Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

ความรู้เรื่อง impedanceมีผลกับคุณภาพเสียงแค่ไหน

nopphong

07/04/2008 11:24:00
พอดีแว๊บๆไปเห็นกระทู้เข้า มีท่านนึงเถียงหัวชนฝาดังโป้กๆว่า.. impedance ไม่น่าจะมีผลกับเสียง โดยพยายามให้ความรู้ต่างๆนาๆ โดยมีการเน้นว่าถ้า ohm เพิ่มแล้วเสียงดี งั้นก็เอาหูฟังแบบมีโวลลุ่มแล้วหรี่ให้สุดเสียงก็ต้องดีสิ ??

ซึ่งผมเห็นว่าผิดและเป็นการให้ความรู้ผิดๆกับสาธารณะชน ส่วนตัวผมจะแย้งก็ไม่ได้เพราะบุคคลทั่วไปอย่างผมไม่สามารถโพสได้(ไม่อยากสมัครเพราะไม่อยากเข้าที่นั่นสักเท่าไร นานๆแวะไปดูทีเวลาไม่มีที่ไหนจะดูแล้ว) เลยขออณุญาติเอามาเปิดประเ็ด็นเพื่อความเข้าใจเรื่อง impedance ที่ถูกต้องครับ

1.impedance คืออะไร ตอบง่ายๆก็ความต้านทานของหูฟังนั่นแหละ โดยจะเป็นความต้านทานที่วัดจากไฟ DC นะครับไม่ใช่วัดที่ความถี่ที่ท่านนั้นบอก เพราะถ้าวัดจากความถี่จะวุ่นวายอย่างมาก เพราะจะมีทั้งเรื่องของค่าความเป็นขดลวดที่จะมีค่าเปลี่ยนแปลงตามความถี่ และยังมีเรื่องของตำแหน่งขดลวดด้วย ดังนั้นผู้ผลิตส่วนใหญจะวัดกันที่ DC ครับ ไม่เชื่อลองเอามิเตอร์วัดหูฟังของท่านดูได้จะได้ค่าประมาณที่บอกไว้มากน้อยผิดกันไม่มาก(ส่วนใหญ่จะมากกว่าเพราะมีความต้านทานของสายหูฟังบวกเข้าไปด้วย) จะมีบ้างที่วัดกันที่ความถี่ 1KHz ซึ่งมักจะมีกำกับบอกไว้

2.ทำไมหูฟัง impedance สูงมักจะให้เสียงดีกว่าต่ำ อันนี้ต้องดูที่โครงสร้างหูฟัง มันจะเป็นขดลวดพันอยู่บนแม่เหล็ก ซึ่งตามที่เรียนกันมาจะรู้กันว่าส่วนที่ทำปฎิกริยากันคือ ขดลวด(L) กับสนามแม่เหล็ก ไม่ใช่ ความต้านทาน(R)กับสนามแม่เหล็ก ทีนี้การที่ impedance ของหูฟังเพิ่มขึ้น หมายถึงจำนวนรอบของขดลวดต้องเพิ่มมากขึ้นผลคือค่า L มากขึ้น สุดท้ายอัตตราส่วนของ L/R (ความเป็นขดลวดต่อความต้านทาน) จะเพิ่มขึ้น การตอบสนองต่อความถี่และการสร้างสนามแม่เหล็กก็จะเพิ่มขึ้น เสียงจึงน่าจะดีขึ้น(ใช้คำว่าน่าจะเพราะมันมีเรื่องของกรวยลำโพง ชนิดของแม่เหล็ก และองค์ประกอบอื่นๆอีกมาก)

3.เรื่อง impedance ของแอมป์ที่บอกว่าคือ &dquot;ความต้านทานที่บริษัทแนะนำ และจะได้กำลังขับตามที่ระบุ&dquot; อันนี้ไม่จริงครับ เพราะ impedance ของ amp คือจุดที่บริษัทออกแบบมาเพื่อที่จะขับที่ความต้านทานนั้นๆเลย การใส่หูฟังไม่ตรง impedance ของแอมป์มีผลได้ตั้งแต่หูฟังไม่ดัง เสียงเพี้ยน จนถึงแอมป์พังครับ
กับหูฟังคงไม่เท่าไรเพราะกำลังขับต่ำ แต่ถ้าเป็นแอมป์บ้าน ออกแบบมาที่ 8 OHM แล้วเอามาใส่ 4OHM(ลำโพงรถยนต์บางตัวจะมีค่านี้) เปิดดังๆแอมป์ไหม้นะครับ ส่วนสำหรับแอมป์หลอดก็จะมีการพันขดลวดมาให้ได ้impedance สำหรับค่านั้นๆเลย หากใช้โหลดต่ำกว่าจะมีการดึงกระแสจากทางเอ้าท์พุทมากจะมีปัญหาในระยะยาวได้

สำหรับในเรื่องของวงจรคนที่ทำวงจรจะรู้ว่าสัญญาณในวงจรจะประกอบด้วยสองส่วน คือ กระแส และ แรงดัน การขยายแรงดันนั้นง่าย ใช้ opamp ทั่วไปก็จะได้รูปคลื่นสัญญาณที่ใหญ่ขึ้นและสวยงาม แต่พอจะมาขับโหลดให้มีกระแสมากขึ้นมันจะยาก ลองคิดแบบเปรียบเทียบง่ายๆคือ ถ้าคุณเขย่าหม้อเปล่าๆเร็วๆคุณย่อมทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าหม้ออันนั้นใส่น้ำอยู่เต็มล่ะ เขย่ายากแน่ๆ แอมป์ก็เหมือนกัน การขับที่กระแสสูงทำได้ยากกว่า จึงทำให้แอมป์สำหรับขับหูฟังโอมห์สูงนั้นสามารถทำเสียงที่ได้รายละเอียดมากกว่า(เพราะใช้แรงขับน้อยกว่านั่นเอง) แต่ขณะเดียวกันแอมป์สำหรับโอมห์สูงก็ต้องใช้แรงดันที่สูงกว่าทำให้มีปัญหาเรื่องแหล่งจ่ายไฟที่จะไม่สามารถทำเป็นแบบพกพาได้

ทีนี้จะเห็นได้ว่า แอมป์สำหรับโอมห์สูง อาจจะขับหูฟังโอมห์ต่ำไม่ไหวเพราะกระแสไม่พอ ในขณะที่แอมป์สำหรับโอมห์ต่ำอาจจะขับหูฟังโอมห์สูงไม่ไหวเหมือนกันเพราะแรงดันไม่พอ

การใส่สายเพิ่มโอมห์ก็เพื่อลดกระแสที่จะเข้าหูฟังโอมห์ต่ำเพื่อจะใช้กับแอมป์ที่ มu impedance สูงกว่าได้ เมื่อมัน match กันก็จะให้เสียงที่ตรงกับที่ออกแบบมาที่สุดครับ และเมื่อกระแสลดลงแอมป์ก็ใช้พลังในการขับลดลงก็จะได้เรื่องความว่องไวในการเปลี่ยนรูปสัญญาณมา(เหมือนเอาน้ำในหม้อออกเสียบ้าง ก็ย่อมทำให้เราเขย่าได้เร็วขึ้น) เราก็เลยฟังออกว่ามันใสขึ้นเป็นต้น

4.ทำไมสายโวลลุ่มที่มากับหูฟังทำไมมันทำให้เสียงแย่ลง
อันนี้มีหลายเหตุผล เช่นตัวต้านทานภายในเป็นแบบ film carbon ซึ่งเป็นที่รู้กันสำหรับนักอิเลคว่ามันเสียงห่วย ถ้าใช้ทำ r ก็ได้แค่ r 5% ถูกๆเท่านั้น ผิดกับ r ที่ใช้ในแอมป์ทั่วไปที่เป็นแบบ metal film นี่ยังไม่นับ r ไฮโซที่ใช้ในสายเพิ่มโอมห์ที่จะยิ่งเสียงดีขึ้นไปอีก
แล้วยังมี
เรื่องของ impedance ของเครื่องเล่นที่ใช้ขับอีกด้วย ที่ส่วนมากจะออกแบบมาให้ขับที่ 20-32 Ohm ทีนี้พอเราไปใส่โวลลุ่มคั่นไว้มันก็จะเป็นการเพิ่ม impedance มันก็เลยไม่แมทซ์กัน(อาจจะทำให้ player ขับแรงดันได้ไม่ถึง หรือ กระแสที่จะไปขับหูน้อยเกินไป)เสียงก็เลยดรอบลงอีกส่วนนึงครับ

ไว้เดี๋ยวเย็นๆกลับมาต่อครับต้องไปทำงานแล้ว ใครมีอะไรจะแย้งก็ตามสบายนะครับ พอดีผมไม่ได้ตั้งตัวเป็นกูรูแบบห้ามเถียง เอาเหตุผลมาแชร์กันได้ประสพการณ์ดีครับ หรือท่านใดจะถามอะไรเพิ่มเติมก็ยินดีนะครับ
และหวังว่ากระทู้นี้คงจะไม่เป็นการให้ความรู้แบบผิดๆกับท่านใดนะครับ หากผิดพลาดประการใดก็ต้องของอภัยด้วยครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

นายมั่นคง

07/04/2008 13:27:12



เอ้า....ใครสนใจ อ่านมุมมองตามแบบช่างอิเล็คทรคนิคอย่างพี่ nopphong ดูครับ 555

ผมเองความรู้ทางช่างแค่หางอึ่ง.....พูดไปผิดเปล่าๆๆๆ


แต่เรื่องพวกนี้เป็นวิทยาศาสตร์ครับ มีหลักฐาน มีหลักการ และที่แน่ๆ พิสูจน์ได้ครับ 555


เลิกงานแล้วมาคุยต่อละกันเด้อ..........
ความคิดเห็นที่ : 2

คิว

07/04/2008 15:44:29
ดีครับ ไม่มั่ว+อคติส่วนตัว เหมือนกับอีกที่ที่ผมอ่าน ขอบคุณพี่ nopphong ด้วยครับ
ความคิดเห็นที่ : 3

yugi99hitsCOMBO

07/04/2008 17:03:32
ขอบคุณครับ

ผมก็เคยไปโพสถามที่บอร์ดอื่น ก็ยังงงๆกับคำตอบอยู่ดี

สรุปว่า อย่างของผม m6sl มันประมาณ 30กว่าโอม+ ksc35 ที่เพิ่งไปซื้อมา มัน60 กว่าโอม

แบบนี้ แสดงว่า เครื่องมันจะมีแรงขับ ksc35 ได้ไม่เต็ม 100 ใช่มั้ยครับ เสียงที่ได้เลยไม่ถึงกับ 100เปอเซนต์ แต่ถ้าหาแอมป์มาต่อเพิ่ม ให้มันมีแขงออกมา 60โอมเท่ากับ ksc35 เสียงมันก้จะเต็ม 100

แบบนี้ถูกป่าวครับ
ความคิดเห็นที่ : 4

เดฟจ้า

07/04/2008 18:13:36
ขอบคุณ พี่ นพพงษ์ ครับ
ความคิดเห็นที่ : 5

nopphong

07/04/2008 20:40:39
มาต่อ
ก่อนอื่นต้องบอกว่าบทความนี้ไม่สงวนสิทธินะครับ สามารถไปก๊อบแปะไว้ที่อื่นได้โดยไม่จำเป็นต้องให้เครดิตผู้เขียนแต่อย่างใดนะครับ เพื่อเป็นวิทยาทานและจะได้ลดจำนวนคนที่เข้าใจแบบผิดๆให้น้อยลงครับ แต่บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อหวังจะขายสายเพิ่มโอมห์แต่อย่าใดนะครับเนื่องจากผมไม่ได้เป็นคนทำสายขายและก็ไม่ได้ % อะไรทั้งสิ้น ทฤษฎีนี้ว่าด้วยเรื่อง impedance ของแอมป์และหูฟังครับ

เรื่องตอบคำถามเดี๋ยวไว้ตอนท้ายครับ

เมื่อเช้ารีบๆเขียนเพราะจะรีบไปทำงานเลยขาดมาตราฐาณบทความที่ดีไปตรงที่ไม่มีรูปภาพประกอบและอ้างอิงนะครับเลยจะมาเพิ่มให้สักหน่อยแต่จะออกแนวๆช่างหน่อยนะครับเพราะเรื่องของเรื่องผมวาดภาพไม่เป็นน่ะ อิอิ

เริ่มจากผมพูดลอยๆอาจจะมีคนบอกว่า โม้ป่าว เราเลยจะมาพิสูจน์ด้วยการซิมมูเลทด้วยคอมพิวเตอร์กัน

ผมทำวงจรเล่นๆขึ้นมาหนึ่งวงจร เป็น Cmoy จะบอกว่าแบบ the pig ก็ว่าได้ วงจรจะเป็นแบบนี้ครับ

ความคิดเห็นที่ : 6

nopphong

07/04/2008 20:41:10



ลืมรูป
ความคิดเห็นที่ : 7

นายมั่นคง

07/04/2008 20:41:46



ผมเพิ่งคลิกเข้าไปอ่านใน TAF เมื่อตะกี๊เอง


ขอบคุณ คุณเบียร์ครับ ที่ช่วยดูแลทุกอย่างให้ราบรื่น...........
ชื่นชมครับ ผมเคยอ่านและเห็นคุณเบียร์ใช้ดุลพินิจมาในหลายๆ กระทู้ล่ะ
รวมถึงกระทู้นี้ด้วย..........




เว็บหูฟังทั้งหมดในไทยตอนนี้ ผมถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลทั้งสิ้น ทางนู้นนิด ทางนี้หน่อย อย่าไปถือว่าใครถูกใครผิด หรือว่าใครถูกกว่า ใครผิดกว่าครับ



ขอให้ทุกท่านแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างมีความสุขเน้อ.........


555


ความคิดเห็นที่ : 8

nopphong

07/04/2008 20:47:40



มาดูรูปกันอันนี้จะเป็นรูปของสัญญาณที่โหลด 64 OHM(ksc35) จะเห็นว่าสัญญาณ สามารถสวิงไปได้อย่างสวยงามที่ราวๆ 8Vกว่าๆ p-p
ความคิดเห็นที่ : 9

nopphong

07/04/2008 20:54:23



แหะๆดูสเกลผิด จริงๆคือ ราวๆ 5V p-p

ทีนี้มาดูที่ระดับสัญญาณเดียวกันที่โหลด 24 Ohm(Grado)
จะเห็นว่ามันโดนตัดยอดเพราะมันปล่อยกระแสที่แรงดันขนาดนั้นไม่ไหว โดยจะโดนตัดยอดที่ราวๆ 3V p-p

ความคิดเห็นที่ : 10

nopphong

07/04/2008 21:10:27
แต่ก็คงมีคนบอกว่าหูฟังโอมห์ต่ำมันก็ต้องการแรงดันที่ใช้ขับต่ำด้วย อันนั้นเรื่องจริงเลยครับ เพราะที่แรงดันเท่าๆกันหูฟังโอมห์ต่ำจะดังกว่า ผลก็คือเราก็จะทำการหรี่โวลลุ่มลง นั่นแหละครับที่ทำไมมันถึงเสียงต่าง เพราะที่การสวิงของสัญญาณน้อยๆ มันจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้เสียงดรอบลง
เช่นแรงดันที่จะถูกทอนให้ลดลงในตัวไอซีทำให้เกิดการสูญเสียอยู่ภายในตัวไอซี
และสัญญาณมีขนาดเล็กทำให้ผลของทางเดินสัญญาณมีมาก(ลองคิดดูว่าหากคุณขี่จักรยานไปบนถนนขรุขละคงจะลำบากแทบตาย เมื่อเทียบกับขับรถปิกอัพบนถนนเดียวกันคงจะไม่รู้สึกเท่าไร เรื่องของสัญญาณและทางเดินสัญญาณก็เป็นแบบนั้นครับ)ซึ่งจะดรอบในส่วนนี้อีก
และยังจะมีเรื่องของภาคจ่ายไฟที่เมื่อจ่ายกระแสสูงๆจะมีการกระเพื่อมมากกว่าจ่ายกระแสน้อยๆ

เราก็เลยหาทางแก้ไขปัญหานี้โดยใส่ตัวเพิ่มโอมห์ซะ ทีนี้แอมป์ก็จะสวิงได้แรงดันที่สูงกว่าโดยที่รูปสัญญาณยังคงเดิม ขจัดปัญหาเรื่องการสูญเสียต่างๆที่ว่ามาครับ

แต่ใช่ว่าใส่แล้วมันจะดีไปเสียหมดนะครับเพราะมันยังมีเรื่องของชนิดของ R ที่ใช้ และค่าที่ต้องพอดีกันกับหูฟังและแอมป์แต่ละตัวครับ เอาสายเพิ่มโอมห็ไปต่อกับ player โดยตรงแทนที่มันจะดีมันกลับจะแย่ลงมากกว่าครับ
ความคิดเห็นที่ : 11

๋JokE_zZz

07/04/2008 21:18:54
สุดยอดมากคับ กดโหวตตรงไหนเนี่ย เอิ๊กๆ
ความคิดเห็นที่ : 12

nopphong

07/04/2008 21:38:37



มาดูกันที่ spec ของไอซีตัวเก่งของเรา opa627 จะเห็นว่าเขาระบุว่าปล่อยกระแสได้ +70 -55 mA ตีซะว่าได้ 50mA เต็มที่ ทีนี้ถ้าเราใช้หูฟัง 24 OHM เราก็จะปล่อยแรงดัน output ได้สูงสุดที่ 1.2V เท่านั้น ก่อนที่ไอซีจะไหม้ ทีนี้ถ้าเราเปิดดังโดยไม่มีวงจรป้องกันไว้ ไอซีอาจจะไหม้ได้ หรืออย่างเบาะๆก็เสียงจะเพี้ยน อีกทั้งยังมีการสูญเสียในวงจร เพราะจะเห็นว่าใช้แหล่งจ่าย 9V แต่ดันปล่อยได้สุดๆแค่ 1กว่าๆ ที่เหลือก็เสียไปเปล่าๆ
ในขณะที่ถ้าเราเพิ่มโอมห์ให้มันจนเป็น 64 Ohm เราจะได้แรงดันสูงสุดที่ไอซีขับได้ที่ 3.2 Volt (เท่ากับ 6.4V p-p ใกล้เคียงแหล่งจ่ายที่จ่ายให้ 9V) ทำให้การสูญเสียในตัวไอซีน้อยลง เสียงจึงดีขึ้นครับ
ความคิดเห็นที่ : 13

nopphong

07/04/2008 21:55:45
แต่ในมุมกลับกัน ถ้าเอาเจ้า 627 นี้ไปขับหูฟัง 300 ohm ล่ะ

อ้างจากไหนก็ไม่ทราบเอาเป็นว่าที่เว็ปเพื่อนบ้านเว็ปนึงมีบอกไว้ว่า hd600 impedance 300 OHM มันต้องการกระแสสูงสุดที่ 37mA เราจะพบว่าแรงดันที่มันต้องการเพื่อที่จะขับให้ได้กระแส 37mA คือ 11.1V แต่แหล่งจ่ายเรามันจ่ายได้แค่ 9V นี่ไงครับเราจะได้สำผัสคำว่าขับไม่สุด ยิ่งในระบบ hifi เราจะต้องเผื่อกำลังขับให้มากกว่าที่ใช้งานจริง 2-10 เท่า มันก็ยิ่งห่างไกลคำว่าขับได้หมดมากนักครับ แต่เนื่องจาก spec ของไอซีกำหนดไว้ว่าปล่อยกระแสได้ 50mA แต่แรงดันนั้นรับได้ถึง 30V การทำให้มันขับสุดจึงไม่ยากเลย แค่เปลี่ยนแหล่งจ่ายจาก 9V เป็น 24V แค่นั้นเองครับ(C ในวงจรต้องเปลี่ยนให้ทนแรงดันได้ 25V ด้วย)
ความคิดเห็นที่ : 14

So Gallanty

07/04/2008 21:59:48
ตอนเรียนกฎหมาย มันยังไม่ยากขนาดนี้เลย แฮะๆ ^^ มึนตึ้บง่ะ
ความคิดเห็นที่ : 15

nopphong

07/04/2008 22:25:27
ตอบคำถามบ้าง

คำถาม
สรุปว่า อย่างของผม m6sl มันประมาณ 30กว่าโอม+ ksc35 ที่เพิ่งไปซื้อมา มัน60 กว่าโอม

แบบนี้ แสดงว่า เครื่องมันจะมีแรงขับ ksc35 ได้ไม่เต็ม 100 ใช่มั้ยครับ เสียงที่ได้เลยไม่ถึงกับ 100เปอเซนต์ แต่ถ้าหาแอมป์มาต่อเพิ่ม ให้มันมีแขงออกมา 60โอมเท่ากับ ksc35 เสียงมันก้จะเต็ม 100

แบบนี้ถูกป่าวครับ

คำตอบ
อาจจะใช่และไม่ใช่ครับ คือต้องดูที่แรงดันสูงสุดที่ 35 ต้องการประกอบด้วยครับ โดยปรกติ player ทั่วๆไปจะสวิงได้ราวๆ 3V p-p เท่ากับถ้าขับ 35 จะได้กระแสสูงสุดราวๆ 25mA ซึ่งผมไม่มีสเปกว่า 35 มันกินกระแสเวลาขับสุดเท่าไร แต่จากการคำนวนคร่าวๆน่าจะสูงกว่านี้ไม่มาก เรียกว่าขับได้ดี แต่จะดีกว่าถ้าเผื่อกำลังขับให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย(อย่างที่บอกว่าระบบ hifi ต้องเผื่อกำลังขับให้มากกว่าที่ใช้จริง 2-10 เท่า) จึงเห็นได้ว่า 35 จะเสียงดีขึ้นถ้าต่อผ่านแอมป์
ผิดกับหูฟังโอมห์ต่ำที่ไม่ได้ต้องการแรงดันมากนักในการขับ player ทั่วไปที่ 3V ก็สามารถเพียงพอที่จะขับและยังมีส่วนเผื่อเหลือไว้เรียบร้อยแล้วครับ

อีกคำถามจากอีกที่นึงนะครับ
คำถาม
ขอถามนิดนึงครับ ว่าแอมป์บ้าน200w/8ohm ถ้านำมาขับหูฟังที่32ohmแสดงว่าถ้าฟังไปนานๆ เสียงที่ได้อาจจะความเพี้ยนหรือมีความผิดปกติ แล้วแอมป์มันไหม้ได้หรือเปล่า ขอบคุณครับ
คำตอบ
ไม่มีผลกับแอมป์ครับ เพราะ 200Wที่8Ohm จะเท่ากับแรงดันที่ขับได้ราว 40V ถ้าทางช่องหูฟังไม่มี R drop ไว้ เกิดบิดโวลลุ่มมากๆหูฟังนั่นแหละครับที่จะไหม้ อิอิ แต่ส่วนใหญ่คงจะมี R คั่นไว้ ก็เลยหูไม่ไหม้ แต่จะมีผลเรื่องของเสียง ที่จะดรอบเพราะ R ที่คั่นไว้นั้น และยังเรื่องของกระแสที่เขาออกแบบให้มันปล่อยกระแสได้มาก แต่พอมาใช้กับหูฟังเราใช้มันนิดเดียว มันจึงทำงานไม่เต็มที่ และการออกแบบวงจรที่แรงดันและกระแสสูงๆจะต้องผ่านวงจรมากกว่าเรื่องรายละเอียดของเสียงจึงลดลง ในขณะที่ความเพี้ยนของสัญญาณจะมากขึ้น คิดง่ายๆว่าถ้าเป็นรถบรรทุกจะเบรคจะเร่งมันคงไม่ปรู๊ดปร๊าดเหมือนรถสปอร์ต แต่ขณะเดียวกันเอารถสปอร์ตไปบรรทุกของหนักๆก็คงไม่ไหวเหมือนกันครับ
ความคิดเห็นที่ : 16

xxiii23

07/04/2008 22:34:34



&dquot;งั้นก็เอาหูฟังแบบมีโวลลุ่มแล้วหรี่ให้สุดเสียงก็ต้องดีสิ ??&dquot;

ผมชอบประโยค นี้จริงๆ นึกภาพออกเลย หูฟัง พวกมีปรับ ค่า R
ที่สาย ปรับเสียงเบาดัง อย่าง Akg 314p นั่นสิ ไม่อย่างนั้น
หูฟังทุกตัวถ้าอยากให้เสียงดีก็๋ใส่ ที่ปรับ Volume เข้าไปแล้ว ก็เลื่อนให้
ค่า R มันเยอะๆ หรือเสียงเบาๆ คงเสียงดีกันหมดทุกตัวแน่


ช่วยอธิบายกราฟอีกนิด สิครับพี่

เท่าที่ดู กราฟใน คห.8 และ9 ผมเข้าใจว่า
แกน x แนวราบคือ เวลา t
แกน y แนวดิ่ง คือ โวล์ท V

คือ กราฟใน คห.9 มัน หัวกุด แล้วมันจะมีผลกับเสียงช่วงไหนเหรอครับ
เสียง ต่ำ กลาง แหลม หรือ ทำให้เพี้ยน มันทุกย่าน

คห.12 ผมเข้่าใจว่า
จากสูตรไฟฟ้าเบื้องต้น V=I*R แทนค่า I=50 mA R=24,64,100 ohm

V=(50/1000)*24=1.2 v พอสวิงเลยกลายเป็น + - (1.2*2)=2.4v p-p
V=(50/1000)*64=3.2 v พอสวิงเลยกลายเป็น + - (3.2*2)=6.4v p-p

Vo=+- 10V 6.4v มันใกล้ 10 ก็เลยสูญเสียน้อย ถูกไหมครับ?

ถ้าถูก งั้นถ้าเราทำหูฟังให้มี impedant =100 ohm จะทำให้เสียงดีสุดสิครับ

V=(50/1000)*100=5.0 v พอสวิงเลยกลายเป็น + - (5.0*2)=10.0v p-p

มันจะให้**เสียงดีที่สุด หรือเปล่า**? (หรือยังไง)
ว่าแต่ p-p มันย่อมาจากอะไรครับ?

ยังงงๆอยู่ อธิบายหน่อยคร๊าบบ
ความคิดเห็นที่ : 17

nopphong

07/04/2008 22:35:23
คำถาม
อย่างนี้แอมป์นี่ก็ซีเรียสกับ ค่า impedance ของโหลด ต้องใส่เป๊ะๆหรือเปล่าครับ
คำตอบ
ไม่ครับ impedance ของแอมป์มันสามารถสวิงได้กว้างพอสมควร เช่น ออกแบบมาที่ 32 ohm แต่เอาจริง ขับได้ 16-64 โอมห์แหละครับ เพียงแต่มันจะทำงานและได้เสียงที่ดีที่สุดก็ที่เขาออกแบบไว้ แต่ถ้าเอาโอมห์ต่ำกว่าที่ออกแบบมากๆมาต่อ แอมป์ปล่อยกระแสไม่ไหวแอมป์ก็อาจจะไหม้ได้ แต่ถ้าเอาโอมห์สูงกว่ามากมาใส่มันก็จะไม่ดังเท่าที่ควรครับ
ความคิดเห็นที่ : 18

nopphong

07/04/2008 22:43:07
คำถาม
เท่าที่ดู กราฟใน คห.8 และ9 ผมเข้าใจว่า
แกน x แนวราบคือ เวลา t
แกน y แนวดิ่ง คือ โวล์ท V

คือ กราฟใน คห.9 มัน หัวกุด แล้วมันจะมีผลกับเสียงช่วงไหนเหรอครับ
เสียง ต่ำ กลาง แหลม หรือ ทำให้เพี้ยน มันทุกย่าน
คำตอบ
เป็นทุกย่านครับเพราะมันกุดเสมอภาคทุกย่านเลย เราจะได้ยินเสียงเป็นเสียงแตกๆ นั้นแหละครับมันหัวกุดแล้ว

คำถาม
คห.12 ผมเข้่าใจว่า
จากสูตรไฟฟ้าเบื้องต้น V=I*R แทนค่า I=50 mA R=24,64,100 ohm

V=(50/1000)*24=1.2 v พอสวิงเลยกลายเป็น + - (1.2*2)=2.4v p-p
V=(50/1000)*64=3.2 v พอสวิงเลยกลายเป็น + - (3.2*2)=6.4v p-p

Vo=+- 10V 6.4v มันใกล้ 10 ก็เลยสูญเสียน้อย ถูกไหมครับ?

ถ้าถูก งั้นถ้าเราทำหูฟังให้มี impedant =100 ohm จะทำให้เสียงดีสุดสิครับ

V=(50/1000)*100=5.0 v พอสวิงเลยกลายเป็น + - (5.0*2)=10.0v p-p

มันจะให้**เสียงดีที่สุด หรือเปล่า**? (หรือยังไง)
ว่าแต่ p-p มันย่อมาจากอะไรครับ?
คำตอบ
Vin เท่ากับ 9V ครับเพราะเราใส่แบต 9V แต่ทีนี้มันก็ต้องมีสูญเสียในวงจรส่วนนึง ดังนั้นแรงดันสวิงสูงสุดไม่น่าจะได้ถึง 9 ผมว่าซัก 7 ก็เก่งแล้ว ดังนั้นที่ impedance ราวๆ 64-90 Ohm นี่ถือว่าน่าจะดีแล้วครับ
ส่วน p-p ย่อมาจาก Peak to Peak หมายถึงแรงดันวัดจากยอดถึงยอด ซึ่งถ้าจะคำนวนเป็น Rms จะต้อง หารสองแล้วคุณด้ว 0.707 ครับ
ความคิดเห็นที่ : 19

xxiii23

07/04/2008 22:46:47



พี่มี Spec ของ IC 637 กับ AD 797 ไหม? ถ้่ามีเอามาลงให้ดูหน่อยสิครับ
ความคิดเห็นที่ : 20

nopphong

07/04/2008 22:50:48
สุดท้าย
คำถามที่ทำให้เกิดการเริ่มกระทู้ครับ
&dquot;งั้นก็เอาหูฟังแบบมีโวลลุ่มแล้วหรี่ให้สุดเสียงก็ต้องดีสิ ??&dquot;

ผมชอบประโยค นี้จริงๆ นึกภาพออกเลย หูฟัง พวกมีปรับ ค่า R
ที่สาย ปรับเสียงเบาดัง อย่าง Akg 314p นั่นสิ ไม่อย่างนั้น
หูฟังทุกตัวถ้าอยากให้เสียงดีก็๋ใส่ ที่ปรับ Volume เข้าไปแล้ว ก็เลื่อนให้
ค่า R มันเยอะๆ หรือเสียงเบาๆ คงเสียงดีกันหมดทุกตัวแน่

คำตอบคือจริงๆมันก็ทำให้เสียงดีขึ้นนะครับ(เอ๊ะยังไง) คือถ้าเราต่อแอมป์ แล้วลองดูเลย เริ่มจากตั้งค่าโวลลุ่มที่หูฟังเป็นดังสุด แล้วหรี่โวลลุ่มที่แอมป์เอา กับหรี่โวลลุ่มหูฟังแล้วปรับแอมป์ให้ดังขึ้น ลองดูครับมันจะมีจุดนึงที่มันสมดุลกันและให้เสียงดีที่สุด นั่นแหละครับจุดที่ impedance ของแอมป์กับหูฟังมันสมดุลกันแล้วครับ
ความคิดเห็นที่ : 21

nopphong

07/04/2008 23:00:35
637 สเปกใกล้เคียง 627 มากครับต่างแค่ในรายละเอียด ส่วน 797 จ่ายกระแสได้ 50 mA ครับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆของสเปกมีมากจนโพสไม่ไหวครับ อิอิ
ความคิดเห็นที่ : 22

xxiii23

07/04/2008 23:01:07
อีกนิดสิครับ แล้วมันมีวิธี คำนวณ ไหมว่าแอมป์ ที่พี่ทำให้ผม หรือ แอมป์ ตัวอื่นๆ ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด
มันเหมาะกับ หู impedance กี่ ohm

ถ้าคำนวณได้หรือใกล้ เีคียงเราก็ทำสายเพิ่ม โอห์ม
โดยใช้ R เกรดดีๆ หน่อยก็จะทำให้ หูฟังเราเสียงดีเข้าขั้นสูงสุด ของตัวมันได้
ความคิดเห็นที่ : 23

xxiii23

07/04/2008 23:42:23



เพราะเราใส่แบต 9V แต่ทีนี้มันก็ต้องมีสูญเสียในวงจรส่วนนึง ดังนั้นแรงดันสวิงสูงสุดไม่น่าจะได้ถึง 9 ผมว่าซัก 7 ก็เก่งแล้ว ดังนั้นที่ impedance ราวๆ 64-90 Ohm นี่ถือว่าน่าจะดีแล้วครับ

จากคำตอบ คห.18 พอสรุปว่า
พวกแอมป์ใส่ ถ่าน 9V น่าจะเหมาะกับ หูฟังที่มี impedance ไม่เกิน 90 ohm
ถ้าเกินกว่านี้ จะเหมาะกับแอมป์ที่ มีแหล่งจ่ายไฟ แรงดันสูงกว่านี้ เช่น
ทำให้เข้าใจไปว่าถ้าเป็น หู 300 ohm ถ้าประมาณแรงดันที่จ่ายน่า
จะต้อง ไม่ต่ำกว่า 24-30v ถึงจะขับ หูฟังขนาด 300 ohm ได้ดีที่สุดสิครับ

แต่พอมานึกถึงตอนทำแอมป์ตัวที่ใช้อยู่ พี่เคยบอกว่า IC มันรับแรงดันสูงสุด
ได้แค่ + - 15 V แล้วหม้อแปลงเทอรอยด์ แอมป์ผม และแอมป์ท้องตลาดทั่วไป ก็ไม่น่าจะเกิน 15 V ถ้าประมาณมันก็น่าจะขับหูได้
ประมาณที่ impedant 150 ohm เองสิครับ

เฮ้อ..ขอตัวไปนอนก่อนล่ะครับ ถ้าสรุปผิดไปขออภัยด้วยครับ
ความคิดเห็นที่ : 24

nopphong

08/04/2008 00:02:50
สรุปผิดครับ เพราะ +-15V เท่ากับ 30V p-p ไงครับ
ความคิดเห็นที่ : 25

nopphong

08/04/2008 00:16:37
แก้ไขคำผิดจากกระทู้แรก เนื่องจากอ่านแล้วสับสนได้ง่าย
จาก
โดยจะเป็นความต้านทานที่วัดจากไฟ DC นะครับไม่ใช่วัดที่ความถี่
เป็น
โดยจะเป็นความต้านทานที่วัดจากไฟ DC นะครับไม่ใช่วัดความต้านทานที่ความถี่ต่างๆ
ความคิดเห็นที่ : 26

nopphong

08/04/2008 00:47:36
เอ่อแถมอีกนิด รบกวนม่านที่ผ่านมาเอาไปฝากเจ้าของกระทู้ที่โน่นด้วยนะครับ กับคำถามที่ว่าถ้าเลือกได้ควรเลือกหูฟังโอมห์ต่ำหรือโอมห์สูง
คำตอบคือแล้วแต่ว่าคุณจะใช้ฟังแบบไหน ถ้าจะต่อตรงเลย หรือใช้แอมป์พกพา เลือกโอมห์ต่ำเป็นทางออกที่ดี เพราะ player แรงดันต่ำๆก็สามารถขับไหว
แต่ถ้าจะฟังอยู่กับที่ การเลือกหูโอมห์สูงจะให้ผลดีกว่า ทั้งในเรื่องของเสียงของตัวหูฟังเอง ทั้งในเรื่องของแอมป์ ที่แอมป์สำหรับโอมห์สูงจะให้เสียงที่ดีกว่าครับ(เพราะต้องการกระแสน้อยกว่าเลยออกแบบวงจรง่ายและมีประสิทธิภาพได้มากกว่า)
ความคิดเห็นที่ : 27

ดอนนา

08/04/2008 02:20:47
ชอบประโยคนี้ครับ

&dquot;ใครมีอะไรจะแย้งก็ตามสบายนะครับ พอดีผมไม่ได้ตั้งตัวเป็นกูรูแบบห้ามเถียง&dquot;

มันโดนใจจริงๆ

ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ :157:
ความคิดเห็นที่ : 28

nopphong

08/04/2008 08:56:30
แหะๆประโยคนั้นผมไม่ได้ต้องการกระทบใครนะครับ แค่บอกว่าข้อความผมแย้งได้ เพราะใช่ว่าผมจะถูกต้องเป๊ะๆไปซะหมดทุกอย่าง หากผิดพลาดตรงไหนแล้วช่วยกันแย้งมาก็จะช่วยให้บทความสมบูรณ์ขึ้น และทำให้ความรู้ที่ผู้อ่านได้รับไม่ผิดพลาดจากความจริงไปน่ะครับ
ความคิดเห็นที่ : 29

xxiii23

08/04/2008 11:39:48
ขออภัยไม่เกี่ยวกับห้วข้อกระทู้

แจ้งพี่นพ ว่า Kefir grians มาถึงแล้ว
ถ้าไม่ติดขัดอะไรวันนี้จะเอาไปให้
หรืออย่างช้าไม่เกินวันศุกร์
เพราะร้านปิด พ-พฤ. ครับ
ความคิดเห็นที่ : 30

nopphong

08/04/2008 11:55:31
โอยรีบเอามาเลยรอจนเหงือกแห้งแล้วว ฮ่าๆๆ ไม่ใช่อะไรหรอกนานไปกลัวเชื้อมันตาย ถ้าไม่ทันจริงๆ นัดเจอกันค่ำๆแถวไหนก็ได้เดี๋ยวผมไปรับ ระหว่างนี้เอาแช่ตู้เย็นช่องธรรมดา(ห้ามฟรี๊ต)ไว้ก่อนเลยนะครับเดี๋ยวมันบูด อิอิ
ความคิดเห็นที่ : 31

xxiii23

08/04/2008 14:30:37
บอกคนที่บ้านให้แช่ไว้แล้วครับ พอดีมันมาติดวัน ส-อา-จักรี
เลยเพิ่งมาถึงช่วงเช้านี้เอง ส่งมาวันที่ 31 มั้งครับ ไม่รู้ตายอ๊ะยัง 555
ความคิดเห็นที่ : 32

เป็ดอบน้ำผึ้ง

08/04/2008 14:38:41
พี่ nopphong ครับ มีคำถามครับ
ถ้าดูจากกราฟที่พี่เอามาให้ดูแล้ว ถ้าเอา grado ต่อแอมป์แล้วกราฟเป็นแบบภาพที่ 2นั้น
grado ไม่ต่อแอมป์น่าจะดีกว่าใช่ไหมครับ ผมเข้าใจว่าถ้าไม่ต่อกราฟน่าจะใกล้เคียงกับภาพที่ 1
ความคิดเห็นที่ : 33

nopphong

08/04/2008 21:45:49
กร๊าฟอันนั้นแค่เปรียบเทียบให้ดูครับว่า impedance มีผลกับการทำงานของแอมป์จริงๆ ในในการใช้งานจริงเราคงจะไม่เปิดดังขนาดนั้นหรอกครับ ไม่หูคนก็หูฟังคงจะพังไปข้างนึงแล้วน่ะครับ ฮ่าๆๆ แล้วก็ยังไงก็ตามต่อแอมป์มีแต่จะปล่อยกระแสและแรงดันได้มากกว่าไม่ต่อเลยอยู่ดีแหละครับ

และมันก็เป็นเหตุผลว่าทำไมแอมป์ใหญ่อย่างเจ้า vam ถึงได้เสียงดีกว่า หมู เพราะแอมป์ใหญ่มันปล่อยกระแสและแรงดันได้สูงกว่า ก็เลยมีส่วนเผื่อเหลือเพื่อตอบสนองสัญญาณกระชาก(transient) ได้ดีกว่า คนฟังมักจะเรียกกันว่ามันให้ dynamic ที่ดีกว่าไงครับ
ความคิดเห็นที่ : 34

anon

12/04/2008 04:44:50
ก็ถูกกันคนละครึ่งครับ impedance นั้นวัดเป็นค่าความต้านทานจากไฟฟ้ากระแสสลับนั้นถูกแล้ว ไม่ใช่ไฟตรง ทางงาน audio ส่วนมากวัดกันที่ 1kHz เพราะถือว่าอยู่ตรงกลางย่านความถี่เสียง

หูฟังที่บอกค่า impedance มา 32ohm 300ohm หรือ 600ohm มา ถ้าเอามิเตอร์วัด R (f=0Hz) ไปลองจิ้มดูจริงๆได้ไม่ถึงหรอกครับ

http://en.wikipedia.org/wiki/Electrical_impedance" title="http://en.wikipedia.org/wiki/Electrical_impedance">http://en.wikipedia.org/wiki/Electrical_impedance

ทีนี้ลองไปดูกันว่า impedance matching มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

http://en.wikipedia.org/wiki/Impedance_matching" title="http://en.wikipedia.org/wiki/Impedance_matching">http://en.wikipedia.org/wiki/Impedance_matching

หูฟังที่มี impedance สูงๆที่ใช้กับงาน studio มีข้อได้เปรียบคือให้กำลังวัตต์มากกว่าที่จำนวนกระแสเท่ากัน แต่ก็ต้องแลกกับการใช้กับแอมป์ประสิทธิภาพสูง ส่วนหูฟังที่มี impedance ต่ำนั้นขับได้ง่ายกว่าก็จริง แต่ไม่สามารถผลิตกำลังวัตต์ได้มากเพราะต้องใช้กระแสจำนวนมากกว่าในการผลิตกำลัง แต่ก็เป็นโชคดีที่ sensitivity ของหูฟัง low imp มักจะดีกว่า คือเสียงดังกว่าที่กำลังวัตต์ที่ใช้ไปเท่าๆกัน
ความคิดเห็นที่ : 36

anon

12/04/2008 05:07:50
Loudspeaker amplifiers
Modern solid state audio amplifiers do not use matched impedances, contrary to myth. The driver amplifier has a low output impedance, such as < 0.1 ohm, and the loudspeaker usually has an input impedance of 4, 8, or 16 ohms, which is many times larger than the former. This type of connection is impedance bridging, and it provides better damping of the loudspeaker cone to minimize distortion.

The myth comes from tube audio amplifiers, which required impedance matching for proper, reliable operation. Most of these had output transformer taps to approximately match the amplifier output to typical loudspeaker impedances.

http://en.wikipedia.org/wiki/Impedance_matching
ความคิดเห็นที่ : 37

nopphong

12/04/2008 08:55:52
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

อืม..เท่าที่ดูๆคือมันคนละอย่างกันน่ะครับ คือถ้าเป็นแอมป์บ้านนี่ไม่เถียงเลยที่เขาสามารถออกแบบให้ impedance ต่ำมากๆได้ แต่สำหรับแอมป์หูฟังมันคนละเรื่องกับแอมป์บ้านครับ สำหรับแอมป์หูฟัง โดยเฉพาะแอมป์พกพา impedance เป็นเรื่องสำคัญมากๆครับ เพราะโอมห์หูฟังมันไม่ได้ต่างกันแค่ 2-8 ohm แต่มันเป็นต่างกัน 16 - 300 ohm เราเลยเอาเรื่องที่เขียนไว้ใน wiki มาใช้ไม่ได้ครับคนละกรณีกัน

จริงๆเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่นี่ไม่ใช่ว่าปัญหามันอยู่ที่เราขับได้มากน้อยหรือประสิทธิภาพลดลงเพราะ imp ไม่แมทนะครับ แต่ปัญหาที่คุยกันคือ แอมป์หูฟังมันมีปัญหาด้านการออกแบบ ทำให้ไม่สามารถทำแอมป์ที่เสียงดีๆโดยที่สามารถขับได้ครอบจักรวาลทั้งโอมห์สูงและโอมห์ต่ำโดยยังคงเสียงที่ดีที่สุดของมันเอาไว้ได้น่ะครับ
การที่จะทำให้เสียงมันดีที่สุดก็คือต้องใช้หูที่ imp แมทกัน หรือไม่ก็ต้องออกแบบแอมป์ให้แมทกับหูนั้นๆ และยังคุยกันเรื่องการขับกระแสของแอมป์หูฟังที่มีข้อจำกัดว่ายิ่งขับกระแสมากขึ้นเท่าไรยิ่งออกแบบยากขึ้นและเสียงแย่ขึ้นเท่านั้น
โดยสรุปมันเป็นปัญหาทางเทคนิคในการออกแบบแอมป์หูฟังครับ ซึ่งมีจำนวนนึงแก้ไขโดยทำไฮเกนโลเกนเพื่อช่วยแมทชิ่ง ทั้งนี้ถ้าแอมป์นั้นสามรถปล่อยกระแสได้เหลือๆอยู่แล้วก้จะแค่ปรับเกนเพื่อให้ระดับแรงดันอยู่ในช่วงที่ต้องการสำหรับ impedance ของหูแต่ละรุ่นน่ะครับ (คงเคยเจอแอมป์บางตัวที่ไม่มีปรับเกนแล้วใช้หูโอมต่ำพอบิดโวลลุ่มจิ๊ดเดียวก็ดังหูแตก ในขณะที่ใช้หูโอมห์สูงกลับฟังได้พอดีๆ นั่นแหละครับคือปัญหาที่คุยกันอยู่)
ส่วนแอมป์ที่ปล่อยกระแสได้ต่ำเพราะต้องการพกพาการแมทชิ่งด้วยการเพิ่มค่า R output ก็จะเป็นวิธีการนึงนี่ใช้กันครับ
ความคิดเห็นที่ : 38

nopphong

12/04/2008 08:59:21
อ้อแต่เรื่อง impedance หูฟังวัดที่ 1K นี่น่าจะใช่สงสัยผมผิดเองครับ ขอบคุณครับที่ช่วยแก้ไขให้ครับ
ความคิดเห็นที่ : 39

SummerSun

12/04/2008 20:55:57



สวัสดีวันสงกรานต์ครับ ขอบคุณคุณนพพงศ์ครับที่เอาความรู้มาฝากเรื่อยๆ

สงสัยอย่างครับ ksc35 ของผมทำไมมันโดนขับได้ดังกว่า grado ล่ะครับ ใช้ m6 : volume เดียวกัน ต่อตรงจาก player เลยครับ

ความคิดเห็นที่ : 40

nopphong

12/04/2008 21:35:35
นอกจากโอมห์ ความไวก็มีผลครับ(db/mW) และลักษณะของหูฟังก็มีผล อย่าง grado ตัวกรวยลำโพงมันจะอยู่ห่างหูมากกว่า ถ้าจะให้ได้ยินเท่าๆกันก็ต้องเปิดเสียงให้ดังกว่า ksc35 ครับ ยิ่ง701นี่โอมก็เท่าๆกับ 35 ความไวก็พอๆกัน แต่กลับเสียงค่อยกว่า เพราะนอกจากตัวลำโพงมันจะห่างจากหูมากแล้ว พื้นที่ภายในกรวยหูฟังยังมีพื้นที่มากทำให้ต้องใช้พลังมากในการขับครับ
ความคิดเห็นที่ : 41

SummerSun

13/04/2008 15:47:24
นั่นสิ อยู่ข้างหูแท้ๆ แต่ไม่เคยพิจารณา ฟังลูกเดียวเลยผม :166:
ขอบคุณครับ
ความคิดเห็นที่ : 42

jang

30/05/2009 22:10:19
ช่วยหาสูตรไฟฟ้ากำลังได้ไหม
บวก ลบ คูณ หาร
ช่วยหาสูตรให้หน่อยได้ป่าวงะ
ต้องการคำตอบ
ความคิดเห็นที่ : 43

นพ.ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

31/05/2009 19:06:48
ถึงคุณนพพงษ์(ขออภัยถ้าสะกดผิดครับ) ผมไม่มีความรู้เรื่องอีเลคโทรนิคส์เลย แต่สงสัยนิดนึงว่า สมัยก่อนค่า R ที่เป็น Ohm นี่ เขาเรียกกว่า Resistance ไม่ใช่เหรอครับ ผมเข้าใจว่าการใช้คำว่า Impedance ที่มีค่าเป็น Ohm เหมือนกันนี่จะเป็นเฉพาะเรื่องเสียงในหูเสียอีก เพราะในทางการแพทย์หู เราวัดค่าความต้านทานของแก้วหูมีหน่วยเป็นมิลลิเมตรของน้ำนะ ครับถ้าผมจำไม่ผิด (อาจผิดเพราะไม่ได้ทบทวนนานแล้วครับ)
ความคิดเห็นที่ : 44

ohm

31/05/2009 19:31:22

Resistance คือความต้านทานของ R มีหน่วยเป็นโอห์มครับ (Ohm)

Impedance เป็นความต้านทานเสมือนครับ ขึ้นอยู่กับความถี่ มีหน่วยเป็นโอห์มเช่นเดียวกัน
ความคิดเห็นที่ : 45

Ken21th

31/05/2009 20:30:40
0
ผมมีสายเพิ่มโอมของ Shure ที่แถมมากับหูฟัง ถ้าผมเอามาใช้กับ inear กับ earbud
แล้วขับด้วยแอมป์ แล้วเสียงมันจะดีขึ้นไหมครับ?
ความคิดเห็นที่ : 46

ชานะ

14/09/2009 21:14:49
ได้ความรู้มากๆเลยคับ

ที่นี้ถึงเข้าใจว่าทำไมหูฟังราคาถูกบางอันฟังแล้วเพราะกว่าราคาแพง

แต่จิงๆ แล้วถ้า Ohm สูงๆ แล้วรับ แรงดันเสียงที่สูงแล้วผมว่าน่าจะได้ sound จาก

แหล่งกำเนิดได้ครบถ้วนและมีมิติดีนะคับ

อยากมีวาสนาได้ฟังแบบนั้นบ้างจัง

พอดีเรียนไฟฟ้าเลยพอเข้าใจบ้างอ่ะคับ

แต่ผมชอบเรื่องเสียงมานานละ ได้ความรู้เพิ่มดีชอบๆ แล้วจะแวะมาดูอีกคับ
ความคิดเห็นที่ : 47

chayatorn

10/12/2009 10:07:36
เออขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ คือถ้าเกิดซื้อหูฟัง MP3 มามันมีค่า impedance = 16 Ohm 50 mW อย่างนี้ถือว่าเยอะหรือยังครับ พอดีผมเอามาต่อมือถือแล้วรู้สึกว่าพอเปิด Vol.สุดๆแล้วเสียงมันจะดีกว่าเปิดไว้ครึ่งเดียว(เกียวกันมั้ยไม่ทราบเหมือนกันพอดีไม่ค่อยรู้อะไรมากอะครับ)
ความคิดเห็นที่ : 48

FLAC-phile

02/01/2010 12:55:17
ผมมาช่วยอธิบายแล้วกัน เห็นมีคนงงกันเยอะ
ลำโพงแบบ dynamic เสียงเกิดจากดอกลำโพงขยับ ดอกลำโพงขยับเกิดจากการผลักกันของแม่เหล็กถาวรและแม่เหล็กไฟฟ้า แม่เหล็กไฟฟ้าขยับตามสัญญาณที่ส่งมา

สรุป ลำโพงเสียงดี = สัญญานมายังไงปล่อยออกมาครบ = สนามแม่เหล็กมาก (เพราะถ้าน้อยจะไปผลักดอกลำโพงไม่ไหว) จริงๆเสียงดีมันก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยอย่างที่คุณ nopphong บอกเช่น วัสดุของดอกลำโพง ฯลฯ

อยากให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้ามาก ต้องพันคอยด์ที่จำนวน n รอบ ยิ่ง n มาก สนามแม่เหล็กก็ยิ่งมาก แต่ปัญหาที่เกิดตามมาคือยิ่ง n มาก ก็ต้องใช้ลวดมาก ความต้านทานก็มาก กระแสก็จะไหลเข้าไปได้น้อย ซึ่งเราไม่ต้องการ นักพัฒนาจึงคิดวิธีแก้ปัญหาได้ดังนี้
- ใช้ลวดที่พันแบบเทพ คือ หน้าตัดใหญ่ , OFC(ลวดที่ไม่มีส่วนประกอบของ oxygen ซึ่งจะไปขัดขวางการนำไฟฟ้า , ใช้ลวดเงินพัน)
- ใช้แม่เหล็กถาวรเทพ
- ใช้ amp เทพ ที่สามารถขับลำโพงที่มี ความต้านทานสูงๆได้

สรุป สนามแม่เหล้กมาก > พันรอบมาก > ความต้านทานมาก จึงมีคนสรุปว่า หูฟังที่มีความต้านทานมากเสียงจะดี ซึ่งถูกเพียงครึ่งเดียว ต้องบอกว่าหูฟังที่มีความต้านทานมาก เสียงจะดีถ้ามี amp ที่ขับได้ และ ความต้านทานที่มากนั้นเกิดจากการพัน n รอบที่มาก ไม่ใช่จากใส่สายเพิ่มความต้านทานที่มีขายกัน

สรุปสุดท้านสำหรับคนขี้เกียจอ่าน
- คนที่มีหูฟังความต้านทานมาก อยากให้เสียงดี ก็ไปหา amp ที่ขับได้หมด
- คนที่มีหูฟังความต้านทานน้อย อยากให้เสียงดี ก็ต้องไปเปลี่ยนแม่เหล็กถาวรให้ดีขึ้น(ก็คือซื้อหูฟังใหม่นั่นแหละ)
- สายเพิ่มความต้านทานไม่มีประโยชน์ อย่าไปซื้อมาใช้


ความคิดเห็นที่ : 49

nopphong

02/01/2010 14:18:43
4
สรุปได้ดีครับ
แต่สายเพิ่มโอมห์ จะว่าไม่มีประโยชน์เลยคงไม่ใช่ครับ สายเพิ่มโอมห์เหมาะสำหรับท่านที่มีแอมป์ หรือมีเครื่องเล่นที่กำลังดีมาก
ทีนี้ถ้าเอาหูที่โอมห์ต่ำความไวสูงใส่ไป มันจะทำงานไม่เต็มที่เพราะนิดเดียวก็ดังแล้ว ก็เลยต้องใช้สายเพิ่มโอมห์ตัวนี้เข้ามา ทีนี้ตัวความต้านทานและชนิดของสายที่ใช้ก็จะมีผลกับเสียง บางคนได้ฟังตรงนี้แล้วชอบก็เลยใช้ตลอดก็มีครับ
ความคิดเห็นที่ : 50

FLAC-phile

02/01/2010 16:07:57
งั้นเพิ่มเติมให้ สายเพิ่มโอมห้์ จะมีประโยชน์เมื่อท่านมี amp ที่มีกำลังดี (มักเป็น amp ราคาแพง ) แต่ดันอยากใช้กับหูฟังที่มีโอมห์น้อย (มันเป็นหูฟังที่ราคาถูก)
ความคิดเห็นที่ : 51

s-k-8-e-r

18/10/2010 23:58:17
64 โอม ใช้ Ipod VDO ขับ ออกมาหมดไม๊ครับ เสียงจะมาเต็มไม๊ รึว่าต้องหาแอมป์ มาเสริม
ความคิดเห็นที่ : 52

mhxymcl

20/10/2010 22:28:27
0
Dissemination of how to make your hair a healthy atmosphere, GHD Australia professional specifically for your use hair straightener,ghd Straightener,ghd hair and ghd Hair Straightener to help you repair your hair,In addition the company in New Zealand GHD NZ also provide the same products ghd hair,ghd Straighteners and hair straighteners,We guarantee that our ghd Hair Straighteners good quality and cheap price.By the way,have you heard golf for sale,discount golf clubs,golf clubs for sale and ladies golf club?yes,our business partners callaway golf clubs offer price reduction is being,While the focus we recommend that you look more out of exercise to maintain a healthy body, ping golf clubs is a perfect sport, if you need any left handed golf clubs,taylor made golf clubs and golf club drivers,weclome to our discount golf store to buy what you need like Golf Balls.
Our company also offers the following services like Golf Equipment,TaylorMade Golf,Golf Irons,Callaway Golf,Golf Fairway Woods and Hybrid Golf Clubs,If you like Titleist Golf or Golf Wedges,please check our Golf Putters web,You can enjoy the best prices of Mizuno Golf,Golf Bags,Ping Golf,Golf Set,We sincerely recommend that you use these products, after years of marketing experience we guarantee that you will be wise choice,It includes:Taylor made irons,Callaway clubs,golf for sale,wholesale golf,golf for wholesale and golf for discount,Callaway club,edit by 英文seo,Other movie Web:动漫网站
ความคิดเห็นที่ : 53

replicawatches

21/10/2010 07:51:51
0
Buy replica handbags and designer handbags of clothing with color designer replica handbags - noble, elegant, mysterious, sexy, charm can be used with the color of clothes: white, gray, meters, blue Second, white bally bags - cool and bright, peaceful, and clean clothes can be used with the color - all colors can be matched with uniform 3, gray miu miu replica - Mature neutral color with any color 4, coffee and beige replica coach handbags - mature, sophisticated, quiet (cold rice, warm rice) can match the color of clothing - the basic color (black, white, gray, blue) 5, blue chloe handbags - the mysterious deep + quiet, cool, rational and deep to match the color of clothing - the basic colors of white and black (dior bags, shoes) 6, the depth of blue cartier handbags - yellow, red 7, red burberry replica handbags - passion and romance, sexy can be used with the color of clothes - black, white, yellow, blue, green 8, green replica prada handbags - natural color, cool, life can be with clothes and colors: the most suitable black, white and various shades of green, and yellow with close complementary red (preferably not solid) 9, pink coach handbags - unique colors can be used with female clothing colors - white, black, shades of pink - pink 10, purple dior handbags - elegant color, women like it, but it is difficult to match the color of the clothes with the color - the same color different shades of purple; black, white, yellow, gray 11, orange and yellow louis vuitton replica handbags - passion and vibrant color to match clothing colors - orange, yellow colors between; with the basic color, white, black, green, all blue clothing patterns. d&g handbags For gucci replica handbags women, in the end matter? Well! Most of the female friends may have had experience: unless it is to head for the corner shop, or just do not go out with valentino replica, there will be a strange sense of insecurity. fendi handbags is not only chanel replica used to store, protect those who got to take out the things shape the overall taste is a pointer. Vintage gown can be worn when the jacket can also be worn as skirts, retro, beautiful dress, with white mini-shoulder valentino handbags is most sensible to set off the whole dress, fresh, elegant of style. Once heard a famous clothing store manager said that he determine whether the potential purchasing power of customers, it does not look at the clothes she wore, but the observation women hermes handbags of her replica burberry handbags. He believes that the selection, far better than the difficulty with marc jacobs replica dress, a woman's taste and how often you can see from the cheap burberry handbags to know the micro. In the summer, concise, clear that the United States, TEE, 7 pants, with white shoulder mulberry bags, a black T-heeled sandals, blue-black color, with cool colors for the hot summer to join an indispensable coolness. Classic black and white dress, the time will have a monotone, then select a large dolce and gabbana handbags of portable light blue, yellow T-type sandals, black and white dress, increase color and vitality. White, simple, portable, shoulder bag is an essential element of the summer, fresh, wild in the bag, and Jimmy Choo 2956 with the color of the sandals, with no clothes, even tough in the pants, are very suitable. Mix of black and white color, with distinctive waist decorations on Leopard, with a black handbag, black T-type sandals, fresh, modern dress, walking in the street, entitled to a full second glance. I believe you will be a perfect woman.
ความคิดเห็นที่ : 54

server

21/05/2011 23:59:49
กระทู้ดีๆควรค่าในการขุดขึ้นมาอีกครั้งข้ามปี
ความคิดเห็นที่ : 55

server

22/05/2011 00:05:50
0
ขอบคุณความรู้ดีๆจากพี่ต่อและพี่นพพงษ์และทุกท่านมากครับ พอดีว่าพึ่งหันมาสนใจ fullsize กับเขา เลยเจอปัญหาที่เข้าข่ายคือ เอ๊ะทำไมหูถูกๆสะกิดโวลุ่มเบาๆก็เคลิ้ม แต่หูแพงๆ/fullsizeเร่งขี้แตกเสียงแค่แมวกระซิบ (ถึงบางอ้อแม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องทฤษฎี)
ความคิดเห็นที่ : 56

หนูน้อย

27/08/2011 16:30:57
ขอบคุณความรู้ดีจากทุกๆท่าน ... รู้สึกโล่งในเรื่องของ Impedance แต่ก็ยังมีเรื่องเกี่ยวกับ Frequency และเรื่องของ Sensitivity ที่อยากให้ทุกท่านอธิบายให้ฟังด้วยค่ะ... เพราะเห็นมีบอกอยู่ที่แพ็คกิ้งของหูฟังด้วย...
...ปัจจุบัน เราฟังเพลงจากเครื่องเล่น mp3 หรือจากโทรศัพท์ แล้วเครื่องเหล่านี้เค้ามีกำลังขับแค่ไหนกัน...เชียว.. แล้วจะไปดูที่ไหน..ขอไปรื้อคู่มือก่อนว่ามีบอกมั้ย
ความคิดเห็นที่ : 57

Mapgap

27/08/2011 20:03:36
0
บอกตรง ๆ ครับ บางอันอาจเป็นเรื่องทางเทคนิก ที่ตัวผมก็อ่านไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ขอบอกว่าชอบกระทู้นี้มากครับ

และเหมือนที่คุณ หนูน้อยถาม ว่าแล้ว Sensitivity มันก็น่าจะเกี่ยวหรือเปล่าครับ ขอสอบถามท่านดังนี้ครับ

หากผมมีเพลเยอร์ เป็น iPod gen4 b/w ถามแบบคนใช้งานทั่วไปครับ ถ้าเราต่อหูฟังโดยไม่ใช้ แอมป์

หูฟังนั้นก็ต้องมีค่าโอมต่ำ ถึงจะสอดคล้องกับที่ท่านได้กล่าวไป ทีนี้ iPod gen4 b/w ท่านพอจะบอกได้ไหมครับ

ว่าค่า โอมที่เหมาะสมสุดคือประมาณเท่าไหร แล้ว Sensitivity ที่เหมาะสมละครับ
ความคิดเห็นที่ : 58

Mapgap

27/08/2011 20:12:45
0
Speaker Details

อย่างหูฟัง JH5 Pro

มีข้อมูล แบบนี้ ค่าโอมห์ต่ำดังนั้นการใช้แอมป์ ก็ไม่ได้หมายว่าจะเสียงดีขึ้น ?

อย่างที่หลายคนบอกถ้าใช้แอมป์ก็ไปได้อีก

Proprietary precision-balanced armatures
Single low, single high
Noise Isolation: -26dB
Input Connector: 1/8" (3.5mm), gold-plated
Sound Quality

Frequency Response: 20Hz to 17kHz
Input Sensitivity: 119dB @ 1mW
Impedance: 21 Ohms
Color option
ความคิดเห็นที่ : 59

eeman2

27/08/2011 21:18:57
0
แหะๆๆ เพิ่งมาเจอครับ ยาวดีเพราะมาช้าไปสามปี ขอไปจิบสาเกก่อน เดี๋ยวมานั่งอ่านมั่งดีกั่ว
ความคิดเห็นที่ : 60

cal2ibsy

31/08/2011 21:17:26
โอวว อ่านเพลินเลยครับ ถึงว่าเครื่องเสียงมีแพงมากๆ เขาคงออกแบบมาให้แมชกันที่สุดแล้วล่ะ

แล้วหูฟังGradoนี่ 32โอมห์ทุกตัวเลยหรอครับ สเปกเขียน32ทุกอันเลย หรือบักจอร์นแกขี้เกียจวัดใหม่หว่า (แต่ที่อ่านเห็นว่าเป็น24โอมห์)
ความคิดเห็นที่ : 61

23/02/2012 11:20:35
ความคิดเห็นที่ : 62

YUKI. N>

14/04/2012 23:13:38
Skullcandy Hesh ใช้กับ iphone ipod ได้ไหมครับ
ความคิดเห็นที่ : 63

oname2

14/04/2012 23:20:54
3
^
^
Impedance 16 ohms
Sensitivity 100dB at 1kHz +/-3dB

ผมว่าใช้ใด้แน่ๆครับผม
ความคิดเห็นที่ : 64

เด็กแป๊ะ

29/10/2014 00:51:22
ขุดครับ ความรู้เน้นๆ
กลับมาอ่านทีไร นึกถึงบรรยากาศเว็บมั่นคงสมัยก่อน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
"ความรู้เรื่อง impedanceมีผลกับคุณภาพเสียงแค่ไหน"