอี้ยก็คือเปรตที่พระอวโลกิเตศวร (เจ้าแม่กวนอิม) แปลงกายมาให้พระอานนท์เห็น นั้นเอง ในพิธีเลยบูชารูปไต่สือเอี้ยเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเทกระจาด และในความเชื่อคนโบราณกล่าวว่า ไต่สือเอี้ย คือยมบาลเลยต้องมาตั้งบูชาเพื่อไม่ให้เหล่าภูตผีแย่งชิงอาหาร เทวรูปของพระองค์ทำมาจากโครงไม้ไผ่ ติดด้วยกระดาษ ตัวสีน้ำเงิน ใส่ชุดเกราะจีน มีพระอวโลกิเตศวร (พระแม่กวนอิม) อยู่บนยอดศีรษะของ ไต่สือเอี้ย มือซ้ายที่ป้อก่าย เขียนว่า 南無阿彌陀佛 "นำมอออมีถ่อฮุด"(นะโมอมิตพุทธ) แต่บางที่จะเขียนว่า 慶讃中元 "เค่งจั๋นตงหงวน" มือขวาชี้ลงเบื้องล่าง องค์ขนาดสูง20นิ้ว จนถึงสูงเท่าตึก3ชั้น ข้างองค์ไต่สือเอี้ย จะมีเทวรูปของ ยมทูตขาว และ ยมทูตดำ

ช่วงครึ่งปีหลัง หรือจะนับกันจริงๆ คือจะเริ่มนับตั้งแต่ เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตั้งฉากสูงสุดกับโลก (วันที่กลางวันเท่ากับกลางคืน วสันต์วิษุวัตร)แล้วค่อยๆลดระดับลง
ในสมัยโบราณจะมีการวัดพลังงานความเย็นของโลก เมื่อมันลดลงในระดับหนึ่ง ซึ่งจะเข้าราวๆวันที่ 1-2 สิงหาคม ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวอีกไม่กี่เดือน
เป็นช่วงเวลาที่พลังงาน หยิน ความมืดจะเริ่มเข้าปกคลุมโลก
ช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1-2 สิงหา จกว่าจะเข้าฤดูหนาว ทุกอารยธรรมโบราณ จะมีประเพณีเรื่องนี้ โลกวิญญาณ บรรพชนที่ ประตูของมิติวิญญาณจะเบาบางลง แต่ท้องถิ่นจะแตกต่างกันออกไป

ของจีนและไทยค่อยข้างใกล้กัน
ของฝรั่งคือวันฮาโลวีน จากนั้นก้จะเข้าฤดูหนาว เป็นการระลึกถึงโลกวิญญาณ เคลียร์พลังงาน ส่งวิญญาณไม่ให้ตกค้างก่อนเข้าฤดูหนาว

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 311

19/10/2017 19:01:50
พี่เหน่งบา ครับ

เคย ได้ฟังมาว่า  พวกดาวินเดียน กับ ทราวิด

  คนละอย่าง กัน  ดาวินเดียน

มีอารยธรรม ไม่แพ้ พวกอารยัน

มีเมือง เทคนิคการก่ สร้าง และ ระบบ ประปา

แบบ เมืองใหญ่ แต่ทราวิท เป็นพวกคนป่า
ให้กำลังใจ 1
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 312

Ahura

19/10/2017 23:02:23
1,663
คำว่า "ดราวิเดียน" (Dravidian) เป็นคำที่ออกเสียงจากฝรั่งที่เรียกชนพื้นเมืองดั้งเดิมแถบลุ่มแม่น้ำสินธุก่อนที่พวกอารยันจะมารุกราน โดยออกเสียงตามสันสกฤตว่า "ทราวิฑะ" ครับ

ดังนั้น ดราวิเดียน ทราวิฑ มิลักขะ หรือทมิฬ ล้วนแล้วแต่เป็นคนๆเดียวกันครับ แต่ถูกเรียกแตกต่างกันไป (ขึ้นอยู่ว่าใครเรียก) 
ชนกลุ่มนี้สร้างอารธรรมมาเนิ่นนานไม่น้อยไปกว่าอารยธรรมลุ่มแม่น้ำอื่นๆ (River Valley Civilization) เช่น ไนล์  ไทกริส ยูเฟรตีส หรือแยงซี ซึ่งจัดอยู่ในยุคหินใหม่ครับ

แถมเกร็ดนิดนึง คำว่า "ทมิฬ" แปลว่า "หอมหวาน" นะครับ ^ ^
แต่ชุดความคิดที่บิดเบือนความหมายดั้งเดิมจากหอมหวานมาเป็นโหดร้าย มาจากการที่สยามรับเอาพุทธลังกาวงศ์นำเข้ามาพร้อมความรู้สึกเกลียดกลัวพวกทมิฬแถมมาด้วยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 313

เหน่งบา

20/10/2017 07:34:51
1,866



เพิ่มเติมแง่มุมเกี่ยวกับคติความเชื่อเรื่องผีของจีนซึ่งรับอิทธิพลความคิดของพุทธมหายานซึ่งเน้นความเชื่อเชิงอิทธิปาฎิหาริย์ เทพเจ้า พระโพธิสัตว์ เพื่อดึงดูดศรัทธามหาชนในการแข่งขันกับฮินดู

ที่ไต้สื่อเอี๊ยเป็นผู้ควบคุม  คือ"วิญญาณเร่ร่อน"ใน"ปรโลก"นะครับ  โดยนัยยะนี้ หมายความถึงสัมภเวสีที่แสวงหาภพเกิด ที่ไม่ได้ตกไปสู่ภูมิจำเพาะเช่นนรก(กว้างไกลไพศาลมากมีหลายขุมหลายระดับมาก)

หลายที่ของข้อมูล ผมว่า ส่วนมากด้วยซ้ำ ใช้คำที่แปลไม่น่าจะตรงความหมาย คือ "ผี(หรือวิญญาณ)"(จาก)"นรก" ซึ่ง**ไม่ใช่** เพราะวิญญาณที่ได้รับโทษทัณฑ์ตามวิบากกรรมของตนเอง ไม่สามารถหนีหรือพักการลงโทษออกมาแดนวิกฤตเช่นนั้นได้ ในความเชื่อเรื่องเดือนปล่อยผี(เดือนเจ็ด)จะเป็นวิญญาณเร่ร่อน จากปรโลก คือโลกของคนตายครับ ที่เข้ามารับส่วนบุญ ของเซ่นไหว้ในโลกมนุษย์

คือวาระแห่งการเหลื่อมซ้อนของภพภูมินั่นเอง...

และศัพท์เฉพาะที่ทางจีนใช้ในการเอ่ยอ้างถึงวิญญาณเร่ร่อน หรือที่เรียกว่า ฮ้อเฮียตี๋..ซึ่งแปลตามตัวหนังสือคือ พี่น้องที่ดี ในการใช้ศัพท์นับญาติให้ฟังดูดีกว่าจะใช้คำว่าปิศาจ(กุ้ย) หรือวิญญาณในที่นี้ น่าจะแฝงนัยยะถึงการเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ในวัฏฏะสังสารครับ ว่าชาติหนึ่งชาติใดในนับไม่ถ้วนชาติภพของการเวียนว่่ายตายเกิด เขาอาจเคยเป็นญาติพี่น้องกับเรา ดังนี้การเซ่นไหว้วิญญาณเร่ร่อนด้วยข้าวปลาอาหารก็ดี ประเพณีชิงเปรตที่ทำบุญบริจาคให้คนยากคนจน โดยมุ่งอุทิศบุญกุศลให้ผีไม่มีญาติก็ดี เป็นแนวคิดในเชิงจาคะแก่ผู้อื่น(ทั้งคนทั้งผี) ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ เพื่อบุญให้ตนเองแต่ถ่ายเดียว

สังเกตอีกนิดว่า การทำบุญนั้น ทางภาคเหนือ มักใช้คำว่าทาน  เช่น บุญสลากภัต ก็ว่า ทานสลากภัต ทำบุญไปให้คนตาย ก็ใช้คำว่าทำทานไปหาผีตาย
บุญ เน้นที่ผลบุญที่ผู้ทำจะได้รับ
ทาน เน้นที่บุญที่จะผลบุญที่จะ"อุทิศให้"



ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 314

เหน่งบา

20/10/2017 07:45:58
1,866
ตอบความเห็น 311  
คนที่มาตอบในความเห็น 312 เป็นผู้ทรงความรู้อย่างยิ่งครับ โดยเฉพาะเกี่ยวกับรากเหง้าความคิดจิตวิญญาณในชนเผ่าทางลุ่มแม่น้ำสินธุ
แม้จะเกิดและอยู่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ความสนใจ ความรู้สึกนึกคิด จนถึงประสพการณ์ชีวิต ความสนใจที่จะเรียนรู้ การศึกษาจังหวะของความเป็นในชาติภพนี้ ชวนให้สงสัยว่าท่านอาจเคยได้เกิดที่นั่นด้วยซ้ำไปครับ ^ ^ 

มีไม่กี่คนบนโลกที่รู้ภาษาเทวนาครี อันเป็นภาษาที่อาจจะเรียกได้ว่า ตายไปแล้ว และการเรียนรู้ภาษาดังกล่าว เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง
...ราวกับว่าชาติก่อนท่านเคยใช้ภาษาเทวนาครีมาก่อน....

ส่วนผม เดี๋ยวขอเวลาตัดแปะข้อมูลพื้นฐานมาให้อ่านกันครับ  เกี่ยวกับความคิดเชิงเทวะวิทยาที่ เพศแม่ เป็นใหญ่ในแถบถิ่นอินเดียใต้ก่อนการเข้ามาอารยธรรมที่บุรุษเพศเป็นใหญ่


ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 315

เหน่งบา

20/10/2017 18:48:03
1,866



ขอแทรกประเด็นอินเดียนิดนึง ไปโผล่อียิปต์ ^ ^
หมู่นี้ข้อมูลหนักไปทางที่เกี่ยวข้องกับโลกหลังความตาย
เอานี่ไปอีกหนึ่งครับ เทพHorus
ไม่ได้แรงบันดาลใจจากหนังฝรั่งที่เอาเทพอียิปต์มายำใหญ่  แต่อยู่ดีๆก็นึกถึงบางส่วนของนิยายที่เคยอ่าน  และก็บังเอิญอีกเช่นกัน ผมได้ข่าวมาว่า อีกไม่นาน วงการหูฟังจะมีประเด็นเกี่ยวกับ Horus ให้ได้เกิดการสูญเสียกันขึ้นเป็นแน่...
คอยติดตามเรื่องราวของ Horus เกี่ยวกับหูฟังได้หลังวันฮาโลวีนครับ 5555

ฮอรัส บุตรแห่งโอสิริสพระบิดาเจ้า และเทพมารดรอิซิส เทพผู้ทรงเศียรของเหยี่ยว ผู้มีเนตรเป็นตะวันจันทรา สัญลักษณ์ดวงตาแห่งการปกป้อง ความมั่นคง และการกำเนิดใหม่  

ตามความเชื่อของคัมภีร์มรณะ  ฮอรัสจะทรงมีหน้าที่ที่จะช่วยอนูบิสซึ่งนำมาวิญญาณมาสู่มหาวิหารพิพากษาในการกำกับการชั่งหัวใจของผู้ตายกับขนนกแห่งความยุติธรรมของเทพีมะอาท บนตาชั่งแห่งความจริง




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 316

เหน่งบา

20/10/2017 19:55:00
1,866



เครื่องหมาย Horus eye 

มีคล้ายๆกัน แต่กลับด้าน นั่นจะเป็นสัญลักษณ์แห่ง รา สุริยเทพ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 317

Ahura

22/10/2017 18:28:55
1,663
ลงข้อมูล Horus แบบนี้เหลือเนื้อหาให้ผมเขียนบ้างเน้อๆๆ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 318

ยอร์น

17/11/2017 13:01:45
อาจารย์ ahura กับน้า เหน่งบา ครับ

อยากขอเกร็ดความรูู่้่

ปรัชญา และศิลปะ ของ ศาสนา เชน ด้วย

เห็นว่่า ชัดข้อมูล ภาษาไทย เรามีน้อยเหลือเกิิน

ช่วยเปิด โลกทัศน์ ให้ น้้้้องๆองอ หน่อย

เห็นว่่า  พระอภิธรรม ของฝ่ายเชน นั้นลุ่มลึก

และพูดบางอย่างที่ พุทธศาสนา ไม่่่สนสใจเอ่ยถึึง

ส่วนศิิิลป นั้นเล่่า  เห็นว่า โบราณสถานของเชน สวยงามมาก..อยากดูรูปด้วย

คือผม ขาดทักษะทางด้าน ภาษา อังกฤษ และเทวนาคี

โดยสิ้นเชิง จึงลำบากในการหาความรู้ ทางgoogle

ยิ่งนััก  


ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 319

เหน่งบา

25/12/2017 18:23:21
1,866



ลืมตอบคุณยอร์น 
แต่ถึงไม่ลืมก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะ ผู้รู้จริงๆในกระทู้คืออาจารย์ศิระครับ(Ahura) ผมเองได้แค่ตัดแปะหัวข้อที่ตัวเองชอบมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น 
เรื่องเชน ผมทราบหลักการคร่าวๆ เคยเห็นว่ามีรูปเคารพที่คล้ายพระพุทธรูป แต่ไม่มีความรู้ลงลึกในทางศิลปะของเชนเลยครับ
จะพยายามตัดแปะข้อมูลของเชนมาให้อ่านพอเป็นสังเขปนะครับ

***********************

พญายมราช (เหยียนหลัวหวาง / 閻羅王) เครื่องเคลือบสีศิลปะจีนสมัยราชวงศ์หมิง แต่งตัวอย่างบัณฑิตสมัยหมิง มือข้างหนึ่งอุ้มม้วนหนังสือบัญชีรายชื่อและเวรกรรมของสัตว์โลก 

เรื่องราวของพญายมราชนั้นปรากฎในพระสูตรฝ่ายมหายานชื่อ พระสูตรเนรมิตโลก (起世經) กล่าวถึงสภาพของไตรโลก รวมถึงยมโลก พรรณนาว่า ยมโลกนั้นอยู่เบื้องทักษิณทวีป ในทิวเขามหาโลหะบรรพต ประกอบด้วยนรกทั้ง 10 ชั้น มหานรก 8 ชั้น 

เนื่องจากพญายมราชเคยประกอบอกุศลกรรม ดังนั้น ทุกวัน วันละ 3 เวลา วิมานของพญายมราชจะกลายเป็นเหล็กร้อน นายนิรยบาลจะพาตัวพญายมไปกรอกเหล็กร้อนที่หลอมเหลวใส่ปากจนร่างมอดไหม้ ชดใช้เวรกรรมที่เคยทำไว้ เมื่อรับโทษทัณฑ์จากบาปกรรมแล้ว ปราสาทเหล็กร้อนจะกลับเป็นวิมานดังเดิม 

พญายมราช สมัยหมิงรูปนี้เป็นของ British Museum

ตัดแปะข้อมูลมาจากเฟซอาจารย์นัท จุลภัสสร เป็นภาพของเฟซคลังพุทธศาสนา

ขยายความเพิ่มคือพญายม คือผู้ที่สั่งสมบุญและบาปอันยิ่ง บาปและบุญเสมอกัน จึงเสวยภพเป็นเทพในนิรยภูมิ มีหน้าที่ลงทัณฑ์สัตว์นรก แต่ก็ต้องเสวยวิบากจากกรรมที่กระทำมา 

นอกจากทำบุญและบาปเสมอกัน โดยอุปนิสัย ผู้จะบังเกิดเป็นพญายม ยังต้องทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมอย่างที่สุด..เพราะมีหน้าที่ต้องตัดสินบุญบาปของวิญญาณ

จะว่าไป เล่าเทพในนรก หรือนายนิรยบาล ก็คงมาแนวเดียวกันครับ คือ เข้าข่ายบุญก็ทำ กรรมก็สร้าง จึงมาเสวยภพ เสวยวิบากเช่นเดียวกันกับพญายม เพียงแต่ลำดับสูงต่ำลดหลั่นกันไปนั่นเองครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 320

28/12/2017 20:44:59
อาจารย์ ahura กับ น้าเหน่งบา ได้มีความสนใจติดตาม สืบค้นข้อมูล

เกี่ยวกับ พระพักตร์ ของ พระพุทธเจ้า บ้างมั้ย

มีหลักฐานใหม่ๆ อะไรออกมาบ้าง ที่น่าสนใจบ้าง

มาแลกเปลี่ยนกัน

พวกชนเผ่าศากยะ นี่ น่าจะมีสายพันธุ์ บรรพ์บุรุษ

เชื้อสายใด อาจไม่ใช่ อารยัน ก็ได้ เพราะเมืองของ

พระพุทธเจ้า กับ ศาสดามหาวีระ เป็นเมือง ที่เป็นสหพันธรัฐ ที่่่่่่่โดนพวกโดนพวก อารยัน ขับไล่ขึ้นเหนือ


ดังนั้น เผ่าพวกนี้ มักไม่ตุชอบพวก พรามห์ ไม่นับถือพระเจ้า ของพราห์ม  นักบวช ของพวกนี้ แสวงหาโมกข์ธรรม ต่างจากพวกพราห์ม และ ทั้ง พระพุทธเจ้า

และมหาวีระ ทรง มักวิจาร์ ระบบวรรณะ อยู่บ่อยครั้ง
ให้กำลังใจ 1
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 321

28/12/2017 21:14:39
พวกพราห์ม จะเรียก พระพุทธเจ้า กับพวกแสวงโมกข์ธรรมด้วยตนเอง  ว่า สมณะ

ให้กำลังใจ 1
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 322

เหน่งบา

09/05/2018 21:42:34
1,866



 มกร คาย นาค : ภาพถ่ายเมื่อคืนวานนี้ ที่พระปรางค์วัดนครโกษา ริมทางรถไฟ ใกล้สถานี เป็นลายปูนปั้นที่เหลืออยู่จุดเดียวของปรางค์

มกร (อ่านว่า มะ-กอน หรือ มะ-กะ-ระ) เป็นสัตว์ที่อยู่ในจินตนาการ นัยว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์เชิงเขาพระสุเมรุ ลักษณะจะผสมกันระหว่างจระเข้กับพญานาค กล่าวคือ มีลำตัวยาวเหยียดคล้าย กับพญานาค แต่มีขายื่นออกมาจากลำตัว และส่วนหัวที่คายพญานาคออกมานั้นเป็นปากจระเข้ คนโบราณจึงมักนำไปเฝ้าอยู่ตามเชิงบันไดวัด ภาคกลางเป็นราวบันไดนาค แต่ทางเหนือส่วนใหญ่จะเป็นราวบันไดรูป "มกรคายนาค"
    
               บางแห่งเป็นรูปเทวบุตรเหยียบบนตัวมอม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ที่สำคัญคือยังมีคนจำนวนไม่น้อยสับสนคิดว่า ตัวมอม เป็น สัตว์ชนิดเดียวกับตัวมกร หรือ เหรา ที่เฝ้าอยู่ตรงราวบันไดศาสนสถาน โดยเฉพาะในเชียงใหม่ เช่น ที่วิหาร และหอมณเฑียรธรรม วัดบุพพาราม หน้าวิหารด้านหลังองค์พระธาตุ วัดพระธาตุดอยสุเทพ รวมทั้งบนลายปิดทอง ล่องชาดของวิหารลายคำ วัดพระสิงห์  
    
               อาจารย์ราม วัชรประดิษฐ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ อธิบายว่า ตัวมกรนี้ยังพบใน เขมร ลาว  พม่า ก็มี เขาเรียกว่า "ตัวสำรอก" ก็คือ ตัวที่คายอะไรต่อมิอะไรออกมา ดังนั้นเวลาไปเที่ยววัดให้สังเกตบันได พญานาคให้ดี ว่าเป็น บันไดนาค หรือ เป็น บันไดมกรคายนาคกันแน่ วิธีสังเกตก็ให้ดูที่ คอพญานาค ว่ามีหน้าสัตว์คล้ายๆ จระเข้ อ้าปากอยู่หรือเปล่า ถ้ามี ก็ใช่เลย แล้วจะเป็น ตีน ของเจ้าตัว มกร ซ่อนอยู่ตามเกล็ด พญานาคด้วย
     
               ในความเป็นจริงแล้ว มกร มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งซึ่งมีมาแต่โบราณว่า "เหรา" (อ่านว่า เห-รา) เหรา นี่ไม่ใช่หมายถึงแมงดาทะเล แต่เป็นสัตว์ในจินตนาการ มีหน้าที่เฝ้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระ ธาตุ โบสถ์ วิหาร ที่สื่อว่าเป็น เขาพระสุเมรุ ตามคติ จักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ ดังนั้นจึงต้องมีสัตว์ในป่าหิมพานต์เฝ้าอยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ไม่ให้คนขึ้นไปรบกวนทวยเทพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ ส่วนคำว่า "มกร" นั้น เข้าใจว่าคงได้รับอิทธิพลมาจาก "มังกร" ของจีน เพราะเราเคยเห็นแต่พญานาคที่ไม่มีขา พอมาเห็นตัวที่มีหัวเป็นพญานาคหรือสำรอกพญานาค และมีขาด้วยก็เลยเรียกตามจีนไป
     
               "ทำไม มกร ต้อง คาย นาค  อาจวิเคราะห์ได้ในแง่ของประวัติศาสตร์ศิลปะคือ พญา นาค จะเป็นตัวแทนของ กลุ่มเมือง หรือชนเผ่าทางตอนเหนือ ที่เรียกว่า "โยนก" มีตำนานเกี่ยวพันกับพญานาค มาสร้างเมืองชื่อ โยนกนาคพันธ์สิงหนวัติ หรือ โยนกนาคนคร และเมื่อเมืองนี้ล่มจมหายก็เพราะผู้คนพากัน กินปลาไหลเผือกซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวแทนของพญานาคนั่นเอง ส่วนสัตว์น่ากลัวเช่น จระเข้ เหรา จะเป็นตัวแทน ของพวก พยู หรือพุกามอันได้แก่พม่า การที่พบศิลปะ แบบมกรคายนาคในแถบภาคเหนือ พอจะอนุมานได้ว่า เป็นการแสดงออกถึง การหลุดพ้นจากอิทธิพลของงานศิลปะ และการเมืองของพุกามหรือพม่าที่ ครอบงำ ล้านนาอยู่ถึง ๒๐๐ ปี" อ. รามกล่าว
     
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 323

Ahura

10/05/2018 06:21:01
1,663
มกร หรือ เหรา มีความหมายถึง " อวิชชา (ความไม่รู้)" ครับ 

การออกแบบจึงมักให้อยู่ล่างๆ ปลายๆ ต่ำๆ หน่อย 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 324

lukephong

10/05/2018 08:49:07
81
สุดยอดครับคุณเหน่งบา บางภาพหาดูยากมากครับ บางภาพผมไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
"เหน่งบาตัดแปะ....พุทธ โพธิสัตว์ เทวะ มาร อสูร ยักษ์ นาค ครุฑ อมนุษย์ ฯลฯ"