Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

สอบถามคับCD RIP เป็น FLACหรือ WAVดีคับ

feaw

22/07/2015 15:53:16
1
มือใหม่อยากทราบ CD RIP เป็น FLAC หรือ WAV คุณภาพเสียงดีกว่ากันคับ
แล้วควรตั้งค่าทีเท่าไรคับ 16bit 24bit 32bit
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

Theeranai

22/07/2015 16:20:15
28
ข้อดี WAV
1.เสียงดีกว่าในทางทฎษฎี แต่ความละเอียดมันใกล้กันจนแยกไม่ยากมากฮะ
2.หาโปรแกรมเล่นง่ายกว่า

ข้อดี Flac
1. ไฟล์เล็กกว่านิดนึง
2. ใส่รูปปกศิลปินได้

แนะนำ Flac มากกว่าฮะ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

ellevoid

22/07/2015 16:20:24
220
wav 16bit ครับ เพราะ cd มันมาเป็น 16bit
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

รบกวน

22/07/2015 16:31:20
ขอรบกวน ขอโปรมแกรมแตกไฟล์ ISO เป็น DSD หน่อยครับ

พร้อมวิธีการทำ จะขอบพระคุณอย่างสูงครับผม
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

feaw

22/07/2015 20:31:13
1
ขอบคุณคับ CD RIP ได้แค่16bitใช่ไมคับ
ผมใช้โปรแกรม NCH SoftwareSwitch RIP
มันให้เลือก 48000/64000/88000/96000 ควรเลือกอันไหนคับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

tussils

22/07/2015 20:32:26
13
แนะนำโปรแกรม db poweramp

แล้ว rip เป็น wave uncompressed ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

เอกเรื่องมาก

22/07/2015 23:30:42
23
ผมดูการบันทึกเป็นหลัก ถ้าบันทึกมาดีดี เป็น WAV เลยครับ ถ้าบันทึกมากลางๆ ก็ FLAC แต่ถ้าบันทึกมาไม่ค่อยดีถึงแย่ MP3 192-320 พอล่ะครับ บันทึกมาแย่ๆ mp3 192 ฟังยังไม่ค่อยต่างจากฟังแผ่นเลยครับ 55555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

หมูหวาน

22/07/2015 23:31:09
573
CD Audio มาตรฐานมันเป็น 16bit/44.1kHz ครับ
การ Rip CD เพลงแล้วได้ค่า Sampling Rate อื่นๆ เป็นการอัพ Sampling ซึ่งการฟังเพลงแบบ Digital
ไม่แนะนำให้เล่นกันนะครับ ควรจะเล่นไฟล์ขนาดตามต้นฉบับจะดีที่สุดจ้าา
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

หมูหวาน

22/07/2015 23:32:44
573
หลังๆนี่ผมเล่น WAV อย่างเดียวเลยครับ เพราะว่าเครื่องเล่นทุกเครื่อง หรือทุกโปรแกรม สามารถเล่นไฟล์ WAV ได้หมด
แถมช่วยลดขึ้นตอนในการถิดรหัสเสียงตอนที่เรา Playback ด้วยจ้าา
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

หมูหวาน

22/07/2015 23:35:21
573
ปกติผมใช้โปรแกรมของ Sonore Rip DSD ISO ครับ แต่ตอนนี้โหลดโปรแกรมไม่ได้อ่ะ
http://www.rendu.sonore.us/apps2.html
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

SirisexnewTA

22/07/2015 23:40:52
387
แล้วไฟล์ที่ฟังจากยูทูปนี่กี่ bit/kHz ครับพี่หมูหวาน เพราะผมฟังแล้วเสียงไม่ต่างจากซีดีเลยครับ (ในยูทูปที่ official นะครับ) แล้วผมก็เคยไปถามศิลปินมาว่าทำไมในยูทูปกับในแผ่นเสียงไม่ต่างกันเลย เขาบอกกลับมาว่า ในยูทูปก็ใช้ไฟล์ wav ใส่เป็น วิดีโอเหมือนกัน เสียงเลยไม่ต่าง เอ๋ แล้วแบบนี้ผมก็ฟังในยูทูปไม่ต้องซื้อแผ่นแล้วสิ ช่วยตอบปัญหาคาใจหน่อยครับผม
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 11

หมูหวาน

23/07/2015 00:20:48
573
ไฟล์ใน Youtube มันขึ้นอยู่กับคนที่เอาเพลงไปใส่ด้วยครับ คือถ้าต้นฉบับเพลงดี เอาไปใส่ Youtube ยังไงเสียงก็ออกมาดีอ่ะ
ปัจจบันนี้ไฟล์ใน Youtube ถ้าคลิกเล่นแบบ HD เสียงที่ออกมาจะเป็น Hi-Res ด้วยครับ
จำได้ว่า 24bit/96kHz จ้าา
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

tigk

23/07/2015 01:23:58
0
ดีนะครับ ได้มาอ่านกระทู้นี้ ผมใช้แต่ itune rip เป็น aiff 16 bit มาตลอดเลยครับ 555

ขอบคุณครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

nan79

23/07/2015 13:35:02
2
HQ 1080p เสียงจะเป็น acc 384 นะคะ ไม่แน่ใจว่าเปลี่ยนนโยบายหรือยัง แต่เที่ที่เคยทำมา (เป็นอัพ) วิดิิโอที่ใส่เเสียงต้นฉบับจะเสียงดีกว่าที่มีการตัดต่อ re-processing ค่ะ แม้จะเสียงเดียวกัน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 14

feaw

23/07/2015 14:19:17
1
ขอบคุณมากๆคับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 15

Ace of Hearts

23/07/2015 14:21:27
6
ตามมาตรฐานแล้ว rip cd audio เป็น wav จะไม่มีการบีบอัดใด ๆ uncompressed
flac จะยังมีการตัดข้อมูลออกบ้างครับ แต่เป็น lossless compressed
สังเกตได้จาก rip จาก เพลงเดียวกัน แผ่นเดียวกัน wav จะขนาดไฟล์ใหญ่กว่าพอสมควร แต่เสียงต่างกันไหม แค่ไหน ต้องลองฟังดูครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 16

dewringmaster1997

23/07/2015 18:16:29
2
16bit/44.1kHz
ผมว่าเอาที่สะดวกตัวเองดีกว่าครับ อย่าไปคิดมากเลยครับ
rip เอาจริงปัจจัยเยอะ
เครื่องริป ต่างก้ไม่เหมือน โปรแกรมแนะนำไปใช่ EAC(เซ็ตค่าให้ถูกก่อนนะครับ)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 17

Anon

23/07/2015 19:31:27
FLAC มีการตัดข้อมูลออกด้วย นี่เอาข้อมูลมาจากไหนครับ คือไม่เคยได้ยินจริงๆ

หลักการของ flac คือ การสร้างไฟล์ชนิด lossless ซึ่งแปลว่าไม่มีการสูญเสีย (อย่าสับสนกับ lossy) ซึ่งขนาดของไฟล์ flac ที่เล็กลงนั้น ไม่ได้เแปลว่าข้อมูลมีการตัดทิ้งหรือตกหล่นไปแต่อย่างใด


ง่ายๆนึกถึงไฟล์ Zip ครับ

Original file -> compress algorithm -> zipped file -> unzip algorithm -> original file
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 18

cement

23/07/2015 21:37:49
10
สนับสนุน คห 17 losslessแปลว่าไม่สูญเสีย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 19

hydeless

23/07/2015 21:53:49
1
Flac ไม่ตัดครับแค่ยุบบิทซ้ำ Codec ตัวล่าสุด 1.31 ทำงานดีมาก ผมเลยไม่เก็บ wav
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 20

Wichit

23/07/2015 22:10:09
+1 คห17 ครับ ตามนั้นโลด ผมเลิกเก็บ wav ไปพักใหญ่แล้ว เปลืองเนื้อที่ครับ

MP3 ===> Lossy
Wav, Flac, AIFF ===> Lossless
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 21

Ace of Hearts

24/07/2015 00:13:39
6
There are three major groups of audio file formats:

Uncompressed audio formats, such as WAV, AIFF, AU or raw header-less PCM;
Formats with lossless compression, such as FLAC, Monkey's Audio (filename extension .ape), WavPack (filename extension .wv), TTA, ATRAC Advanced Lossless, ALAC (filename extension .m4a), MPEG-4 SLS, MPEG-4 ALS, MPEG-4 DST, Windows Media Audio Lossless (WMA Lossless), and Shorten (SHN).
Formats with lossy compression, such as Opus, MP3, Vorbis, Musepack, AAC, ATRAC and Windows Media Audio Lossy (WMA lossy).
แค่อธิบายความต่างของ wav กะ flac ครับ ตามนิยาม ส่วนตัวฟังทั้งคู่ ไม่ซีเรียสต้องเป็นแบบไหนครับ แต่ wav กะ flac เป็น lossless คนละแบบ ตามนิยามข้างบนจริง ๆ ครับ อิ ๆ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 22

Ace of Hearts

24/07/2015 00:17:46
6
ผมก็ฟังความต่างไม่ออก ว่าอันไหนเป็นแบบไหน ถ้าไม่ดูชนิดไฟล์ ไม่บีบอัดเลยแบบ wav กะ บีบอัดแบบไม่สูญเสีย อย่าง flac ขอถอนคำว่า ตัดออกครับ คริ ๆ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 23

yamano

24/07/2015 00:26:14
สำหรับผม!!!!! เท่าที่ลองด้วยตัวเอง ไม่ได้ฟังจากคนอื่นนะครับ

ไฟล์ WAV กับ ไฟล์ Flac ยังไงก็มีความต่างกันพอสมควรครับ
เพราะในความเป็นจริง การโดนบีบอัดมากกว่า ยอมด้อยคุณภาพกว่าแน่นอนครับ

เปรียบเหมือนคุณมีเงินร้อยหนึ่ง ฉีกออกไปครึ่งหนึ่ง คุณคิดว่า เงินร้อยหนึ่งที่โดนฉีก
กับที่เต็มๆใบ จะมีค่าเท่ากัน ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน

ถ้าใน CD แผ่นเดียวกัน โปรมแกรมริป เดียวกัน เครื่องริปเดียว คนริปคนเดียวกัน
ต่างกันล้าน% ครับผม แค่มี DAC หรือ DAP ราคาระดับกลางก็ฟังออกแล้วจ้าาาา
ต้อง+ประสลการณ์ทางรูหูเข้าไปด้วยน้าาา

คุณภาพไฟล์ ค่อนข้างเรียบแบน มิติน้อย เวทีเสียงไม่โปรง มีพื้นที่น้อย กว่า WAVครับ
แม้แต่ WAV เอง ที่ใครๆบอกว่า ใกล้เคียงกับ CD ที่สุด ก็ยังให้คุณภาพเสียงที่ต่างกัน
แต่ส่วน WAV กับ Aiff นี้ผมฟังไม่ออกจริงว่าต่างกันตรงไหน

ส่วนใครจะชอบไฟล์ไหน นั้นเป็นเหตุผลส่วนตัวจ้าาา
ส่วนผมชอบไฟล์ Aiff มากที่สุด ไม่ได้หมายความว่าดีกว่าไฟล์อื่น แต่ผมชอบที่มันขึ้นปกเลย
ไม่เหมือน WAV ผมริปที่ไรไม่มีปกทุกที

แม้แต่ CD ของนักร้องคนเดียวกัน เพลงเหมือนๆกัน แต่ใช้คนละระบบ ก็ต่างกันจ้าาาาาา
(เดียวลงรูปให้ดู) ฟังออกยังไง ลำโพงดีๆหน่อยครับ ฟังออกง่ายที่สุด
CD ที่เค้าเขียนหน้าปกว่า SUPER AUDIO CD,/ 2 HD / DSD / กับแผ่น CD ธรรมดาๆ
มันก็ต่างกันครับ แผ่นญี่ปุ่น แผ่นเยอรมัน แผ่นUSA (อัลบั้มเดียวกัน) มันก็ต่างกัน

ต่างในที่นี้ หมายถึงคุณภาพเสียงมันต่างกัน ส่วนใครจะชอบแบบไหนก็ว่ากันไป

แต่ที่สำคัญที่สุด คุณภาพจะออกมาดีมากดีน้อย คือ การบันทีกเสียงในห้องอัดครับ

แต่ที่สำคัญอีกอย่างคือ การตั้งกระทู้ คุยเรื่อง ไฟล์ที่ริป ไฟล์อื่นๆฯลฯ มีมาทุกเดือนๆ555
แล้วก็จะมีกลุ่มหนึ่งว่า ต่าง อีกกลุ่ม ว่า ไม่ต่าง จั๊งซี้ จั๊งซี้ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 24

Ace of Hearts

24/07/2015 00:30:13
6
ทุกวันนี้ก็ happy กะ tidal ซึ่งน่าจะเป็นฟอร์แมทบีบอัด แบบ lossless กลุ่มเดียวกะ flac แหละครับ
สเป็คส์อะไรพวกนี้ มันก็ไปตามมาตรฐานฟอร์แมทข้อมูลเค้า อย่าไปกังวลเลย ให้พวกนักโปรแกรมเมอร์เค้าคิดไป เราฟังชอบอันไหนก็ฟังอันนั้นแหละครับ ฟังเพลงให้เพราะดีกว่า 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 25

Ace of Hearts

24/07/2015 01:02:04
6
คุณ yamano ก็แหม เรื่องความชอบก็แล้วแต่ละคนครับ ว่ากันไม่ได้ ไม่รู้จะถกเถียงกันไปทำไม 555 ถกไปก็ไม่จบ คริ ๆ
แต่เรื่องความแตกต่างของ มาตรฐาน format มันไม่ต้องเถียงกันเลย มันเป็นมาตรฐานทางวิศวกรรมซอฟท์แวร์ ตามที่ยกมาจาก Wikipedia อ่ะครับ ใครจะเขียน app ริบ cd เป็น format ไหนมันก็ต้องยึด โปรโตคอล ตามมาตรฐาน ไม่งั้น DAP มันไม่อ่าน ครับ อิ ๆ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 26

Reizei_Mako

24/07/2015 08:26:29
23
มือใหม่อยากทราบ CD RIP เป็น FLAC หรือ WAV คุณภาพเสียงดีกว่ากันคับ

- ตามทฤษฎีน่าจะได้คุณภาพเสียงเท่ากันครับ แต่บางคนก็เชื่อว่ากระบวนการคลายการบีบอัดไฟล์ Flac จะทำให้คุณภาพเสียงด้อยกว่าไฟล์ WAV เล็กน้อย ซึ่งถ้าท่านแยกแยะความแตกต่างระหว่างไฟล์ 2 แบบนี้ไม่ออก แนะนำว่า RIP เป็น FLAC ดีกว่าครับ ไฟล์เล็กกว่า จัดการ Tag ง่ายกว่า
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 27

Ace of Hearts

24/07/2015 09:26:00
6
ถั่วต้ม ครับ อย่าให้ความเป็น wav รึ flac มาทำลายอรรถรสในการฟังเพลงของเรา 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 28

Withaya

24/07/2015 09:50:53
การบีบอัดไม่ได้ทำให้เกิดการสูญเสียข้อมูลนะครับ

ทราบหรือไม่ว่าตั้งแต่วินาทีที่ท่านตื่นนอนขึ้นมา การบีบอัดข้อมูลอยู่รอบตัวท่านมาโดยตลอดจนถึงเวลาที่ท่านเข้านอน หรือนับตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดจนถึงปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน เช่นการรับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องของท่านและserverเป็นต้น หากเป็นการ compress แบบlossless นั้นไม่มีการสูญเสียหรือตัดทอน มิฉะนั้นมันกลายเป็นว่าเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ปัจจุบันนั้นไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด

Compress = บีบอัด
Uncompressed = ไม่บีบอัด
Lossless = ไม่สูญเสีย
Lossy = มีการสูญเสียหรือตัดทอนข้อมูลบางส่วน

Lossless compress ก็คือการบีบอัดที่ไม่มีการสูญเสีย
Lossy compress ก็คือการบีบอัดทีมีการสูญเสียหรือตัดทอน ลดทอน

ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เพลง ภาพ ข้อมูลเสียง เอกสาร รูป ในโลกของดิจิตอลมันคือ bit 0 กับ 1 การ compress พื้นฐานคือการมองหา bit ซ้ำๆ เพื่อไปสร้างใหม่ที่ปลายทาง

ไฟล์ word ผ่านโปรแกรม winzip ได้ไฟล์ zip จากนั้น ลองเอาไฟล์ zip ตัวนี้มา unzip ก็จะได้ไฟล์word อีกไฟล์ ท่านว่าไฟล์ word ไฟล์แรกและไฟล์ที่สองเหมือนกันหรือไม่? ลองทดลองดูครับ

Lossless compress เช่น Flac ก็ใช้หลักการแบบเดียวกัน

อย่างไรก็ตามเรื่องเครื่องเสียงสุดท้ายยังไงก็ต้องพิสูจน์ด้วยการฟังมิใช่เพียงแต่ทางทฤษฎีหรูๆ หากท่านฟังเพลงเดียวกัน แปลงจาก Wav ไปเป็น Flac แต่กลับรู้สึกว่าต่างกัน นั่นคือ

(1) rip อย่างไร ตั้งค่าการ convert แบบไหน และ
(2) เครื่องเล่น -ตั้งค่าอะไรยังไง engine หรือ firmware โอเคไหม แล้ว cpu ของเครื่องเล่นแข็งแรงพอหรือไม่

อย่างไรก็ตามท่านใดที่ยังเชื่อว่า lossless compress ทำให้เกิดการสูญเสียข้อมูลจริงๆ ผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมทางช่องทางอิเล็คทรอนิกส์ รวมทั้งการรับส่ง email สำคัญ เพราะในโครงข่ายข้อมูลยังไงก็จะเจอกับ lossless compress แน่นอน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 29

ellevoid

24/07/2015 10:01:20
220
บีบอัดไม่เสีย แต่ตอนที่เอาไปเปิดโปรแกรมมันต้องแปลงมี overhead ในการแปลงอีกที ส่วนฟังออกหรือไม่เป็นเรื่องนานาจิตตังครับ จริงๆ ถ้าจะเอาสุดๆ มันเริ่มตั้งแต่ตอนจะ rip แล้วครับว่าใช้ cdrom ตัวไหนในการ rip ไม่นับรวมเรื่อง program/setting
หุหุหุ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 30

yooooooong

24/07/2015 10:09:31
0
ไฟล์เสียง


เคยรู้สึกกันมั้ยครับ ทำไมเพลงที่เราฟังกันทั่วไป บางเพลงถึงเสียงดี บางเพลงถึงเสียงไม่ดี…..
ความจริงแล้วเพลงที่เราใช้ฟังกันโดยทั่วไป เสียงจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับ ยกตัวอย่างเช่น ลำโพงหรือหูฟังที่เราใช้อยู่ สามารถตอบสนองย่านความถี่ได้มากน้อยขนาดไหน หรืออาจเป็นต้นกำเนิดเสียงที่อาจไม่ดี หรือมีคุณภาพเสียงต่ำมาตั้งแต่แรก ซึ่งแน่นอนว่าเพลงที่เราใช้ฟังกันในปัจจุบันส่วนใหญ่จะถูกจัดเก็บในรูปแบบของไฟล์ และนั่นเป็นสิ่งที่เราจะนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ครับ

ในโลกใบนี้มี “ไฟล์เสียง” มากมายหลายรูปแบบ มีสถานะการจัดเก็บอยู่ในรูปแบบของไฟล์ ไฟล์บางชนิดก็ให้เสียงที่มีคุณภาพดี ย่านความถี่ครบเหมือนกับเสียงที่ถูกบันทึกเข้ามาเลย ซึ่งธรรมชาติของไฟล์แบบนี้ จะมีขนาดใหญ่กว่าไฟล์ที่ถูกบีบอัดมาแล้ว ซึ่งการบีบอัดเสียงนี้ก็มีอยู่ 2 ประเภท เราลองไปดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง



การบีบอัดเสียง มี 2 ประเภท คือ Lossless กับ Lossy

1. Lossy Audio

ไฟล์ประเภทนี้ คือไฟล์ที่ถูกลดบั่นทอนคุณภาพลงมา เพื่อแลกกับขนาดไฟล์ที่เล็กลง (เหมือน Winzip) นามสกุลที่เรามักได้เจอกันบ่อยๆก็คือ .MP3 แต่ถึงแม้จะบอกว่า .MP3 เหมือนกันแต่ก็มี Bitrate ที่แตกต่างกัน เช่น 93kbps, 126kbps, 198kbps อันนั้นก็คือระดับคุณภาพของไฟล์นั่นเองครับ ยิ่งมีเลขที่เยอะ ก็คุณภาพดีขึ้นตามไปด้วย แต่ก็แลกมาด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้นนั่นเอง (สังเกตุง่ายๆพวกแผ่นผี Vampire มักจะยัดเพลงลงได้เยอะๆ เพราะเน้นแต่ Bitrate ต่ำๆนั่นเอง)

ถามว่า Bitrate ที่ต่างกัน มันจะมีผลอย่างไร ตอบได้เลยครับว่าแตกต่างมาก เพราะเพลงที่ Bitrate ต่ำ มันก็เหมือนอัดมาไม่ละเอียด ตอนฟังเราจะรู้สึกเสียงอับๆ ฟังแล้วอึดอัด เสียงแตกๆบ้างก็มีครับ

พูดมาถึงขนาดนี้แล้วหลายๆคนคงจะเกลียด .MP3 กันไปเลย แต่จริงๆแล้วนั้นคุณภาพของไฟล์ MP3 ก็ไม่ได้ขี้เหร่มากนัก เพราะถ้าหาก Rip ไฟลืจาก CD แท้ มาที่ 320kbps นั้นก็ถือว่าคุณภาพใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าหูไม่เทพจริงก็แยกกันไม่ออกหรอกครับ

ปล. มาถึงนี่หลายๆคนคงคิดจะลักไก่เอา โดยการเอาไฟล์ Bitrate ต่ำๆลองมาแปลงเป็น Bitrate สูงๆ อันนี้บอกได้เลยครับว่าเปล่าประโยชน์ เพราะการทำแบบนี้ คุณภาพเสียงที่ได้ก็จะอ้างอิงจากต้นฉบับ Bitrate ต่ำๆเหมือนเดิม แถมขนาดไฟล์ที่ได้ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย

2. Lossless Audio

ไฟล์ประเภท Lossless Audio คือไฟล์ที่ไม่ได้ผ่านการถูกบีบอัด หรือไฟล์ที่ปราศจากการสูญเสีย คุณภาพเสียงจะเท่าเทียมกับพวกแผ่น CD ต้นฉบับที่วางขาย สมมุติ CD แผ่นนึงมีความจุ 500mb ไฟล์ Lossless 1 อัลบั้ม ก็มีขนาด 500mb เกือบเท่า CD 1 แผ่นเลย ไฟล์ชนิดนี้เป็นที่นิยมสำหรับกูรูนักฟังที่ฟังเพลงกันเป็นชีวิตจิตใจครับ

ข้อดีของไฟล์ Lossless นั้นนอกจากจะได้คุณภาพเสียงที่ดีแบบสุดๆแล้ว ยังมีข้อดีที่ Lossy ทำไม่ได้อีกก็คือ การแปลงไฟล์จาก Lossless ไป Lossless นั้นไม่ได้บั่นทอนคุณภาพลดลงไปเลย สำหรับการหาไฟล์ Lossless นั้นก็สามารถ Rip ได้จากแผ่น CD ต้นฉบับโดยตรงเลยครับ ผ่านโปรแกรมต่างๆเช่น iTunes แต่โดยส่วนตัวผมแนะนำโปรแกรม EASY CD-DA Extractor จะดีกว่าครับ

ปล. ขอเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ การแปลงไฟล์จาก MP3 ไปเป็น Lossless นั้นไม่มีประโยชน์นะครับ เพราะเหมือนกับเอาผ้าขาดๆออกมาขยายให้ใหญ่ขึ้น สุดท้ายยังไงมันก็ขาดอยู่ดี เสียงที่ได้ก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิมครับ
ทีนี้เรามาดูกันแบบละเอียดอีกนิดนึงดีกว่าครับ ว่ารูปแบบไฟล์เสียงที่เรานิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีไฟล์ชนิดไหนกันบ้าง

AIFF
ย่อมาจาก Audio Interchange File Format เป็นรูปแบบที่ใช้กันมากกับโปรแกรมบน Mac เพราะ Apple เป็นผู้ริเริ่ม เป็นได้ทั้ง Mono และ Stereo ความละเอียดเริ่มต้นที่ 8 Bit/22kHz ไปจนถึง 24 bit/96kHz และมากกว่านั้น

WAVE
ไฟล์เสียง wave เป็นไฟล์เสียงที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด ไฟล์ประเภทนี้มีนามสกุล .wav จัดเป็นไฟล์เสียงมาตรฐานที่ใช้กับ Windows คุณสมบัติที่สำคัญคือครอบคลุมความถี่เสียงได้ทั้งหมด ทำให้คุณภาพเสียงดีมาก และยังให้เสียงในรูปแบบสเตอริโอได้อีกด้วย ข้อเสียคือไฟล์ .wav มีขนาดใหญ่ทำให้สิ้นเปลืองพื้นที่ในการเก็บข้อมูลมาก

CDA (CD Audio)
ไฟล์ CDA เป็นไฟล์เพลงบนแผ่น CD ที่ใช้กับเครื่องเล่น CD ทั่วไป ไฟล์ประเภทนี้เมื่อนำมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรมสำหรับเล่น CD จะมองเห็นข้อมูลเสียงในรูปของแทร็กเสียง (Audio Tack) แต่ถ้าดูด้วย Windows Explorer จะเห็นเป็นไฟล์มีนามสกุล .cda ไฟล์ CDA มีคุณสมบัติทางเสียงเหมือนกับไฟล์ wave คือให้คุณภาพเสียงที่ดีเป็นธรรมชาติ จึงนิยมใช้บันทึกลงบนแผ่น CD เป็นสื่อดนตรี เรียกทั่วไปว่า “CD เพลง” ถ้าต้องการ copy หรือนำไฟล์ประเภทนี้มาใช้งานกับโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ จะต้องแปลงให้เป็นไฟล์ wave หรือไฟล์ที่โปรแกรมประยุกต์นั้นๆรู้จักเสียก่อนจึงจะใช้ได้ หรืออาจจะใช้โปรแกรมที่สามารถ Extract ไฟล์ Audio CD ออกมาเป็นไฟล์ wave ซึ่งก็มีใช้หลายโปรแกรม เช่น Sound Forge, Ware Lab

FLAC
ไฟล์ FLAC ย่อมาจากคำว่า Free Lossless Audio Codec เป็นฟอร์แมตเพลงชนิดที่เป็นแบบ lossless คือไม่เสียคุณภาพของเพลงไป ได้รับการยอมรับว่าคุณภาพของเสียงที่ได้นั้นอยู่ในขั้น “ไฮ-ไฟ” หรือที่เราคุ้นกับคำว่า “ไฮ-เอ็นด์” ที่สำคัญไฟล์ในรูปแบบนี้ก็ยังเป็น open source ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ใดๆให้ต้องระแวง สามารถหาฟังกันได้แบบฟรีๆ ไฟล์ชนิดนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อลดข้อจำกัดของเพลงในรูปแบบ .wav ที่มีขนาดใหญ่ แต่ไม่สามารถเก็บ Metadata (ข้อมูลต่างๆของไฟล์เพลง) ซึ่งไฟล์ FLAC นั้นคล้ายๆกับการเอา .wav มาทำการ Zip ไฟล์ให้มีขนาดเล็กลง และทำการคลาย Zip ในขณะเล่นเพลงด้วย Codec ที่ฝังอยู่ในโปรแกรมเล่นเพลงต่างๆ โดยไฟล์รูปแแบบ FLAC นี้สามารถลดขนาดจากไฟล์ .wav ลงได้ถึง 50-60% ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บ และยังมีคุณภาพเสียงที่คงเดิมอยู่

MP3
ไฟล์เสียง MP3 เป็นไฟล์เสียงยอดนิยมในปัจุบัน มีนามสกุล .mp3 เป็นไฟล์ที่ถูกบีบอัดข้อมูลทำให้ไฟล์ประเภทนี้มีขนาดเล็กลงมาก ลดลงประมาณ 10 เท่าเมื่อเทียบกับไฟล์ wave คุณภาพเสียง mp3 ค่อนข้างดีจึงนิยมใช้ไฟล์ประเภทนี้บันทึกข้อมูลเพลงลงบนสื่อคอมพิวเตอร์หรือ แผ่น CD การเล่นไฟล์ mp3 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องใช้โปรแกรมโดยเฉพาะซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย นอกจากนี้ยังสามารถเล่นได้กับเครื่องเล่น VCD ,DVD, CD ติดรถยนต์, เครื่องเล่น MP3 แบบพกพา (ใช้หน่วยความจำเฉพาะ เช่น Flash Memory หรือ memory Stick) รวมทั้งโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆอีกด้วย

RealAudio
คนชอบฟังเพลงบน Internet คงรู้จักกันดี ไฟล์ RealAudio จะแสดง Extension เป็น .ra หรือ .rm ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบ RealSystem G2 ไว้สำหรับการเล่น multimedia จาก RealNetworks ซึ่งจะมี Tools ในการเล่น, encode รวมไปถึง tools ในการทำ server ให้ใช้ฟรีๆ ในการส่ง Audio, Video, Animation ผ่านเวป แต่แม้ว่าโปรแกรมดนตรีส่วนใหญ่จะไม่ใช้ RealAudio ในการบันทึก แต่กับบางโปรแกรม เราสามารถเก็บงานของเราเป็น RealAudio เพื่อใช้บนเว็ป ซึ่งแน่นอนว่า RealAudio ก็เป็น Lossy Format เหมือนกับ MP3

OGG
เป็นรูปแบบของไฟล์เสียงใหม่ล่า สุด มีชื่อเต็มคือ Ogg มีนามสกุล .ogg ไฟล์ Ogg Vorbis ใช้เทคโนโลยีการบีบอัดไฟล์แบบใหม่ ทำให้ไฟล์ที่ได้มีขนาดเล็กกว่า MP3 เสียอีก แต่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าและที่สำคัญคืออยู่ในกลุ่มของ Open Source Project ทำให้กลายเป็นฟรีแวร์ อีกทั้งยังมีความสามารถด้าน Streaming ด้วย ทำให้ได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้เล่นอินเตอร์เน็ต ไฟล์ Ogg Vorbis สามารถเล่นได้โดยใช้โปรแกรมสำหรับเล่นไฟล์ MP3 โดยมีข้อแม้ว่าโปรแกรมนั้นจะต้องมี Plug-in สำหรับ Ogg ด้วย Ogg Vorbis นับเป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการไฟล์เสียง เพราะมีขนาดที่เล็กมาก สามารถเข้ารหัสเสียงได้หลายแบบทั้ง mono,stereo จนถึงระบบ 5.1 Surround Sound

MIDI
ไฟล์เสียง MIDI ไฟล์ข้อมูลเสียงดนตรี โดยมีนามสกุล .midi จะบรรจุข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้เสียงดนตรี เมื่อเล่นไฟล์ MIDI ก็จะเป็นการสั่งให้อุปกรณ์นั้นๆให้มีเสียงดนตรีออกมา เมื่อนำมาเรียงกันก็จะกลายเป็นท่วงทำนองดนตรีซึ่งก็คือเสียงเพลงนั่นเอง MIDI มีขนาดของไฟล์ที่เล็กมากทำให้นิยมใช้ในการเก็บข้อมูลที่เป็นเสียงดนตรี ดังจะเห็นได้จากวงดนตรีประเภทเล่นคนเดียว จะใช้ข้อมูลเพลงจากแผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลดนตรีได้เป็น 10 เพลง ใส่เข้าไปในเครื่องสร้างเสียงดนตรี (Sequencer) เพื่อให้สร้างเสียงเพลงตามข้อมูลดนตรีที่อ่านจากแผ่น สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็สามารถเล่นไฟล์ MIDI ได้โดยใช้โปรแกรมประเภท MIDI Player ซึ่งมีให้เลือกใช้มากมาย เสียงเพลงที่ได้จากโปรแกรมคาราโอเกะก็เป็นเสียงที่ได้จากไฟล์ MIDI เช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจึงสามารถนำเสียงเพลงจากโปรแกรมคาราโอเกะมาใช้ได้ แต่ถ้าจะให้สะดวกก็ควรแปลงให้เป็น wave เสียก่อนจะทำให้สามารถนำไปตัดต่อและใช้งานได้ง่ายขึ้น

WMA
ไฟล์ WMA เป็นรูปแบบไฟล์แบบหนึ่งของบริษัทไมโครซอฟต์ ชื่อเต็มคือ Windows Media Audio เป็นไฟล์ทีมีนามสกุลเป็น .wma จัดได้ว่าเป็นคู่แข่งของ mp3 และ Real Audio เพราะมีคุณสมบัติด้านการ Streaming เช่นเดียวกัน แต่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าในขณะที่ขนาดของไฟล์เล็กกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้ใช้เวลาน้อยกว่าในการดาวน์โหลดผ่านอินเตอร์เน็ต เมื่อก่อนการเล่นไฟล์ประเภทนี้ต้องเล่นผ่านโปรแกรม Windows Media Player เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีโปรแกรมหลายโปรแกรมที่สามารถเล่นไฟล์นี้ได้

AAC
ไฟล์ AAC มาจาก Advanced Audio CODEC เป็นรูปแบบไฟล์บีบอัดอีกรูปแบบหนึ่งที่นับวันจะได้รับการยอมรับ และจะเป็นรูปแบบไฟล์แห่งอนาคต โดยมีคุณภาพเสียงที่ดีกว่า MP3 แต่มีขนาดไฟล์ที่เล็กกว่า มี bit-rates ต่ำกว่า

M4A
ไฟล์ M4A เป็นมาตรฐานที่พัฒนามาจาก AAC โดยทางผู้ผลิตคือบริษัท Apple ได้สร้างมาตรฐานนี้ขึ้นมา ให้ใช้กับโปรแกรม iTune โดยมีความสามารถในการบีบอัดได้หลายขนาดและทางบริษัท Apple ต้องการให้ฟอร์แมตนี้ ขึ้นมาแทนที่ฟอร์แมต AAC เดิม โดยนอกจากความสามารถในการบีบอัดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแล้ว m4a ยังมีความสามารถ ในการรองรับ Tagging Standard นั่นคือสามารถเก็บชื่อเพลงและชื่ออัลบั้มได้ ซึ่งความสามารถนี้ในฟอร์แมต AAC ไม่มี

DSD
ไฟล์ DSD นั้นย่อมาจาก Direct Stream Digital เป็นเครื่องหมายการค้าของ Sony และ Philips สำหรับรูปแบบสัญญาณเสียงที่ใช้ใน Super Audio CD สิ่งที่ทำให้ DSD แตกต่างจากสัญญาณเสียงแบบอื่น ๆ ที่เราฟังกันอยู่ทั่วไปคือ DSD จะใช้การเข้ารหัสแบบ PDM หรือ Pulse-density modulation แทนแบบ PCM หรือ Pulse-code modulation ที่เราเคยเจอกัน โดย DSD ตอนนี้จะมี Sampling rate ที่ 2.8 MHz และ 5.6 MHz ซึ่งเชื่อว่าการเข้ารหัสสัญญาณเสียงแบบนี้จะทำให้คงคุณภาพของสัญญาณได้เหมือนดั่งสัญญาณเสียงต้นฉบับเลยทีเดียว
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 31

Smallworld

24/07/2015 11:23:48
หืม ... ใครว่าแยกแยะระหว่าง wave กับ flac ไม่ออก ผมนี่ขอยืนขึ้นเถียงแบบเอาคอพาดเขียงเลยครับ ผมฟังออกนะ 55+ เห็นได้ชัดเลยแหละ (หูผมนะ)
ผมมายืนยันครับ wave ดีที่สุดและเล่นง่ายที่สุดตามคุณหมูหวานเลยครับ เล่นได้ทุกเครื่อง ทุกโปรแกรม
ผมจะแยกประเด็นดังนี้นะครับ จะได้ไม่มีคนมาตั้งคำถามเพิ่มอีก(เผื่อมือใหม่เข้ามาอ่านแล้วจะได้จบเลยไม่คันไปค้นกระทู้อื่นๆเพิ่ม โดยอ้างอิงจากผมเองนะครับ)
1.คนที่เน้นเสียงเป็นหลัก ดีกว่ากระจึ๋งนึงก็จะเอาอะ คือยังไงก็ต้องการเสียงที่ใกล้เคียง cd ที่สุด คำตอบคือ wave ครับ ออ แล้วที่บอกว่า wave ใส่ปกซีดีไม่ได้ ผมทำได้นะครับ ไม่ว่าจะแอดผ่านโปรแกรมเองเลยหรือมาเพิ่ม.jpeg ทีหลัง
2.คนที่เน้นเสียงเหมือนกัน แต่ไม่ซีเรียสว่าเสียงต้องดีสุด แต่ซีเรียสเรื่องพื้นที่ คำตอบคือ flac ครับ เพราะผมก็ว่าแค่ flac มันก็เพียงพอต่อการฟังแบบ lossless แล้วแหละ แต่จะมีปัญหากรณีไปเปิดหลายเครื่องเล่นหน่อยนะครับ

โปรแกรม ripp ที่ดีที่สุดสำหรับผม jriver อาจจะงงเล็กน้อยแต่ถ้ารู้หลักก็สบายฉิวว
ปล.ผมเคยใช้ dbpowerAMP ตั้งค่าตามคุณหมูหวานแนะนำแล้วแต่เอามาเปิดกับ dx90 ของผมมันเป็นภาษาจีนครับ เลยต้องหาทางเลือกใหม่ ผมจะใช้ jriver กับ EAC สลับกับแต่เน้น jriver ครับ
ส่วนที่ผมไม่ทราบเลย คือ aiff ผมไม่ทราบจริงๆว่าต่างกับ wave ยังไงเพราะส่วนใหญ่ผมจะ ripp เป็น wave แต่ผมว่าให้พอๆกัน
ส่วน m4a ก็น่าจะพอๆกับ flac ครับอันนี้ผมเทียบแล้ว

ก็เป็นคำแนะนำของผมเอง โดยศึกษาจากในนี้แหละ แล้วก็ทดลองเอง ทำเองมาก็นานและเยอะพอควร เลยมีประสบการณ์บ้าง ทีนี้ก็อยู่ที่ท่านแล้วล่ะครับว่าจะเชื่อหรือไม่ ผมแนะนำให้เชื่อ 50 อีก 50 ก็ทดลองเองละกันครับ แต่หูฟังที่เอาไว้เทียบเสียงมีผลชัดเจนนะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 32

Ace of Hearts

24/07/2015 11:46:34
6
อิ ๆ สนับสนุนให้ ลองริบแผ่นเดียวกันเป็น rip เป็น wav กะ flac แล้วลองฟังดูด้วยแอพเดียวกัน หลายๆรอบเรื่องนี้ครับ เพื่อหาคำตอบให้กับตัวเองครับ ประสาทสัมผัสของคนเรามันไม่เท่ากันเป๊ะ ขึ้นกะการฝึกฝนด้วย เหมือนพวกนักชิมไวน์อาชีพอ่ะครับ ส่วนตัวผมคงจะบอกได้แค่ว่า ชอบเสียง อันไหนมากกว่า แค่นั้นครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 33

Superake

24/07/2015 11:55:50
เห็นด้วยกับ #28 หลักการจะต้องไม่ต่างกัน หากฟังแล้วต่างแสดงว่าระบบคุณไม่มาตรฐานครับไม่เข่นนั้นก็ต้องกลับไปตรวจสอบระบบตั้งแต่การ rip ไปจนถึงเครื่องเล่นครับ

เท่านี้เองล่ะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 34

Ace of Hearts

24/07/2015 12:01:23
6
lossless ก็เป็นแค่ technical term ที่ตั้งขึ้นเมื่อเทียบกับ cd audio คุณภาพสูงสุด สำหรับสมัยนั้น หลัง ๆ มากระบวนการ digital audio ดีกว่า cd adio แล้ว ก็ต้องขึ้นมาใหม่ว่า เป็น hires เก็บข้อมูลเสียงได้ต่อเนื่องเหนือกว่า lossless สมัยก่อน อ้าวก็มัน lossless ไปแล้วนี่ ไอ้ hires นี่มันไปเอาจากไหนมาเพิ่มอีกละ?
ต่อไปคงมี super hires พอนึกภาพออกไหมครับ อย่าเครียดกับมันเกินไป ทดลอง ได้คำตอบกับตัวเองแล้ว ก็เลือกคำตอบให้ตัวเอง เพราะเราก็ต่างคน ต่างฟัง 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 35

dewringmaster1997

24/07/2015 12:59:06
2
http://www.forum.munkonggadget.com/detail.php?id=148435

เพื่อใครอยากเอาEAC ไปใช้หนุกๆๆละกันครับ อยากริปได้เสียงดี หา drive plextor ที่ไทยก็ไม่มีขาย ส่วนตัวผมก็ชอบ flac aiff นะครับ มันสะดวกกว่ามีรูป

wav นี้มันวุ่นวายจะริปก็ต้องเก็บเป็นก้อน +cue จะเปิดก็ไปเปิด cue เอา

ลองคิดว่ามีซัก 1000อัลบั่ม เก็บแบบ wav สรุปหาเพลงไม่เจอต้องมาเข้าไฟล์ไล่หาอีก

ยิ่งถ้า เป็นไฟล์ 24/192 wav ขนาดแบบ ใหญ่ไปมั่ง
ต่างไม่ต่าง ฟังดูเอาเองครับ system อาจต้องดีมั่งครับ

ace of hearts tidal ผมว่ามันก็เสียงดีนะครับ ฟังในมือถือสะดวกดี เพลงใหม่ก็หาง่ายใช้สะดวกดี ตอนนี้ก็มีแบบโหลดโปรแกรมลงคอมเลือก output ได้ แต่ผมว่ามันสู้ เปิดผ่าน jriver wasapi asio ไม่ได้
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 36

Ace of Hearts

24/07/2015 13:17:46
6
ครับ lossless Tidal เวลาฟังต่อเนื่องนาน ๆ แล้วผมก็ว่า สู้ wav flac ที่ริบ จาก cd เองไม่ได้ครับ แต่มันสะดวก และประหยัดกว่าไปหาซื้อแผ่นมาริบเองครับ อิ ๆ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 37

wat12

24/07/2015 14:08:19
1
เก็บ .wav และหลังๆ เก็บเพิ่มเติมเฉพาะ .aiff & SACD iso
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 38

BlackPhoenix

25/07/2015 21:45:09
71
ริบเป็นเวฟก่อนแล้วมาคอนเวิร์ดเป็แฟลคทีหลังครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
"สอบถามคับCD RIP เป็น FLACหรือ WAVดีคับ"