ก่อนที่จะไปพูดถึงตัวลำโพงกัน ผมขอกล่าวถึงประวิติคร่าวๆของค่าย polk audio กันหน่อยดีกว่า บริษัท polk นั้นเริ่มก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1972 ซึ่งถือว่ายาวนานมาก ตั้งแต่ผมยังไม่เกิดซะอีก polk audio ก่อตั้งโดยเพื่อนที่รักการฟังเพลง 3 คน คือ Matt Polk, George Klopfer และ Sandy Gross โดยร่วมมือกันออกแบบลำโพงที่ให้เสียงถูกใจคนฟังทั่วไป ในราคาไม่แพงนัก

พวกเขาเริ่มจากบริษัทเล็กๆที่ Maryland อเมริกา ใช้บ้านดัดแปลงเป็นโรงงานผลิต ซึ่งใช้แรงงานเพื่อนๆในการช่วยกันประกอบมือ โดยตอนแรกๆนั้นผลิตได้ช้ามาก เพราะว่ายังเป็นทีมที่ประสบการณ์น้อย แต่ผ่านมาถึงปัจจุบัน polk audio เป็นบริษัทที่ใหญ่โตขึ้นมาก มีพนักงานกว่า 70 คน และหลายๆคนที่ทำงานอยู่ เป็นคนเก่าแก่ที่ช่วยงานกันมาตั้งแต่ 1972 ครับ เรื่องความเก๋านี่หายห่วงได้เลย 555

ลำโพง polk hampden เป็นลำโพง Active Stereo 2.0 มีภาคแอมป์ในตัวขนาด 80 ออกแบบตัวลำโพงเป็นระบบ 2 ทาง ตอบสนองความถี่ตั้งแต่ 50Hz-22kHz รองรับการเชื่อมต่อ 3 แบบ คือ Source Analog ด้วย Jack แบบ 3.5mm, เชื่อมต่อด้วย Bluetooth และยังมีภาค DAC คุณภาพดีมาให้ในตัวอีกด้วยครับ

นอกจากสเปคของตัวลำโพงจะน่าสนใจแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หลายๆคนถูกใจมากๆก็คือ งานดีไซน์ของเจ้า Hampden นี่ล่ะครับ เพราะมันมาในรูปแบบย้อนยุคตาม Concept ของ polk ที่เรียกว่า Heritage Series ครับ ทั้งเรื่องของลายผิวไม้ สีสัน หน้าตามันดูจิ้มลิ้มน่าใช้งานมากๆ แถมยังไม่ดูเชยจนเกินไป เป็นสไตล์ Vintage ผสม Mordern ได้อย่างลงตัวสุดๆเลยล่ะ

มาเริ่มกันที่ส่วนของตัวตู้ก่อนนะครับ ตัวตู้นั้นออกแบบโดยใช้ตู้ไม้ MDF อย่างหนา เพื่อรองรับแรงกระแทกของเสียงต่ำๆ ไม่ให้มีการสั่นคราง และทำการปะผิวด้านนอกด้วยผิวไม้ veneer ลาย zebrano อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งทำให้เจ้า polk hampden นั้น ดูสวยงาม และ Vintage สุดๆครับ ซึ่งนอกจากจะสวยงามแล้ว เท่าที่ผมสัมผัส และเคาะๆตัวตู้ดู พบว่ามันแข็งแรงแน่นหนามากๆครับ น่าจะออกแบบเพื่อลดการ Resonance ของตัวตู้มาเป็นอย่างดีจ้าา

ด้านหน้าลำโพงนั้นจะการดีไซน์หูรูปตัว U ทำเป็นฐานลำโพง เพื่อให้ตัวลำโพงนั้นเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยราวๆ 20 องศา ทำให้สามารถใช้งานหน้าคอมพิวเตอร์ ในลักษณะนั่งใกล้ๆได้ครับ เพราะปกติเวลาเรานั่งใกล้ลำโพง องศาของเจ้าลำโพงเสียงแหลม จะอยู่ห่างจากใบหูเรามากเกินไปครับ ทำให้เวทีเสียงเตี้ย และนอกจากจะทำให้สามารถนั่งใช้งานใกล้ๆได้แล้ว ยังมีประโยชน์ในเรื่องของการจูนเสียงอีกด้วย เพราะมันจะช่วยให้เสียงแหลม Timming ช้ากว่า เสียงต่ำเล็กน้อย เพื่อให้ฟังสบายขึ้น และเสียงร้องกับเวที จะถอยหลังลงไปอีก ทำให้ฟังเจ้า Hampden ได้นานๆโดยไม่รู้สึกว่าเสียงดนตรีรุกเร้าจนเกินไปคร้าบบบบ

ส่วนเจ้าวงล้อนี้ผมประทับใจกับมันมากครับ เพราะว่ามันเป็นทั้งสวิทช์เปิด-ปิด ฟิลลิ่งแบบโบราณ และใช้ในการปรับ Volume ในตัว คือเมื่อต้องการเปิดลำโพงก็ให้หมุนขึ้น มันจะมีเสียง Switch ดังแต๊กคือเปิดการงาน และเราสามารถหมุนขึ้นลงเพื่อปรับความดังเสียงได้เลย ซึ่งความดังของเสียงนั้นมี 1-10 ครับ หมุนขึ้นลง และสามารถดูตัวเลขของ Volume ได้ที่ช่องกระจกใสๆด้านหน้าลำโพง และเมื่อเราต้องการปิด ก็เพียงแค่หมุนลงให้สุดจนมีเสียง Switch ปิดก็เป็นการปิดเรียบร้อยแล้วครับ

เจ้าตัว Volume นี่ตอนรกผมคงว่ามันเป็นแบบ Analog แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ครับ มันเป็น Volume แบบ Digital ที่มีวงจร DSP ในการควบคุมการขึ้นลงของเสียง เพื่อไม่ให้คุณภาพเสียงตกลงเมื่อเปิดเสียงเบาๆครับ นั่นก็หมายความว่าต่อให้เปิดเบาหน่อย เจ้าวงจร DSP ใน hampden ก็ยังช่วยชดเชยเสียง จนสามารถฟังรายละเอียดของชิ้นดนตรีได้ครบๆ ได้ทุความดังที่ใช้งานจ้าา

ปุ่มนี้เป็นปุ่มเลือก Input ของเสียงในการใช้งานครับ อยู่ถัดลงมาจากลูกบิด Volume นิดนึง เป็นปุ่มสี่เหลี่นมผืนผ้า ซึ่งเป็นแบบ Micro Swith เมื่อเรากดแล้วมันจะเปลี่ยน Input ไปเรื่อยๆ Aux-Bluetooth-USB วนเป็น loop ครับ

มาดูกันที่สีบอกสถานะในการทำงานของเจ้า hampden กันต่อเลยดีกว่า ทั้งสามอินพุทมีสีประจำตัวครับ
สีขาว = ช่อง USB, สีน้ำเงิน = Bluetooth, สีแดง = Analog input หรือช่อง AUX นั่นเองครับ

มุดลงไปดูใต้กระโปรง เอ๊ยๆๆ ใต้ลำโพงกันบ้างครับ 555 เจ้าลำโพง polk hampden นั้น อออกแบบท่อ Bass Reflex ไว้ใต้ลำโพง เพื่อช่วยลดข้อจำกัดในการจัดวางตำแหน่งลำโพงครับ ซึ่งการออกแบบท่อ Bass ไว้ด้านล่างนั้นจะช่วยให้สามารถวางตัวตู้ชิดกำแพงได้ ไม่เจอปัญหาเรื่องของเบสล้น และยังช่วยคุมเสียงโทนด้วยรวมให้อุ่นหวาน ให้เสียงต่ำที่ได้มีพลังหนักแน่นด้วยครับ เพราะเป็นหลักการเดียวกับการออกแบบลำโพง Sub-Woofer ของหลายๆค่าย แต่ในลำโพง Desktop ผมเพิ่งเคยเห็นนี่ล่ะจ้าาา

ดูด้านล่างแล้ว เราไปเข้าข้างหลังกันมั่งดีกว่าาา ที่ลำโพงด้านขวานั้นจะเป็นส่วนที่รวมวงจรไว้ทั้งหมดครับ คือจะมีทั้งภาค DAC, DSP, วงจร Bluetooth, ภาคจ่ายไฟ หรือ Regulator แล้วก็ภาคแอมป์ขยายด้วยครับ ซึ่งสายเชื่อต่อต่างๆทั้ง USB และ Aux 3.5mm ต้องมาต่อกับลำโพงข้างนี้ และใช้สายเชื่อมต่อกับภาคแอมป์ของวงจร ไปยังลำโพงซ้ายอีกทีครับผม

โดยไล่จากด้านบนมาล่างนะครับ บนสุดที่เห็นเป็นครีบอลูมิเนียมนั้น เป็นครีบระบายความร้อน หรือ Heat Sink ของภาคแอมป์ครับ เพราะในขณะที่วงจรขยายทำงาน ตัวสารกึ่งตัวนำที่ใช้จะเกิดความร้อนขึ้น เลยต้องมีการอออกแบบ Sink ระบายความร้อนไว้ด้านนอก เพื่อรักษาอุณหภูมิการทำงาน และช่วยยืดอายุของวงจรอีกด้วยครับ

ถัดลงมาก็เป็นช่องรับ USB จากคอมพิวเตอร์ครับ เป็นแบบ Type B ซึ่งสามารถใช้งานเจ้า Hampden เป็น DAC แล้วก็ลำโพงในตัวได้เลย ภาค DAC ของ hampden นั้นอยู่ที่ 16bit/48kHz ครับ และจากที่ลองฟังแล้วภาค DAC ที่ใช้ DSP ในการช่วยถอดรหัสเสียงนั้น ให้คุณภาพเสียงที่ดีเกินคาดครับ คือต่อตรงจากคอม กับต่อ USB เสียงต่างกันชัดเจนมากๆๆจ้าา

ต่อกันที่ช่อง AUX รับสัญญาณ Analog แบบ 3.5mm ครับ ซึ่งรองรับสัญญาณ Input จากเครื่องเล่นเพลง หรือมือถือได้เลย เพียงต่อสายเข้าช่ิองนี้ และกดปุ่นเลือก Input เป็นสีแดง ก็พร้อมใช้งานแล้วครับ

ถัดลงมาอีกเป็นช่องเสียบไฟครับ สัญลักษณ์เป็นรูปไฟ DC หรือไฟฟ้ากระแสตรง ซึ่งในชุดนั้นแถมมาให้ใช้งานเรียบร้อยไม่ต้องไปวิ่งหากันให้วุ่นวาย และไม่ควรเอา Adptor อื่นๆที่ไม่ได้มาตรฐานมาใช้งานจ้าาา

ช่องสุดท้ายเป็นขั้วต่อลำโพงแบบ Euro-style connectors ครับ เป็นแบบ 4 Pin และใช้สายทองแดงขนาด 16AWG จำนวน 4 เส้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการต่อสายแบบ Bi-Wire ครับ ส่งต่อกำลังของภาคแอมป์ในลำโพงขวา ไปใช้ขับลำโพงทางด้านซ้าย

นี่คือหน้าตาของสายแบบลำโพงแบบ Bi-Wire ที่มาในชุดครับ ที่ต้องใช้สายแบบ Bi-Wire เพราะว่าเจ้า polk Hampden นั้นใช้วงจรขยายแบบ Bi-Amp ครับ นั่นก็คือมีภาคแอมปทั้งหมด 4 ชุด ขับแยกลำโพงเสียงต่ำ-แหลม และซ้าย-ขวา แยกกันทั้งหมดครับ ทำให้ต้องใช้สายแบบ Bi-wire เพื่อการส่งต่อเสียงไปที่ลำโพงซ้ายแบบสมบูรณ์จ้าาา ^^

มาถึงตัว Driver เสียงต่ำของเจ้า hampden กันต่อเลยดีกว่าครับ เป็น Woofer ขนาด 4 1/2" ใช้กรวยแบบ polypropylene ซึ่งเป็นกรวยลำโพงที่ช่วยให้การตอบสนองความถี่ต่ำๆได้ดี เพราะเวลาเราเปิดเพลงที่กระแทกกระทั้น ตัวไดร์เวอร์ Woofer จะมีการขยับเข้า-ออก กรวยลำโพงแบบ polypropylene จะคงรูปได้ดี ไม่มีการบิดตัวของตัว Driver ทำให้เสียงไม่เพี๊ยนครับ นอกจากนี้ยังใช้ขอบยางแบบนุ่มมากๆ เพื่อช่วยในการเพิ่ม Sensitivity ของลำโพงด้วย ทั้งหมดนี้ทาง polk ออกแบบเฉพาะเพื่อใช้กับ Hampden ครับผม

ไดร์เวอร์เสียงแหลมของเจ้า Hampden เป็นแบบ hybrid ลูกผสมระหว่าง Balance silk / polymer dome หรือโดมผ้า กึ่งสังเคราะห์ ขนาด 1" ครับ เป็นการดึงเอาข้อดีของวัสดุทั้งสองแบบ มาช่วยให้บุคลิคเสียงได้ทั้งเรื่องความคมชัด และยังฟุ้งเป็นละอองเหมือนโดมผ้าปกติครับ นับว่าเป็นการออกแบบ Driver เสียงแหลมที่ชาญฉลาดมากจริงๆครับ

หูที่ทำเป็นฐานวางนั้น หงายขึ้นมาดูจะมีรายละเอียดของ polk hampden ให้อ่านครับ เรื่องการตรวจสอบมาตรฐานต่าง ข้อควรระวัง และกำลังไฟที่ใช้งาน ระบุว่า 24V 2.9 A ก็ราวๆ 70w ตามที่ระบุไว้จ้าาา ^^

เกือบลืมให้ดู Adaptor เลยครับ ซึ่งตัว Adaptor ที่ให้มานั้นดูแข็งแรงและมาตรฐานมากๆ คุณภาพน่าจะดีกว่าของลำโพงหลายๆยี่ห้อ ระบุมาในสเปคว่า 100-240V 50-60Hz เป็น Regulator แบบ Auto Switching สามารเสียบใช้งานได้ทั่วโลก พลังงานไฟ DC ฝั่งขาออก คือ 24V 3.09A ตรงตามสเปคกำลังไฟที่เจ้า hampden ต้องการเลยล่ะ

ภาคแอมป์ของเจ้า Hampden นั้นมีกำลังขับรวมทั้งหมด 80 วัตต์ครับ เป็นระบบ Bi-Amp โดยแยกภาคแอมป์ทั้งหมดเป็น 4 ชุด แยกออกจากันหมดทั้ง เสียงต่ำ เสียงแหลม ซ้าย และขวา โดยกำลังขับภาคแอมป์สำหรับดอก Woofer อยู่ที่ 30 วัตต์ และภาคแอมป์ที่ใช้ขับเสียงแหลมก็อยู่ที่ 10 วัตต์ครับ นั่นก็รวมแล้ว 40 วัตต์ต่อข้าง สองข้าง 80 วัตต์พอดอบพอดีจ้าา

การที่เค้าออกแบบภาคขยายเป็นแบบ Bi-Amp นั้นเพื่อให้การทำหน้าที่ของแอมป์แต่ละชุด อิสระออกจากกัน ลดเรื่องความเพี๊ยนของเสียงที่จะเกิดขึ้นระหว่างการแย่งกำลังกันของเสียงต่ำ และเสียงสูง เวลาเปิดเสียงดังๆ หรือเพลงที่มารายละเอียดเสียงมากๆครับ ซึ่งการใส่ภาคขยายแบบ Bi-Amp ใน polk hampden เป็นการบ่งบอกว่า ตั้งใจให้ลำโพงตัวนี้เสียงออกมาสุดฝีมือจริงๆจ้าา

มาเริ่มทดสอบกันเลยดีกว่าครับ ผมขอเริ่มจาการเชื่อมต่อ Bluetooth ก่อนนะครับ polk hampden นั้นภาครับ Bluetooth ได้ ใส่ aptX technology มาให้ไว้ด้วย ซึ่งเป็นการเข้ารหัสพิเศษในการส่งสัญญาณครับ ช่วยให้การฟังเพลงผ่านระบบ Bluetooth ได้เสียงที่ดีขึ้นอย่างมาก ก่อนอื่นผมกดเลือก Input ของ hampden เป็นสีน้ำเงินครับ มันจะกระพริบเป็นจังหวะช้าๆ ให้เรา Search หาเจ้า hampden ได้เลย โดยเข้าที่หน้า Setting Bluetooh ของมือถือ หรือเครื่องเล่นครับ ซึ่งเจ้า polk hampden นั้นสามารถ Search หาเจอได้ง่ายมากๆ กดปุ๊บเจอปั๊บ แล้วเราก็เลือกทำการ Connect ได้เลย

การฟังเพลงผ่าน Bluetooth นั้นผมลองใช้โปรแกรมเล่นเพลงธรรมดาในเครื่อง และใช้เพลงเทสประจำในการทดสอบเสียง โดยสิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้นั้นคือเสียงต่ำของ hampden นั้นมีพลังมากๆๆครับ คือไม่ว่าจะเปิดดัง หรือค่อย เราก็สามารถรับฟังถึงเสียงต่ำ ที่มีมวลหนักแน่น ได้ทุกๆระดับความดัง ไม่เหมือนกับลำโพงบางตัวที่ต้องเปิดดังระดับหนึ่งถึงจได้ยินเสียงเบสต่ำๆ

และอีกสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือ เสียงเวทีที่กว้างครับ ตอนแรกผมคิดว่าการออกแบบลำโพงเชิดหน้าขึ้นนั้น จะทำให้มุมกระจายเสียงไม่กว้างเท่าที่ควร แต่กลับกันครับ ผมกลับสามารถฟัง hampden ได้ไพเราะเกือบจะเท่าๆกันทุกบริเวณในห้อง เสียงที่แผ่ออกมานั้นกว้างและอิ่มละมุน ชวนให้หลงไหลในเสียงของมันมากๆๆครับ

การฟังเพลงจาก Bluetooth นั้นเสียงอาจจะดรอปกว่าการต่อสายนิดหน่อยครับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะลำโพงทุกตัวก็เป็นแบบนี้แทบทั้งหมด เพราะขั้นตอนในการเข้ารหัส Bluetooth นั้นน่าจะส่งผลกับเสียงบ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะ แต่เท่าที่ผมฟังภาครับ Bluetooth ของ hampden แล้ว ต้องขอบอกเลยว่า เสียงของมันน่าประทับใจมาก สามารถทำให้เรา Enjoy ไปกับการฟังเพลงได้อย่างรื่นรมย์สุดๆ

ลอง Bluetooth แล้ว ต้องมาลองภาค DAC ในตัวของมันกันบ้างดีกว่า ดูสิว่าเสียงจะเป็นยังไงบ้าง เริ่มด้วยการที่ผมใช้ Macbook Pro และโปรแกรม Audirvana Plus ต่อสาย USB ไปเข้าที่ด้านหลังของ hampden ครับ ซึ่งเสียบปุ๊บ เปิดโหมดรับ Input ของ hampden เป็นแสงสีขาว ในตัวโปรแกรมเล่นเพลง หรือคอมพิวเตอร์ ก็จะเจอเลยครับ โดยจะเจอเป็นชื่อ USB Audio DAC จากนั้นเราก็สามารถใช้งานได้เลยครับ

เปิดเพลงลองทดสอบแค่เพียงแรกก็รู้เลยครับว่า ภาค DAC และชุด DSP ของ Hampden นั้นให้เสียงที่เกินคาดมากๆ เพราะว่ามันทั้งใส และได้รายละเอียดเสียงกว่าการต่อตรงๆจาก Notebook อย่างมาก เพราะจากที่ลองต่อตรงดู เสียงมันจะเหมือนมีม่านบางๆกั้น ไม่เคลียร์ แต่พอใช้ภาค DAC ของ hampden เท่านั้นแหละ ม่านหมอกโดนฉีกทิ้ง เสียงทุกอย่างชัดเจน และยังมีน้ำหนักขึ้นทุกย่านเสียง เหมือนนักดนตรีกินยาโดปไป 10 เม็ด ก่อนมาเล่นดนตรีให้เราฟังเลยล่ะ

เสียงของเจ้า Hampden นั้นโดย Signature จะออกไปทางแนวอุ่นหวาน เสียงต่ำหนักแน่น มีมวล เสียงกระเดื่อง หรือเบสต่ำๆนั้น ใหญ่และมีพลังเกินตัว เสียงร้องจะนุ่มนวลฟังสบายๆ และตำแหน่งของนักร้องนั้นจะถอยหลังไปหน่อยๆ ที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า Laid-Back ซึ่งเสียงร้องจะไม่รุกเร้ามาก แต่ช่วยให้ฟังได้นานๆ เนื้อเสียงหวานเลียหูจริงๆ เสียงแหลมนั้นเน้นความเป็นละออง และแผ่กระจายครับ อาจจะไม่ได้จี๊ดจ๊าดมากนัก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าขาด เป็นการคุมโทนเสียงโดยรวมให้เป็นแบบ Musical สำหรับคนรักการฟังเพลงครับผม

สำหรับท่านที่กำลังมองหาลำโพง Desktop ที่สามารถเชื่อมต่อได้หลากหลาย ทั้ง Bluetooth, AUX และก็ USB DAC ในตัว และให้น้ำเสียงที่นุ่มนวล เบสหนักแน่น และใหญ่เกินตัว พร้อมทั้งเสียงร้องที่มีเนื้อหวานอิ่มฟังสบายๆสไตล์ Musical แล้วล่ะก็ จงอย่าได้พลาดลำโพง polk Hampden ไปอย่างเด็ดขาดครับ นอกจากงานดีไซน์ที่สวยงามมากๆๆแล้ว ต้องขอบอกว่าเป็นลำโพงอีกตัวนึงที่คุ้มค่าสุดๆ เพราะมันให้เสียงกับฟังก์ชั่นเกินราคาไปมาก เหมาะอย่างยิ่งที่จะซื้อกลับไปรับใช้ท่านที่บ้าน เพื่อขับกล่อมเสียงเพลงหวานๆ มอบความสุขให้กับท่านในทุกๆวันครับผม ^^

ลำโพง polk Hampden
ราคา 12,900 บาท
รีวิวโดย : หมูหวาน 086-810-7374
www.hifilover.com
www.melodic-audio.com

ผมคง ได้เสียตังค์ กับ polk Hampden แน่นอน เห็นแล้วคันไม้คันมือขึ้นมาทันทีเลยครับ

เฮียไม่ลองเอาหูฟัง Star War มาขายล่ะ ผมว่าสวยดีนะครับ

polk ตัวนี้กับ Q Acoustics BT3 แนวเสียงต่างกันยังไงบ้างครับ

@Pseudallescheria ครับ
รับรองว่าถ้าได้เข้ามาฟังล่ะก็ เสียตังค์แน่ๆๆครับ 555

@kamil ครับ
ตัว polk hampden เสียงจะออกโทนนุ่มนวล เบสหนักแน่น เสรยงกลางหวานๆฟังสบายๆครับ
ส่วน Q acoustics BT3 จะเป็นแนวเสียงเปิดโปร่ง ราละเอียดชัดเจน เสียงกลางเด่นลิยออกมาจ้าา

ทั้งสองตัวนี้แนวเสียงต่างกันแบบชัดเจน ต้องลองมาฟังครับว่าชอบแนวไหนมากกว่ากันคร้าบบ ^*

เทียบกับ Lunar E25 เป็นไงมั่งครับ

ตัวนี้เสียงเบสหนักแน่นกว่า Luna ครับ แล้วก็ฟังก์ชั่นครบเครื่องกว่าด้วย
แต่ราคาก็สูงกว่า Luna อยู่ 4พันบาทครับผม

ผมว่าพลังเสียงของมันไม่น่าจะเป็นลำโพงคอมเลย เรียกว่าลำโพงตั้งโต๊ะดีกว่า เพราะพลังมันเหลือเฟือมาก แถมหน้าตายังดีอีกตังหาก

@พี่สมเกียรติครับ
ตอนที่ผมได้ฟังตอนแรก ก็ชอบเลยครับ เสียงมันใหญ่ หนักแน่น และฟังสบายมากๆๆด้วย
อันที่จริงหลงรักมันตั้งแต่เห็นงาน Design ของตัวลำโพง ตั้งแต่ก่อนฟังอีกจ้าาา ^^

ช่วยเปรียบเทียบกับ bose music monitor ในแง่คุณภาพเสียงได้ไหมครับ
เน้นฟังหน้าคอมฯอย่างเดียวเลยครับ

พอดีผมใช้ Bose M2 (Music Monotir 2) อยู่และได้มีโอกาสไปฟังที่ร้านคุณหมูหวานเมื่อวันเสาร์ ในแง่ของพละกำลัง Polk นี่บ้าพลังมาก และมีขนาดใหญ่กว่า M2 พอสมควร Polk เป็นลำโพงที่มี DAC ในตัว สำหรับ M2 ไม่มี DAC ต้องเสียบผ่านรูหูฟังของเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมเคยลองเอา M2 มาต่อผ่าน DAC Audio GD ปรากฎว่าเสียงแย่มากครับ ดังนั้นข้อจำกัดของ M2 คือไม่มี DAC ในตัวและถ้าผ่าน DAC เสียงอาจจะไม่มีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ สำหรับเสียงผมว่า Polk ให้เสียงร้องที่อิ่ม หวาน ฟังสบาย และ รายละเอียดและเบสอยู่ในระดับดี แต่ถ้าเป็น M2 ผมว่า sound stage จะกว้างกว่า แต่รายละเอียดอาจจะไม่ชัดเจนมาก อาจเป็นเพราะใช้ผ่านรูหูฟัง แต่ก็ถือว่าฟังสบาย ราคาค่าตัว M2 จะแพงกว่านิดหน่อย Polk ได้ความสดใหม่ และ Dessign ที่สวยงาม ส่วน M2 มันออกมานานมากแล้ว คือถ้านาทีนี้ผมให้ Polk เฉือนชนะไป 10 ต่อ 8 ครับ จริงๆ Bose ยังมี Companion 20 อีกตัวนึงที่ราคาใกล้ๆกัน เสียงจะโปร่ง กว้าง รายละเอียดค่อนข้างดี ซึ่งเป็นคนและแนวกับ Polk เลย ใครชอบแบบไหนต้องลองไปฟังดูครับ

รอคลิป sound test ครับ :D

ขอบคุณพี่สมเกียรติมากๆๆครับ ที่มาตอบจากการใช้งานจริงขิงเจ้า M2
เอาจริงๆแล้วเจ้า Polk hampden นั้นสไตล์เสียงมาทาง Bose มากๆๆครับ
แต่อาจจะได้เปรียบเรื่องขนาดตัว ที่ใช้ Woofer ขนาดใหญ่กว่า
ทำให้เสียงต่ำนั้นหนักแน่น และปริมาณของเสียงต่ำนั้นมากกว่าพอสมควรครับ
แต่เสียงกลางและเสียงร้องของ Bose จะโปร่งและลอยกว่าเช่นกัน

โดยรวมแล้วเสียงของค่าย polk และ bose ผมถือว่าเป็นสไตล์ Musical
สามารถฟังเพื่อผ่อนคลาย เหมาะกับคนที่ชื่นชอบการฟังเพลงได้นานๆ เสียงไม่ล้าหู
ลองเข้ามาฟังเทียบกันที่ร้านผมได้นะครับ ว่าจะชอบเสียงของค่ายไหนมากกว่ากันจ้าา ^^

ตอนนี้ทางศูนย์แจ้งว่า polk Hampden ของจำหน่าย ของใกล้เข้ามาแล้วนะครับ
ท่านใดสนใจ หรือสงสัยข้อมูลตรงไหนเพิ่มเติม สามารถโทรสอบถามได้ที่
086-810-7374 หมูหวาน ยินดีไขข้อข้องใจทุกเรื่อง เกี่ยวกับเครื่องเสียงจ้าา ^^

ท่าทางจะมาพร้อมๆ กับ AUNE B1

@olala_audio ครับ
Aune B1 น่าจะมาถึงก่อนนะครับ ส่วนเจ้าตัว Polk Hampden มาถึงเมื่อไรจะรีบมาแจ้งข่าวจ้าา ^^

ตัวนี้ก็ดีครับ
http://www.forum.munkonggadget.com/detail.php?id=168829

มาแฟ้วววว วิดีโอรีวิว Polk Hampden ลำโพง Active 2.0 ภาคแอมป์ Bi-Amp
พร้อมภาครับ Bluetooth และ DAC ที่หลายๆท่านถามกันมาอย่างมากมาย รับชมวิดีโอได้แล้วจ้าาา

ตอนนี้ลำโพง Polk Hampden ล็อตแรกของแผ่นดินสยาม มาถึงร้าน Hififlover แล้วนะคร้าบบบ
ท่านใดที่สนใจทดลองฟัง Polk Hampden ติดต่อได้ที่ร้าน Hi-Fi Lover ชั้น 3 อัมรินทร์ พลาซ่า หรือโทรสอบถามได้ที่หมูหวานคร้าบบบ 086-810-7374

อ่าพี่หมูครับ ผมแค่อยากจะบอกพี่ว่า ทรงผมพี่เท่ห์มากครับ สะดุดตาเลย อิๆ

เออ จริงอย่าน้าอ่างบอกเลย เข้ามามองแต่ทรงผมกับหน้าหล่อๆ ไม่ได้มองลำโพงเลย555

วันนี้เห็นหมูหวานในออฟฟิตผม ผมหัวเราะก๊ากแล้วบอกมันว่า คล้ายๆๆทรงพี่มากพระโขนงว่ะ 555

พอดีไปตัดผมร้านเดียวกับที่ชาริลตัดครับ ร้านนี้ใครเข้าไปตัด จะได้ทรงแบบนี้ออกมาทุกคน
เหมือนฟุตบอลทีมชาติไทยครับ 5555

เมื่อช่วงเย็นมีลูกค้ามารับเจ้า POLK HAMPDEN ไปฟังเพลงร็อคอีกแล้วครับ
ลูกค้าท่านใดมองหาลำโพงที่ฟังได้ทุกแนวเพลงทั้งช้าๆเนิบๆจนถึงจังหวะไวๆ แบบหนักหน่วง
เจ้ารุ่นนี้ถือว่าทำได้ดีเลยครับผมแถมการใช้งานที่หลากหลายด้วยครับ
ต่อได้ทั้ง Bluetooth สาย AUX และเป็น USB DAC ในตัวครับผมมม

คลิปวิดีโอทดสอบเสียงของ polk Hampden มาแล้วจ้าาา เสียงในคลิปอาจจะไม่เท่าฟังตัวจริงนะครับ
ท่านใดสนใจเข้ามาฟังที่ร้าน hifilover ชั้น 3 อัมรินทร์ พลาซ่าได้เลยนะคร้าบบบ ^^

แจ่มมาก

เวบ Digital trends มอบรางวัล Product Recommend ให้กับลำโพง Polk Hampden แล้วครับ
ท่านใดสนใจ ตามไปอ่านกันต่อได้เลยจ้าาา ^^
http://www.digitaltrends.com/pc-speaker-reviews/polk-hampden-review/

แหะๆ ไป สาขางามมา ดันมีของให้ลอง ผมงี้ตัวเบาสบายเพราะหิ้วกลับมาเบย เวงกำแท้ๆ แต่เสียงสุดยอดเจงๆคับ

ตัวนี้เสียงแจ่มจริงๆครับ ถ้าใครได้ลองต้องอยากหิ้วกลับบ้านทุกคนสิน่า 555

หลังจากที่ของขาดตลาดไปพักใหญ่ๆ ตอนนี้ลำโพง Polk Hampden มีของเข้ามาแล้วนะครับ
ท่านใดกำลังสนใจลำโพงรุ่นนี้อยู่ สามารถเข้ามาลองฟังตัวเป็นๆได้ที่ร้าน HIFILOVER เลยจ้าา ^^

วันนี้ไปฟังมาคับ เสียงดีมากคับ

@sakchaist
ตัวนี้เวสียงแจ่มๆเลยล่ะ แถมเชื่อมต่อได้หลายแบบด้วยครับ ^^
ตอนนี้ของเข้ามาครบๆแล้วนะครับ ท่านใดสนใจอุ้มกลับบ้านได้เลยจ้าา

เพิ่งได้เจ้าตัวนี้มา

ผมใช้ USB เสียบกับคอมพิวเตอร์แล้วไม่สามารถเพิ่มหรือลดเสียงผ่านคีย์บอร์ดได้

แต่ใช้ AUX ไม่มีปัญหาเพิ่มหรือลดเสียงผ่านคีย์บอร์ดได้ปกติ

ไม่ทราบว่า USB กับ AUX คุณภาพเสียงแตกต่างกันหรือไม่ครับ

@vol8

เสียบ usb คือใช้ Dac ของตัวลำโพงที่มีมาให้ ไม่ผ่าน DAC (หรือซาวน์การ์ด)ในคอมพิวเตอร์ จึงไม่สามารถปรับ เพิ่ม ลด เสียงในระบบคอมพิวเตอร์ได้

แนะนำให้เสียบ USB เพราะทางแบรนด์ได้ใส่ DAC ที่เข้ากับตัวลำโพงมาให้แล้ว นอกจากคุณจะมี DAC เทพๆ ที่เสียงเข้ากับตัวลำโพงได้ดี ค่อยต่อจาก DAC นอก แล้วยิงเข้า AUX

ไม่ทราบว่าใช้โปรแกรมไหนเล่นเพลงเอ่ย เผื่อจะแนะนำให้ปรับเสียงผ่านคีย์บอร์ดได้ครับ
แต่จริงๆแล้วตามที่คุณ เอกเรื่องมาก บอกเลย

ถ้าต่อ USB กับคอมแล้ว ไม่อยากให้ปรับเสียงด้วย Software ในคอมเลยครับ
ควรจะเปิดทุกอย่างให้สุด แล้วไปเร่งลดที่ลำโพงเอา อาจจะดูใช้านลำบากหน่อย
แต่ได้เสียงี่ดีกว่านะคร้าบบบ ^^

ผมใช้ iTunes ฟังเพลงผ่าน Apple Music ครับ

ก่อนหน้านี้ใช้ Bose Companion 5 ผ่าน Usb ปรับเสียงผ่านคีย์บอร์ดได้ปกติคงเพราะมี Driver ในตัว

ยังได้จะลองปรับเสียงผ่านลำโพงให้ชินมือดูครับ

บอกตรงๆตอนนี้ผมลังเลมากระหว่างa5+ กับPolk
หรือไปเล่นแอมป์แยกชิ้นเหมือนเดิม 555+
เฮียหมูว่าตัวไหนเสียงเข้ากับdx80 ครับ^^

@taweelap คร้าบบบ
เดี๋ยวนี้การเล่นลำโพง Active มันสะดวกกว่าครับพี่ เพราะมันมีให้เลือกหลายยี่ห้อ
แล้วก็หลากหลายแนวเสียง และอีกอย่างคือเราไม่ต้องมานั่ง Match แอมป์กับลำโพงเอง
สายต่อก็ไม่ต้องยุ่งยากด้วยครับ ลองเอาเครื่องเล่นมาลองฟังที่ร้านได้เลยครับพี่

จริงอย่างที่เฮียหมูบอกครับเปลี่ยนเครื่องในระบบแต่ละที
เล่นเอาปวดหัวทุกครั้ง กระทบเป็นลูกโซ่ไปหมดกว่าจะลงตัว
ลำโพงแอ็คทีฟปัจจุบันนี้เสียงดีมากแต่ยังงัยก็สู้แยกชิ้นไม่ได้อยู่ดี
แต่ตอบโจทย์เรื่องแนวเสียงและความสะดวกได้แถมถูกตังค์อีกต่างหาก
ถ้าได้dx80เมื่อไหร่จะหาโอกาศเข้าไปลองดูครับเฮียหมู^^

@ taweelap คร้าบบบ
ได้เลยครับ ว่างๆแวะลองมาฟังที่ร้านเล่นๆได้เลยจ้าาา ^^