ปัจจุบันนี้มาตรฐานการบันทึกเพลงของห้องอัดพัฒนาสูงขึ้นเรื่อยๆ จากแต่ก่อนที่บันทึกกันแค่ 16bit/44.1kHz หรือมาตรฐาน CD Audio ซึ่งแต่ก่อน เราก็คิดว่าเพียงพอแล้วในการเก็บข้อมูลเสียงในรูปแบบดิจิตอล แต่ที่ไหนได้ หูของมนุษย์เรานั้นสามารถแยกแยะความแตกต่างของเสียงได้ดีมากๆ โดยถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทางเสียงเพียงเล็กน้อย ก็ยังสามารถฟังออกได้ ทำให้ไฟล์ Master ระดับ 16bit/44.1kHz ไม่เพียงพอเสียแล้ว

จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงของวงการบันทึกเสียง ให้เก็บต้นฉบับด้วยไฟล์ที่มีความละเอียดสูงขึ้นเป็น 24bit/96kHz-192kHz แต่ก็ยังไม่สุดเพียงเท่านั้น เพราะปัจจุบันนี้ การทำมาสเตอร์เพลงดันทะลุกันจนไปถึงมาตรฐาน DXD 32bit/384kHz และ DSD256 กันแล้ว ซึ่งเราจำเป็นต้องหา DAC ดีๆ เข้ามาถอดรหัสเสียงเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์ของคุณภาพในการรับฟังครับ

Mytek Manhattan DAC ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การฟังเพลง ในยุคของรูปแบบดิจิตอลสมัยใหม่โดยเฉพาะ เนื่องจากสามารถรองรับการเล่นไฟล์ในรูปแบบ Hi-Res PCM ได้ถึงระดับ DXD 32bit/384kHz รวมถึงการเล่นไฟล์ในรูปแบบ DSD ได้ถึง 11.2MHz หรือ DSD256 นู่นเลยครับ พร้อมกับการใช้งาน และเชื่อมต่อที่หลากหลาย ใช้งานเป็น DAC เพียวๆ, DAC พร้อมภาคปรี, DAC พร้อมแอมป์หูฟัง, ทำงานเป็นปรีแอมป์ หรือแม้กระทั่งใช้งานเป็นแอมป์หูฟังก็ย่อมได้ โดยยังมีโมดูลเสริมสามารถอัพเกรด Option ได้ในอนาคต ทำให้เป็น DAC ที่สามารถรองรับการใช้งานไปอีกนานหลายๆๆปีเลยล่ะครับ

มาเริ่มกันที่การออกแบบตัวถังของเจ้า Manhattan DAC กันก่อนเลยครับ เป็นการออกแบบโดยใช้อลูมิเนียมแผ่นอย่างหนาเกรดดี ออกแบบทำการ CNC ฉลุและเจ้าลายโดยนักดีไซน์ระดับโลก ซึ่งนอกจะได้รูปลักษณ์สวยงามเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังคำนึงถึงการระบายความร้อน และการลดค่า Damping ของตัวถังด้วย เพราะน้ำหนักรวมของมันอยู่ที่ 8Kg ที่เดียวซึ่งถือว่าหนักมากๆ สำหรับ DAC ครับ การลดค่า Damping ของตัวถังนี้ จะทำให้การทำงานของวงจรดีขึ้นอย่างมาก แบบมองข้ามไม่ได้เลยล่ะ

และที่ด้านบนนั้นเจาะรูเป็นโลโก้ตัว M ที่ใช้ย่อแทน Manhattan แหล่งกำเนิดของเจ้า DAC ตัวนี้ครับ ตามสโลแกนเปิดตัวว่า "Born in Manhattan" NEW YORK นั่นเองจ้าา

หงายท้องเจ้า Mytek ดูกันหน่อยดีกว่า วัสดุที่ใช้ทำโครงด้านในเป็นเหล็กอย่างหนา นอกจากจะมีการเจาะฉลุลายที่ด้านบนแล้ว ตัวถังด้านล่างก็ทำเช่นกันครับ ใส่ใจรายละเอียดจริงๆ สติกเกอร์ที่แปะเป็น Serial ของตัวเครื่อง และคำเตือนต่างๆในการใช้งาน ตัวเครื่องด้านล่างจะมียางรองเครื่องรูปโดนัท จำนวน 4 จุดครับ สามารถขันน็อตเปลี่ยนเป็น Spike ที่แถมมาในชุดแทนได้ครับ

อันนี้เป็น Spike และจานรอง แบบทองเหลืองชุบทอง 24K ที่แถมมาในชุดครับ วิธีการติดตั้งแค่เพียงเอาไขควงหกเหลี่ยม ขันน็อตที่ยึดยางรองเดิมออกแล้วใช้มือหมุนเจ้า Spike ใส่เข้าไปแทนครับ สามารถหมุนเกลียวให้ ลึก-ตื้น ปรับระดับความสูงได้ตามต้องการ แต่ผมแนะนำให้หมุนเข้าไปจนสุดก่อน แล้วบิดคลายกลับซักนิดนึง เลียนแบบสูตรของลุง Bruce จากสำนัก Stillpoints ซะเลย 5555

หน้าจอของ Manhattan DAC ออกแบบโดยใช้ Dot Matrix แสงสีขาว (ถ้าถ่ายรูปออกมาอาจจะอมฟ้านิดๆ จริงๆแล้วเป็นสีขาวครับ) หน้าจอสามารถใช้บอกสถานะต่างๆได้อย่างละเอียด ทั้งการปรับเมนูต่าง การบอกสถานะไฟล์เพลงที่เล่น หรือระดับ Volume ที่กำลังเปิด ใช้งานอยู่ครับ ซึ่งการออกแบบโดยใช้ Dot Matrix แบบนี้ ช่างดูกลมกลืนกับด้านหน้าปัดของตัวถังมากๆครับ เพราะด้านหน้านั้นมีการ ฉลุลาย CNC เป็นจุดๆคล้ายกับแสงไฟจาก Dot Matrix คนออกแบบนี่เข้าใจคิดจริงๆ แถมการเลือกใช้หน้าจอแบบนี้จะไม่ก่อให้เกิดสัญญาณรบกวนเข้าไปวงจรจ่ายไฟของตัว DAC ด้วยล่ะจ้าา

ส่วนอันนี้เป็นปุ่มต่างๆของด้านซ้ายด้านหน้าเครื่อง ซึ่งแม้แต่ปุ่มต่างๆก็ยังทำการแกะลายให้กลมกลืนกับหน้าปัดของเครื่องด้วยครับ ออกแบบมาได้เนียน จนมองไกลๆนี่อาจจะมองไม่เห็นปุ่มเลยด้วยซ้ำไป เรียงจากซ้ายไปขวาของภาพ ปุ่มกลมๆเป็นปุ่ม เปิด-ปิดเครื่อง ถัดมาเป็นปุ่มกดเข้าเมนูครับ ส่วนติดกันจะเป็น ปุ่มเลื่อนเข้าหัวข้อต่างๆเวลาเข้าเมนูแล้ว และปุ่มสี่เหลี่ยมเป็นปุ่ม Function 1 ครับ สามารถปรับเปลี่ยนให้ทำหน้าที่ต่างๆได้ตามที่เราต้องการ ด้วยการเข้าไปเซ็ท ในหัวข้อ Funtion ครับผม ฟิลลิ่งของการกดปุ่มต่างๆให้ความรู้สึกแน่นหนา แข็งแรงดีด้วยล่ะ

ทางด้านขวาเรียงจากซ้ายไปขวา ปุ่มสี่เหลี่ยมเป็นปุ่ม Function 2 สามารถปรับเปลี่ยนหน้าที่ได้เช่นเดียวกันครับ ถัดมาเป็นลูกบิดที่ใช้ในการปรับเสียง ซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งโหมด Analog Volume และ Digital Volume ระบบ 32bit ครับ ซึ่งเสียงของทั้งสองแบบจะต่างกันอยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับผู้ใช้จะเลือก และเมื่อเข้าในโหมด Setting มันจะทำหน้าที่เป็น Selector หมุนเลื่อนหัวข้อแทนครับ โดยสามารถกดลงไปตรงกลางลูกบิดเพื่อเป็นการตกลงหรือ confirm การตั้งค่าได้ด้วยครับ ส่วนถัดมาที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของ DAC ตัวนี้ ก็คือช่องต่อหูฟังแบบ 6.35mm จำนวนสองช่องครับ ซึ่งช่องต่อหูฟังสองช่องนี้นั้นแยกวงจรขยายออกจากกัน สามารถเสียบหูฟังได้สองตัวแบบกำลังไม่มีตก และที่สำคัญคือกำลังขับของมันนั้นมีพลังเหลือๆที่จะขับหูฟังหินๆได้อย่างสบายๆเลย

แล้วก็มาดูที่ด้านหลังของเจ้า Manhattan DAC กันต่อเลยครับ ช่องต่อพรึบพรับมากมายสุดๆ เอาเป็นว่ามี DAC ตัวนี้ไว้ในบ้าน ไม่ว่าอยากจะต่อกับชุดไหน ก็สามารถใช้งานร่วมกับเค้าได้หมดครับ การจัดเรียงช่องต่อแบบเป็นระเบียบ และตัวหนังสือกำกับช่องต่อต่างๆชัดเจนอ่านง่าย และเกรดของ Connector ต่างๆนั้น เป็นเกรด Audio อย่างดีทุกช่องครับ ไม่ว่าจะเป็น RCA, BNC หรือ XLR ของ Neutrik ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องมาตรฐานเสียง และความทนทานสูง ทุกอย่างถูกออกแบบมาโดยใส่ใจในทุกรายละเอียดสำหรับนักฟังโดยเฉพาะครับ เรามาเจาะลึกการใช้งานของช่องต่อต่างๆกันเลยดีกว่าครับ

ช่องต่อ Input แบบ Digital ของ Manhattan DAC และความสามารถของช่องต่างๆมีดังนี้ครับ

- Firewire 400/800 เชื่อมต่อได้ทั้ง Mac OS และ Windows โดยต้องลงไดร์เวอร์ทั้งสอง OS ครับ
รองรับ PCM ได้ถึง 24bit/192kHz และ DSD64 2.8MHz

- USB2.0 เชื่อมต่อได้ทั้ง Mac OS และ Windows โดยต้องลงไดร์เวอร์เช่นกัน รองรับไฟล์ PCM ได้ถึง DXD 32bit/384kHZ
และ DSD256 11.2MHz ครับ

- USB1.1 สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องลง Driver ครับ มีไว้ใช้งานแบบเร่งด่วน รองรับได้สูงสุดที่
24bit/96KHz ถ้าอยู่ในภาวะหาโหลด Driver ไม่ได้ ต่อช่องนี้เลยครับ

- S/PDIF แบบขั้ว RCA เชื่อมต่อโดยใช้สาย Coax 75ohm รองรับข้อมูลแบบ PCM ได้ถึง 24bit/192kHz ครับ
- Toslink สามารถเชื่อต่อโดยใช้สาย Optical รองรับได้ถึง 24bit/192kHz เช่นกัน
- AES/EBU เป็นหัว XLR เชื่อมต่อโดยใช้สาย Impedance 110ohm รองรับได้ถึง 24bit/192kHz

ส่วน WCK Wordclock BNC Input และ Output ใช้สำหรับแหล่งป้อนสัญญาณนาฬิกาจากภายนอกครับ สำหรับท่านที่ต้องการรีดประสิทธิภาพ DAC ให้ไปได้สุดๆ แต่ Clock ดีๆราคาสูงริบเหมือนกันครับ ราคาอาจจะพอๆกับตัว DAC หรือแพงกว่าก็มี แล้วแต่กำลังศรัทธา แต่เดิมๆภายในเป็น Femto ก็แหล่มมากๆๆแล้วจ้าา 555

และช่อง SDIF IN L, R เป็น Interface Digital ที่คิดค้นโดย Sony ครับ ซึ่งจะสามารถรับสัญญาณ DSD จาก SACD Transport ต่อผ่านสาย Coax สองเส้น ก็สามารถส่งข้อมูล Digital DSD มาเข้า Manhattan DAC ได้เลยครับ ซึ่งตอนนี้สามารถใช้กับ Transport ได้สามยี่ห้อ คือ EmmLab, Mitnear และ Playback Design ครับ

มาที่ช่องต่อสัญญาณเสียง Analog Out กันครับ มีมาให้ 2 แบบ คือ Unbalance RCA 1 ชุด และ Balance XLR อีกหนึ่งชุดครับ ซึ่งค่าย Mytek จะขึ้นชื่อเรื่อง สัญญาณ Analog Out ที่มีความแรงกว่าทั่วๆไป ทำให้สัญญาณที่ถูกส่งต่อไปยังแอมป์นั้น จะเกิดการสูญเสียน้อยกว่า Noise หรือสัญญาณรบกวนก็จะน้อยด้วยครับ แต่สำหรับท่านที่ต้องการลดความแรงของสัญญาณ Output สามารถเปิดฝาใช้ Jumper ที่แถมมาในชุด เซ็ท Gain ให้ลดลงเป็น -6dB ได้เช่นกันครับ

ส่วนของภาครับ Analog Input ทาง Mytek จัดเต็มๆมาให้ถึง 3 ชุดกันเลยทีเดียวครับคือแบบ Unbalance RCA 2 ชุด และ Balance XLR 1 ชุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทาง Mytek นั้นมั่นใจในภาคปรีแอมป์ Volume Control และภาคแอมป์หูฟังของเค้ามากๆๆครับ ถึงทำช่องต่อมาให้ใช้งานแบบนี้ ส่วนแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมที่ขันน็อต ปิดไว้อยู่นั้น จะเอาไว้ใส่ Option เสริมเพิ่มครับ เห็นว่าช่วงต้นปีหน่้าจะมี Module Phono Stage แบบ MC และ MM ออกมาให้ใส่เพิ่มได้ด้วย คราวนี้จะครบเครื่องสุดๆ ใช้งานได้หมดทั้งระบบ Digital และ Analog เลยครับ ตัวเดียวต่อใช้งานได้หมด หาแอมป์มาใช้ก็จบได้เลย

มาถึงช่องต่อไฟเข้าครับ เป็นแบบ Standard IEC C13 สามารถปรับไฟ 115V กับ 230V ได้ ใช้งานได้ทั่วโลก และมีช่องใส่ฟิวส์มาให้ในตัว เป็นฟิวส์ขนาด 20mm. ลิมิตกระแสที่ 2A ครับ และสังเกตตัวหนังสือที่สกรีนลงตัวถังให้ดีครับ ออกแบบที่ NEW YORK ไปทำตัวถังที่ CARIFORNIA แล้วส่งไปประกอบที่ POLAND นู่นครับ ที่ส่งไปมาหลายทอดแบบนี้ เพื่อความเนี๊ยบของการผลิต เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด ตามที่ Mytek ต้องการจ้าาา

เกือบลืมไปอีกจุดหนึ่งซะแล้ว ในรูปนี้เป็นสวิตช์โยกปรับ Gain การขยายของภาคแอมป์หูฟังครับ ปรับได้ 3 ระดับ -6dB(Low), 0dB(Medium) และ +6dB(High) สามารถปรับให้เข้ากับหูฟังที่ใช้งานได้อย่างหลากหลาย หูฟังหินๆโหดๆ ขับยากๆ เจอปรับ Gain ไป +6dB ก็เรียบร้อย ขับได้หมดจดราบคาบเลยล่ะ

ไหนๆก็ไหนๆแล้วผมขอเปิดฝาดูหน่อยดีกว่าครับ ว่าเจ้า Manhattan DAC เครื่องในจะเจ๋งขนาดไหน ตอนแรกผมเปิดฝาเสร็จ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม่น้ำหนักถึงมาก ไม่ใช่แค่ตัวถังเท่านั้น อุปกรณ์ภายใน DAC ทั้งหมดใส่มาแบบจัดเต็มจริงๆครับ เดี๋ยวเรามาดูจุดเด่นของแต่ละภาคเลยดีกว่า ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

เริ่มจากหม้อแปลง Terroid ใหญ่ๆถึงสองลูก แยกการจ่ายไฟของภาค Digital และ Analog ออกจากกันแบบเด็ดขาด ซึ่งเป็นหม้อแปลงคุณภาพสูง ความร้อนต่ำ และยังทำชิลด์ครอบกันสนามแม่เหล็กออกไปรบกวนวงจรภาคอื่นๆ แถมด้วยการ Damp หม้อแปลงให้นิ่งสุดๆอีกด้วยครับ ใครที่ชอบหม้อใหญ่ๆรับรองว่า Mytek จัดมาให้แบบใหญ่สะใจ กำลังไฟเหลือๆ ไม่มีแรงตกหรือวูบวาบ เสียงนิ่งสุดๆแน่นอนครับ

ส่วนนี้คือกำแพง Capacitor ขนาดใหญ่ๆ 15,000uF จำนวน 8 ตัว ที่เป็นเหมือนเขื่อนสำรองไฟ เวลาวงจรต้องกำลังไฟมากๆในเวลารวดเร็ว ตอนที่เพลงใช้ Dynamic Range เยอะๆ และลดการ Ripple ของไฟ DC ที่ Rectifier ออกมาให้เรียบสมูทสุดๆ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้รับไฟนิ่งๆ ส่งผลต่อการทำงานของวงจรโดยตรงล่ะจ้าาา

Chip ตัวนี้เป็นหัวใจในการทำงานของภาค DAC ครับ เป็นของ ESS Sabre 9016S ที่มี Dynamic Range มากถึง 130dB โดยตัวมันเองสามารถถอดรหัสได้ 8 ch. ในตัว แต่ทาง Mytek Cofig ให้ทำงานเป็น 2ch. Stereo โดยเบิ้ลการทำงานเป็น 4ch.+4ch. จนเป็น 2ch. ครับ ซึ่งพักหลังๆมานี้เจ้า Chip ของค่าย ESS Sabre ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการ DAC เพราะว่าเป็น Chip DAC ที่ Spec สูง และรองรับการถอดรหัสได้ถึงรับดับ 32bit/384kHz และถอดรหัส DSD ได้ในตัวอีกด้วย

ส่วนในรูปนี้เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ในการทำงานของวงจรถอดรหัส Digital ครับ นั่นก็คือ Clock ที่ทำหน้าที่จัดการ Timming ของชุดข้อมูลในแต่ละชุด ให้แม่นยำ เกิดการเหลื่อมล้ำทางคาบเวลา Digital Jitter น้อยที่สุดครับ ซึ่ง Manhattan DAC ตัวนี้ใช้ Clock Spec สูงอย่าง Femtoclock ที่มี Jitter ต่ำมากๆๆ ทำให้ไทม์มิ่งในการทำงานของการถอดรหัส แม่นยำสุดๆ รับรองว่าเกิดผลดีต่อเสียงแบบเหลือเชื่อเลยล่ะครับ

อีกส่วนนึงที่สำคัญของ DAC ที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ นั่นก็คือภาครับ USB และ Firewire ครับ ซึ่งทาง Mytek ที่ช่ำชองเรื่อง Interface ทาง Digital มาอย่างยาวนาน ปฏิเสธที่จะใช้ Chip USB Interface สำเร็จรูปแบบค่ายอื่นๆ โดยได้ใช้ Chip Micro controller ความเร็วสูง ป้อนชุดคำสั่งในการทำงานเป็น USB/Firewire Interface ด้วยตัวเอง ทำให้ DAC ของค่าย Mytek นั้นมีเอกลักษณ์เสียงเฉพาะตัวที่ค่ายอื่นๆเลียนแบบได้ยาก โดยการเขียนชุดคำสั่งเองเช่นนี้ จำเป็นต้องทำการลง Driver เวลาจะใช้งานกับ MAC และ Windows ไม่เหมือน Chip DAC สำเร็จรูปทั่วๆไป ที่ทางฝั่ง MAC OS จะเจอและใช้งานได้เลยครับ เลยอาจจะมีข้อจำกัดทางเสียงบางประการ Mytek เลยไม่นำมาใช้จ้าา

มาปิดฝาเครื่องแล้วเริ่มลองฟังกันดีกว่าครับ เมื่อเรากดสวิตช์เปิดเครื่องที่หน้าจอจะปรากฎไฟวิ่ง และโลโก้ MYTEK ที่หน้าจออย่างสวยงาม โดยใช้เวลาประมาณ 3-5 วินาที ในการสตาร์เครื่อง หลังจากนั้นก็พร้อมใช้งานแล้วครับ

ถ้าหากเราทำการตั้ง Auto Scanning Input ไว้ หลังจากเครื่องพร้อมทำงาน มันจะ Scan หาอินพุทต่างๆที่เราเชื่อต่อยู่ให้โดยอัตโนมัติครับ โดยจากที่ผมเสียบสาย USB ที่ช่อง USB 2.0 กับคอมพิวเตอร์ไว้ มันก็สามารถ Scan หาเจอได้อย่างรวดเร็วครับ เป็นอีหนึ่ง Option ที่ MYTEK ใส่มาให้เพื่อความสะดวกของผู้ใช้งาน

อ่อ! ผมเกือบลืมไปว่าเจ้า Manhattan นั้นสามารถใช้รีโมท Apple ในการคอนโทรลได้นะครับ ทาง Mytek ได้แถมมาให้ด้วยหนึ่งตัว และยังสามารถใช้รีโมทแบบ Universal มาตรฐาน RC5 ในการสั่งงานได้เช่นกัน แต่เท่าที่ผมลองรีโมทของ Apple ก็สามารถสั่งงานได้ครบๆแล้วครับ

ผมทดสอบกับ Windows 7+ โปรแกรม JRiver Media Center 20 หลังจากลง Driver เรียบร้อยแล้วก็เลือก Device Output เป็น Mytek ASIO ตั้ง Bitstream เป็น DSD เท่านี้ก็พร้อมใช้งานแล้วครับ การทดลองฟังผมจะเน้นเรื่องการฟังไฟล์ DXD และ DSD เป็นพิเศษ หลังจากที่มีไฟล์อยู่พอสมควร แต่หา DAC รองรับได้ยาก จนมาเจอ Manhattan นี่ล่ะครับ ดีใจสุดๆ จะได้ฟัง DSD128 กับ DXD เต็มๆกันซะที เมื่อเซ็ทอัพทุกอย่างเรียบร้อย เครื่องพร้อม ไฟล์เพลงพร้อม ก็เริ่มฟังกันเลยดีกว่า

เริ่มจาการเทสด้วยหูฟังกันก่อนนะครับ ผมตั้งใจเลือกหูฟังที่ขับยากหน่อยมาใช้ เพราะเห็นทาง Mytek บอกว่าภาคแอมป์หูฟังนั้นกำลังเหลือๆ เลยจัด Sennheiser HD800 มาทดสอบครับ โดยใช้อัลบั้ม OPUS3 ที่คุ้นเคยมาทดสอบ โดยเลือก Swith Gain ของภาคแอมป์ ไว้ที่ 0dB สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คือกำลังขับของมันดีมากๆ จับกับหูฟัง HD800 ได้อย่างสบายๆ ทั้งๆที่เจ้าหูฟังตัวนี้หาแอมป์คู่กับมันยากสุดๆ สิ่งที่ผมได้ยินคือ ความเข้มข้มของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้น ถูกผลักออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ความหลุดลอยของมิติที่กว้างขวาง ไม่ทับซ้อนกัน

หากท่านใดที่เคยฟังแผ่น Opus3 Showcase จะทราบดีถึง Dynamic ขึ้น-ลงของแต่ละเพลงนั้น ถ้ากำลังเครื่องไม่ถึง จะฟังแผ่นนี้ไม่เพราะเลย แต่กลับกันถ้าเป็น System ที่ลงตัว แผ่นนี้จะทำให้ท่านเต็มอิ่มกับอารมณ์เพลงจริงๆครับ ซึ่งเหมือนกับที่ผมได้ฟัง Manhattan อยู่ตอนนี้ จากที่เคยเป็นคนฟังแต่หัวแทร็ก แล้วเปลี่ยนเพลงไปเรื่อย DAC ตัวนี้มันบังคับให้ผมต้องฟังเพลงจนจบทุกเพลง และยังอยากเปิดฟังซ้ำอีก เนื่องจากเราจะสามารถได้ยิน Micro Detail ที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อนในเพลงเหล่านี้ หรือหากเคยได้ยินแล้ว ก็จะได้ยินชัดเจนมีรายละเอียดเพิ่มกว่าเดิมอีก ต้องขอบอกว่าเป็นการทดลอง DAC ที่มีภาคแอมป์หูฟังดีเซอร์ไพรซ์ผมมากๆครับ

กำลังฟังเพลงมันส์ๆ ต้องรีบไปหยิบ Hifiman HE-560 มาฟังด้วย เพราะเป็นอีกหนึ่งหูฟังที่ต้องการแอมป์กำลังพอสมควร ถ้าแอมป์แรงไม่ดี หรือไม่นิ่งพอ หูฟังตัวนี้จะไม่แสดงประสิทธิภาพสูงสุดออกมาครับ ผมลองฟังด้วยเพลง Soudtrack Batman ของ Hans Zimmer ซึ่งเพลงนั้นมีรายละเอียดเยอะ และ Dynamic Range ของเพลงแบบโหดสุดๆครับ ซึ่งจากการทดสอบฟังนั้นเจ้า Manhattan ทำได้ดีมาก ทั้งเรื่องความนิ่งในการหยุด Damping Factor ของหูฟังแบบ Planar อย่าง HE-560 และการขับรายละเอียดเสียงออกมาให้ได้ยินแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งๆที่การฟังเพลงแบบวง Symphony นั้นค่อนข้างโหดมากๆสำหรับการเล่นเครื่องเสียง แต่ Manhattan ก็ยังรับมือได้อย่างชิลๆเลยล่ะ

ซึ่งการทดสอบนี้ทำให้ผมกล้าพูดได้เลยว่าภาคแอมป์หูฟังของ Manhattan DAC นั้นไม่ใช่รูแถมเหมือนกับยี่ห้ออื่นๆแน่นอน มันถูกออกแบบและตั้งใจให้ เป็นแอมป์หูฟังชั้นดี ที่สามารถใช้งานกับหูฟังทุกตัวได้อย่างสบายใจ ใช้งานเป็นทั้ง DAC และแอมป์หูฟังตัวเดียวจบได้เลยครับ

คราวนี้เรามาทดสอบภาค DAC กับปรีแอมป์ของ Manhattan กันต่อครับ ว่าเอามาใช้งานกับชุดลำโพงบ้านแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ชุดที่ผมใช้งานอยู่เป็นลำโพง Totem STTAF พาวเวอร์แอมป์หลอด VTL ST-85 สายสัญญาณ+สายลำโพง Nordost Red Dawn, สายไฟ Nordost Blue Heaven และสาย USB Heimdall2 ครับเรียกได้ว่าเป็นชุดที่ผมใช้ฟังอยู่ที่ร้านทุกวันล่ะครับ คุ้นเคยกับเสียงของชุดนี้มากๆ หยิบอะไรใหม่ๆใส่เข้าไปฟังแป๊บเดียวรู้เรื่องเลยล่ะ

รอบแรกผมทดสอบด้วยแผ่น Opus3 Showcase แบบ 44.1kHz ซึ่ง Rip มาจากแผ่น CD ก่อน ซึ่งแทนที่มันจะฟังไม่ค่อยดีเนื่องจาก Sampling เรทต่ำ แต่มันกลับเป็นว่าสามารถฟังได้ดีขึ้น ทำให้ผมนึกถึงนักเล่นเครื่องเสียงอวุโสหลายๆท่านกล่าวไว้ว่า ถ้า System ดีๆ ฟังเพลงอะไรก็ฟังได้เจ้า Manhattan ได้ทำให้ผมเข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดแล้วครับ แม้ว่าจะเป็นเพลงจาก CD Audio ทั่วไป ก็สามารถเอามาฟังกับมันได้อย่างสบายๆ

ผมเลยเปลี่ยนไปฟังอัลบั้มเดียวกันในรูปแบบไฟล์ DSD128 กันต่อ ซึ่งผลที่ออกมามันเกินคาดมากๆครับ ไม่ว่าจะเป็นทั้งความมืดของฉากหลังTimming ที่ฟังดูช้าลงไปเฉยๆ เนื่องจากเราได้ยินรายละเอียดเสียงมากขึ้น และ Dynamic Contrast การเอื้นขึ้น-ลง หรือความหนักเบาของชิ้นดนตรี มันฟังดูละเมียดละไมมากๆ แถมยังได้เรื่องตำแหน่งเสียงที่ชัดเจนและเข้มข้น จนเราจับตำแหน่งเสียงได้โดยไม่ต้องหลับตาฟัง Harmonic รอบๆตัวโน้ต ของชิ้นดนตรีก็มีที่มาที่ไปและครบถ้วน ทำให้ผมต้องเปิดเพลงฟังไปหลายๆๆอัลบั้ม ด้วยความเพลิดเพลินกับเสียงที่ DAC Manhattan ถ่ายทอดออกมาครับ

จากที่ได้ทดสอบ MYTEK Manhattan มาเป็นเวลาหลายวัน ทำให้ผมรับรู้ถึงฝีมือ และความตั้งใจของทีมงานผู้ออกแบบ DAC ตัวนี้ ซึ่งฟังก์ชั่นต่างๆ ที่สามารถเอาไปใช้งานกับ System ต่างๆของเราได้ทุกแบบ รูปลักษณ์ เสียงของมันที่สามารถเข้ามาสู่ตลาด Hi-End และเป็นที่ยอมรับในวงการได้อย่างเต็มภาคภูมิเลยล่ะครับ

ถ้าหากท่านกำลังมองหา DAC ที่ให้คุณภาพการถอดรหัสเสียงสูง และฟังก์ชั่นแบบแบบสตูดิโอ ถ่ายทอดเสียงออกมาดุจเหมือนถอดจากต้นฉบับการบันทึกเสียงมาให้ฟังกันตรงหน้า อยากเสพงานศิลปะทางเสียงของ Producer และการถ่ายทอดอารมณ์ศิลปินต่างๆ ที่ท่านชื่นชอบ แถมด้วยการรองรับรูปแบบไฟล์ในอนาคตต่างๆแบบครบถ้วน และยิ่งถ้าต้องการฟังเพลงระบบ DSD ด้วยแล้วล่ะก็ จงอย่าได้มองข้าม Manhattan DAC ตัวนี้เป็นอันขาด เพราะมันคือคำตอบของการฟังเพลงในยุคดิจิตอลอย่างแท้จริงครับ


MYTEK MANHATTAN DAC
ราคา 200,000 บาท
รีวิวโดย : หมูหวาน 086-810-7374


SPECIFICATIONS

- Conversion: 32bit PCM up to 384k, DXD, DSD-DS-DSD256 (11.2 MHz)

- Dynamic Range: 130dB (ESS Sabre chipset in 8 mono to 2 stereo config.)

- Femtoclock Internal Clock Generator (lps jitter.) Wordclock In and Out, or sync to incoming digital audio input with JET (tm) PLL.
Time Domain Jitter Eliminator

- Headphone Amp: High Current, High Slew Rate ultra low distortion 1600mA Hi-Fi dual mono design, 0.25 Ohm impedance
with gain selector switch

- Computer Audio Inputs and Outputs: Firewire 400/800 up to PCM 192k/DSD async, USB2.0 up to 384k/DSD256, USB 1.1 up to
PCM 96k, driver-less. DSD DOP256 SDIF DSD input, optional SACD optical input ***

- Digital Audio Inputs: SPDIF, AES/EBU, Toslink all up to 192k single wire. DSD-DSD256 SDIF DSD input,
optional SACD optical input ***

- Internal Hardware Upsampling to DSD256:Any digital signal can be upsample to DSD256 for superior DAC chipset performance*

- Internal PCM Hardware Upsampling: 16bit 44.1k etc. can
be optionally upsampled prior to conversion to 192k/24bit.

- Analog Attenuator: Transparent, 1dB stepped programmable, separate for main out and headphones. Or 32 bit digital
attenuator or relay bypass of the attenuator can be chosen by user

- Analog Inputs: 2 Unbalanced RCA, 1 Balanced XLR

- Linear Power Supplies, Separate: Oversized 50VA analog, 50VA digital,
Worldwide **

- Firmware updates: online, user downloadable, periodic feature upgrades

- Ability of converting standard digital audio inputs into
computer FW/Thunderbolt input

- Apple aluminum remote (included) and universal remote capable

Spec แจ่มมากเลยครับผม :-)

ไม่น่าหลงเข้ามาอ่านเล้ยยยยยย นอนฝันถึงแน่เลยคืนนี้

ตัวนี้วัสดุและอุปกรณ์ผมถือว่าเยี่ยมยอดมากๆครับ เป็น DAC ที่ถือเป็นโคตรไฮไลท์ของปีหน้านี้แน่นอนครับ ผมเองชักคันเหมือนกัน เพราะเท่าที่ลองฟังไปพักนึงที่เรือธง ผมว่ามันเป็นอะไรที่อลังการมากๆๆครับ เอ้า เก็บตังค์แป๊บ 555

ท่านใดสนใจติดต่อได้ทั้งที่ หลุยส์เรือธง หรือคุณหมูหวานก็ได้นะครับ ราคาตั้งคือ 200,000 บาทจ้าๆๆๆ

หลังจากที่ลองฟังมาได้ซักพัก ผมสามารถจับสังเกตได้เพิ่มอีกอย่างคือเจ้า Manhattan ตอนเล่นไฟล์แบบ PCM ผมก็คิดว่าแจ๋วมากละ ไม่ต้องถึงระดับ Hi-Res ด้วยซ้ำ แค่ 16bit/44.1kHz ก็ฟังสนุกแล้ว

แต่พอเจอไฟล์ DSD เข้าไปมันจะฉายแววมากๆ เสียงดีขึ้นเป็นอีกทวีคูณ ซึ่งผมคาดว่าทาง Mytek ที่เป็นค่าย Studio อยู่แล้ว น่าจะได้โค้ดพิเศษจาก Sony และชำนาญเรื่อง DSD มากๆ ทำให้เสียงของการเล่นไฟล์ DSD เหนือกว่าค่ายอื่นๆแบบเห็นได้ชัดเลยครับ

โคตร DAC แห่งปีว่างั้น 55 ตอนนี้ผมอาศัยฟังฟรีไปก่อน ขอเก็บตังค์แป๊บ สอยกลับไปนอนฟังที่บ้านดีกว่า เพราะว่าตัวเดียวจบ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้วครับ เย้ๆๆๆ

เคร่ๆๆ ซวยแล้ว ไอ้ QB9 DSD ที่บ้านผม Y____Y

@พี่ PrTv
ว่างๆแวะลองมาฟังก่อนได้นะครับ ถ้ามาฟังแล้วสนใจเจ้า Manhattan จริงๆ
เดี๋ยวเราจัดโปรแกรมรับเทรด QB-9DSD ให้เลยครับพี่ หรือว่าพี่จะเก็บไว้ทั้งสองตัวดีหว่าาา 555

กำลังเล็ง Invicta Mirus อีกตัว ราคาชนกันเลย แง่วๆๆๆ

ซวยหนักกว่าเดิมอีก ฮ่าๆๆ

พรุ่งนี้เย็นๆอาจได้เข้าไปครับ

เรียนเชิญเลยครับพี่ จะได้รู้กันไปเลยว่าฟังแล้วจะรอดหรือไม่รอด 555

คนละแนวกันเลยครับสองตัวนี้ โอกาสครองทั้งสองตัวสูงมากๆๆๆ 555

ขอถามหมูหวานหน่อยจ้าาาาา ^^

analog out ทางด้านหลังของ manhattan มี Unbalance RCA และ Balance XLR

ทั้ง 2 อย่างนี้มันออกพร้อมกันไปเลย
หรือว่ามันต้องให้เลือกออกได้แค่ทีละอย่างครับ

ได้เลยครับน้าชา เดี๋ยวให้หมูหวานเช็คให้นะครับน้าชา ^^

ขอบคุณครับเฮีย
และก็คงต้องรอใกล้เที่ยงคืนนู้น หมูหวานถึงจะว่างเข้ามาตอบละครับ 555

มาแล้วๆๆๆ เพิ่งกลับจากงานเครื่องเสียงจ้าาา
น้าชาครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมถึงที่ร้านแล้วจะลองให้ครับ
เพราะผมยังไม่เคยต่อ Analog Out สองแบบพร้อมๆกันเลยจ้าา

แท้งกิ้วหลายๆครับหมูหวาน

ที่ผมถามก็เพราะผมต้องการ dac ที่สามารถไช้เอ้าพุทพร้อมกันได้ทั้ง 2 อย่าง
Unbalance RCA ไปเข้า PreAmp และ Balance XLR ไปเข้าแอมป์หูฟัง SPL Phonitor

เนื่องจากถ้าผมใช้ต่อพ่วงหลังแอมป์หูฟังไปเข้า PreAmp มันจะทำให้เสียงของแอมป์หูฟังดรอปลงเยอะเลยครับ

อาจเป็นตอนนี้ผมใช้ TEAC UD-501 DAC อยู่ ซึ่งอาจจะเป็นที่ output มันไม่มากพอที่จะใช้ขับแอมป์หูฟังและ Preamp ไปพร้อมๆกันก็เป็นได้


ไหนๆก็รบกวนถามไปอย่างแล้วเนอะ งั้นผมก็ถามคำถามที่สองไปด้วยซะทีเดียวเลยนะ ^^

คือ Manhattan มันมีช่องหูฟัง out ข้างหน้า 2 ช่อง
ถ้าเราทำสายอะแดปเตอร์โดยมีหัวแจ๊ค 6.3มิล 2 ตัว
โดยที่ตัวนึงเชื่อมสายเฉพาะ L+,L-
และอีกตัวเชื่อมสายเฉพาะ R+,R-
แล้วเอาสาย L+,L-, R+,R- ออกมาต่อเข้าหัว XLR 4pin ให้เป็นเหมือนช่องเสียบหูฟัง Balanced Out
ถ้าทำอะแดปเตอร์ออกมา เราก็สามารถใช้สายหูฟังที่มีหัว Balanced XLR เสียบได้เลย
แต่เราจะได้ประโยชน์อะไระพิ่มเติมขึ้นมาจากการที่เราใช้เสียบช่องปลั๊ก 6.3มิลธรรมดาหรือเปล่าเอ่ย ^^

ผมลองให้แล้วครับน้าชา เจ้า Manhattan สามารถเสียบ Analog Output แบบ Balance และ Unbalance ได้พร้อมกัน
เสียงออกทั้งสองชุดครับ และลองเทสว่าเสียบคู่กับ เสียบเดี่ยว เสียงจะดรอบลงรึป่าว
สรุปว่าเสียงไม่ดรอปด้วยนะครับ เสียบใช้งานได้พร้อมๆกัน เสียงดีเหมือนเดิมเลยล่ะ

ส่วนเรื่องการต่อ Balance ออกจาก Output หูฟังแบบที่น้าชาบอกนั้น ตามวงจรไม่มีส่วนช่วยใดๆครับ
เพราะว่า Output ออกมาเป็น L R GND น้าชาดึง L ไปทำ L+ และ GND ไปทำ L-
ความแรงสัญญาณก็ยังคงเท่าเดิม แต่อาจจะได้เรื่องสายที่เพิ่มมาอีกเส้น มีเอฟเฟคต่อเสียงนิดหน่อยจ้าา

โอ้โห้ หมูหวานเรานี่รวดเร็วปานสายฟ้าแล๊บจริงๆ ขอบคุณมากเลยจ้าาาาา ^^

ด้วยความยิดีคร้าบบ มีเรื่องไหนสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้เลยครับน้าชา ^^

ท่านใดมีข้อสงสัยในการใช้งานเบื้องต้น สามารถโพสถามเข้ามาได้เลยนะครับ เดี๋ยวทางหมูหวานและเจ้าหลุยส์จะช่วยทดสอบให้จ้าๆๆๆ

อีกแล้ววววว... ^^

ขอถามหมูหวานอีกอย่างนึงครับ

Analog Out ด้านหลังทั้ง 2 แบบ คือ Unbalance RCA และ Balance XLR
มันเป็น Full Fixed Output หรือว่าเป็น Variable Output ที่ผ่านปุ่มโวลลุ่มมาแล้วครับ

คือตามปกติในชุดของผมตอนนี้ ผมจะเปิดแอมป์หูฟังใช้เบิร์นหูฟังไปเรื่อยๆ
และ output ด้านหลังที่เป็น fixed output ต่ออกไปเข้า preamp + poweramp ออกลำโพงใหญ่ฟังไปพลางๆด้วยครับ

ถ้าหาก Analog Out ด้านหลังของเจ้า Manhattan เป็นแบบ Variable Output ก็คงจะไม่เหมาะกับการใช้งานของผมอะซิ
แต่ถ้าทั้ง 2 อย่างเป็น Full Fixed Output ทั้งหมดก็เยี่ยมเลยจ้าาาาา


อ๊ะ...เพิ่งนึกได้อีกอย่างคือ manhattan มันมี digital bypass out ด้วยมั๊ยเอ่ย

เจ้า Manhattan มันสามารถใช้งานเป็น DAC พร้อมปรีแบบ Digital หรือ Analog ได้ และสามารถ Bypass ได้ด้วยครับ
ในกรณีน้าชาสามารถเปลี่ยนเป็นโหมด Bypass เอา Output ด้านหลังไปใช้งานได้เลย

แต่รูหูฟังของตัว Manhattan จะยังผ่าน Volume Control อยู่นะครับ พี่สามารถใช้ Fixed Output ที่ด้านหลังไปเข้าแอมป์บ้าน
แล้วต่อหูฟังใช้งานที่ Manhattan ได้เลย สรุปแล้วเหมือนมี 3 Output ให้ใช้งานครับผมม ^^

หมูหวานรวดเร็วอีกแล้ววววว....

มี 3 Output แบบนี้แจ่มมากเลย

ขอบคุณมากคร้าบบบบ ^^

ด้วยความยินดีครับน้าชา ใช้ได้ทั้งรูหูฟัง Unbalance และ Balance เลยฝินฝุดๆๆ 555^^

เมื่อตะกี้นี้ได้ฝ่าฝนหนาวไปลองดูว่าเจ้า Manhattan มันใช้ได้ทั้งรูหูฟัง Unbalance และ Balance พร้อมๆกันได้เลยจริงหรือไม่
สรุปผลออกมาอย่างที่หมูหวานบอกมาว่าใช้ได้พร้อมกันหมดจริงๆครับ
แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจว่าเอ้าพุทมันจะแรงจริงหรือเปล่า
ดังนั้นผมก็ต้องเอาติดมือมาตัวนึงเพื่อทำการทดสอบที่บ้านอย่างเอาจริงเอาจังซะหน่อย 555 ^^

555 ฮ่องกงฝนตกอยู่หรือครับน้าชา 555

สงสัยจนต้องอุ้มกลับบ้านนี้เค้าเรียกว่าซื้อแล้วล่ะครับน้า 555

ก็เรียกว่ามือขวายกขึ้นบั้นเอว มือซ้ายถือร่ม อย่างกะอุ่มเด็กเลย ^^
แล้วก็เดินฝ่าลมฝนแถมอากาศก็แค่ 13 องศาเท่านั้นครับ 555

อ่อ.... ลืมกระซิบไปว่า
ตัวนี้เป็นตัวที่ 42 จากล๊อต 50 ตัวแรกครับ ^^

นักเล่นตัวจริง 555

โดนจนได้นะครับน้าชา ผมรับรองว่าเสียงของ DAC ต้องนี้ต้องทำให้น่้าชาเพลินแน่ๆ
ยิ่งฟัง DSD ด้วยแล้วล่ะก็มีซี๊ดดดดด.... 5555

ก็เพราะหมูหวานนี่แหล่ะที่ทำให้ผมทนไม่ได้ 555 ^^

แต่คืนนี้มือไม้แข็งไปหมดเพราะอากาศแค่ 11 องศา
คงต้องรอพรุ่งนี้แดดออกจนร่างกายอบอุ่นขึ้นมาหน่อย
แล้วค่อยขยับขยายที่ทางจัดวางบนโต๊ะละจ้าาาาา 555 ^^

ระวังไม่ได้หลับไม่ได้นอนนะครับน้าชา
DSD ของ Manhattan นั้นของจริงยิ่งกว่าจริงครับ ฟังเเล้วไม่อยากลุกไปทำอะไรอย่างอื่นเลยครับ

เอานะ....ถ้าผมไม่เป็นอันหลับอันนอนเพราะฟัง DSD กับเจ้า manhattan จริงๆละก้อ
ผมต้องมาโทษว่าหลุยส์เป็นต้นเหตุที่เข้ามาทักนะ 555+++ ^^

ไปนอนตอนเช้าเอาครับน้า 555

ผมเดาว่า ตาผมคงจะเหมือนหมีแพนด้าก่อนถึงวันคริสมาสแน่นอนครับ 555 ^^

เย็นนี้เจ้า Manhattan เริ่มเข้าประจำการแล้ว
แต่ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปเพราะเซ็ทติ้งต่างๆยังไม่ลงตัวครับ ^^

ด้านๆๆๆ ซ้ายมือนั่น LYR นิ มีอะไรที่น้าชาไม่มีบ้างเนี่ย 555+

กำลังเคลิ้มอยู่กับไฟล์เพลง DSD128 จ้าาาาาา ^^

ส่วนที่ยังไม่มีก็คือไฟล์ DSD256 กับ DSD512 งัยเฮียอ่าง 555

เดาว่าที่น้่าชายังไม่มีน่าจะเป็นหูฟังไวแสงล่ะครับ 555

น้าชาลองเล่นการเซ็ทติ้งดูก่อนนะครับ ตัวนี้มีลูกเล่นให้เซ็ทเยอะเลย
บางอย่างผมเซ็ทแล้วก็ฟังไม่ออกเหมือนกันครับ 55555

คู่มือ MYTEK MANHATTAN DAC มีให้โหลดแล้วจ้าาาาา ^^

https://mytekdigital.com/hifi/support/

ขอบคุณมากๆๆครับน้าชาที่มาแจ้งให้ทราบกัน
ตอนนี้เทสเสียงแล้วเป็นยังไงบ้างครับ ติดใจรึป่าวเอ่ย
ตัวนี้ผมฟังแล้วชอบเสียงของมันมากครับ ยิ่ง Balance Out ยิ่งแจ๋วสุดๆๆ

ผมต่อ Balance Out ไปเข้า SPL Phonitor
ฟังครั้งแรกแล้วตกใจ เหมือนกับแอมป์คนละตัวกันเลย
ซุ่มเสียงสดใส แยกแยะรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น
โดยเฉพาะย่านเสียงต่ำเพิ่มความกระชับว่องไวดีจริงๆ
สรุปว่าถูกใจสุดๆจ้าาาา 555 ^^

ผมดูในคู่มือหน้า 4 ข้อ 7. Headphone Output Section บอกว่า

Top jack เป็น in phase ส่วน bottom jack เป็น out of phase
และก็มีวงเล็บไว้ว่า absolute signal phase สามารถปรับตั้งได้ที่ front panel

หมูหวานหาเจอแล้วยังว่าถ้าจะเซ็ทให้รูหูฟังทั้งคู่เป็น in phase เฟมือนกัน
เพื่อจะได้เอาเอ้าพุททั้ง 2 รูมาทำเป็น XLR balance 4 pin
ในเมนูที่หน้าจอมันจะอยู่ตรงไหนเอ่ย ???

น้าชาครับผมยังไม่ได้ลองเล่น Menu นี้เลยอ่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ขอไปดูให้ก่อนนะครับ ว่าเซ็ทยังไงได้บ้าง
แต่อย่างที่บอกนะครับว่าการต่อ Balance แบบที่น้าจะทำ มันเป็นแค่การเพิ่มสายเส้นนึงนะครับ
เพราะต้นทางที่เข้าภาคแอมป์หูฟังของ Manhattan มันไม่ได้เข้ามาเป็น Balance ครับ

ในคู่มือหน้า 3 และ 4 มีบอกว่า headphone amp เป็น Dual Mono design และ Mytek เองก็มี optional single ended to balanced connector อีกด้วยครับ

แต่ก็อย่างที่หมูหวานบอกมาเนอะ
ถ้ามันไม่ใช่ full balance design ตั้งแต่ต้นทาง
การเอาสายมาต่อเพิ่มอีกเส้นก็มีผลต่อเสียงจริงๆ

เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะดูเรื่องการตั้งค่าอีกทีนะครับน้าชา
เรื่อง Balance Out ของหูฟังนี่ต้อง Design ตั้งแต่ต้นเลยครับ เปรียบเหมือนแอมป์บ้านที่มีขั้วต่อ Bi-Wire ให้
แล้วเราก็เอาสายลำโพง Bi-Wire ไปต่อใช้งาน ถ้าเอามิเตอร์วัดแล้ว สัญญาณของ Bi-Wire ทั้งสองชุดมันถึงกันครับ
เหมือนเราเพิ่มสายขึ้นมาอีกชุดเท่านั้น
ยกเว้นว่าเล่นแบบ Bi-Amp ไปเลย อันนี้เห็นผลชัดเจน เพราะเราเพิ่มแอมป์เข้าไปอีกตัวเต็มๆครับ

ผมเช็คให้แล้วนะครับน้าชา ประโยคที่ว่า absolute signal phase สามารถปรับตั้งได้ที่ front panel
เป็นแค่การบอกว่ารูหูฟังทั้งสองสามารถปรับเสียงของทั้งสองรูได้พร้อมๆกันครับ ไม่มีเมนูให้ตั้งค่าจ้าา

ส่วน Option Adaptor 1/4"x2 to XLR 4 Pin ต้องสั่งจากทาง Mytek ครับ ถ้าเค้าออกแบบเป็น Balance รอไว้แล้ว
สามารถใช้ Adaptor ของเค้าได้เลย แต่ผมไม่มั่นใจเรื่องขาเชื่อมต่อนะครับ ว่าจะต่อแบบไหน ไม่รู้วงจรเค้าเหมือนกันครับ

ขอบคุณหมูหวานอีกครั้งนะครับ
ผมเดาว่า Option Adaptor นั้นก็แค่เอา L จากรูนึงและ R จากอีกรูนึง แล้วเอามาต่อเข้าที่ XLR 4 pin อย่างที่ผมว่ามานั้นละครับ เพราะอาตี๋ที่ร้านแถวบ้านผมก็บอกให้ผมต่อด้วยวิธีนี้ถ้าต้องการ Balanced Output หรืออีกอย่างก็คือ ใช้หัวแจ๊ค 6.3 สองหัว หัวนึงต่อ L และ G อีกหัวต่อ R และ G วิ่งออกสาย 2 เส้นไปหูฟังครับ

ต่อแบบนั้นมันก็เป็นแบบปกติแหละครับ แต่ที่ผมไม่รู้ก็คือ ช่องหูฟังรูนึงเป็น in Phase อีกรูเป็น Out Phase
ถ้าเอาข้างนึงเป็น L ข้างนึงเป็น R มันจะOut Of Phase รึป่าว อันนี้ต้องลองทำดูครับน้าชา
แต่ถ้าไม่รีบรอ Adaptor ของ Mytek น่าจะชัวร์กว่านะครับ 555

โอวมีคนจัดแล้ว

ย่องไปฟังแล้วเหมือนกันคับ วันนั้นหลุยส์ไม่อยู่ LCD-X ก็ไม่อยู่ อยู่แต่ LCD-3 สาย Cardas เขียวๆมั้ง ยังบอกอะไรไม่ได้เลย

เดวต้องหาโอกาสไปฟังใหม่ แต่อาจจะลองฟังเฉพาะ Dac เพราะผมใช้ amp หลอดคู่กับ X อยู่ เทียบแค่ dac เพียวๆ Ayre กับ Man ใจอยากยกแอมป์ Minute ไปพ่วงด้วยเลย แต่ยกไม่ไหวจริงๆ หลายสิบโล ><

ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องเอา Balanced Out จากเจ้า manhattan
มาต่อเข้าแอมป์ที่เป็น Full Balanced amp
ฟังด้วยหูฟังที่เป็นสาย balance
แล้วก็จะรู้ว่าเจ้า manhattan นี้มันคุ้มค่าจริงๆครับ ^^

ท่านใดสนใจเข้ามาทดสอบสุดยอด DAC Mytek Manhattan ตอนนี้มีให้ลองที่ร้านมั่นคงเรือธง กับร้าน Melodic ครับ
ใครกำลังมองหา DAC ที่ถอดไฟล์ได้ทุก Sampling rate และ DSD ได้ถึง 256 เข้ามาลองฟังได้เลยครับ
ตอนนี้มีของเข้ามาครบๆๆแล้วจ้าาา

*-*

ในคู่มือไม่บอกอะไรเลยครับ และ spec ไม่คุยเรื่องภาค headphone amp เลย

ซึ่งปกติ headphone amp ที่มีทั้ง SE และ BAL จะบอก spec ที่ไม่เหมือนกัน

โดยเฉพาะค่า SNR ที่แตกต่างกันมาก ดังนั้น คาดว่า jack 2 x 1/4 " to 4 pin XLR adapter จะเป็นแค่ตัวแปลงขั้วมากกว่า

ปล. ถ้า jack เสียบ มีแค่ 2 ร่อง ฟันธงว่าได้แค่ + กับ กราวน์ คือเป็นแค่การแปลงให้หูฟังที่สายเป็น BAL เล่นได้

แต่ถ้า jack เสียบมี ร่องที่ 3 อุแว้ๆ มี + - และ กราวน์ และ BAL เต็มรูปแบบแน่นอน

เอ้ยไม่สิ ปกติมันมี 3 ร่องอยู่แล้ว ต้องมี 4 ร่องขึ้นไปถึงจะเป็น BAL

ข้างในเครื่องมีเดินสายไฟแค่ 6 เส้นเท่านั้นเป็นสายสีดำ 6 เส้นจากบอร์ดไปที่แจ๊คหูฟัง

ดังนั้นเราก็ไม่ต้องคิดเรื่อง Full Balanced Headphone Output จากเจ้า Manhattan ได้แล้วครับ

โดยตามวงจรแล้วเค้าไม่ได้ออกแบบเป็น Fully Balance Headphone Amp ครับ
แต่สามารถแปลงเอาไปต่อกับหูฟัง Balance ได้ โดยใช้ Adaptor 6.35mm-Balance
ซึ่งเสียงที่ได้อาจจะมีความแตกต่างนิดหน่อย เพียงแค่เพื่อให้ใช้กับสายหูฟังแบบ Balance เท่านั้นครับ

ตอนนี้ Mytek Mahattan ของเข้ามาเพิ่มแล้วนะคร้าบบบ ท่านใดที่กำลังมองหา DAC ที่ให้เสียงเป็นกลางสุดๆ
รองรับ DSD ได้ถึง 256 และ PCM ได้ในระดับ DXD 32bit/384kHz รีบเข้ามาลองฟังก่อนได้ครับ
รับรองว่า Mahattan นั้นสุดจริงๆเรื่องความเที่ยงตรงถูกต้องของเสียง และ Timing จ้าา ^^

สอบถามหน่อยครับ

audirvana จะเห็น manhattan สามารถทำ DSD ได้ถึง DSD256 มั้ยครับ

ผมพยายามหาข้อมูลอยู่ ที่เห็นกับตาคือ DSD128

ขอบคุณครับ

ตอนนี้โปรแกรม Audirvana+ ยังสามารถเล่นได้แค่ DSD128 ครับผม
แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะทาง Audirvana เค้าอัพเดทบ่อยๆอยู่แล้ว ไม่นานก็เล่นได้แล้วล่ะ
แต่ปัญหาจริงๆก็คือเพลง DSD256 นี่แหละ ที่ไม่รู้ว่าจะเอาที่ไหนมาฟังคร้าบบบ ^^

ขอบคุณครับ ถามมาหลายที่ ไม่มีใครตอบชัดๆ คุณหมูหวานบอกยังงี้ ชัดเลย

เพลง dsd256 เริ่มมีมาแล้วคับ
www.nativedsd.com ไปที่ quad dsd ครับ

ขอบคุณนะครับ

@ dookdooi ครับ
ส่วนใหญ่จะเป็นเพลง Classic ซะเยอะเลยครับ
เพลงทั่วๆไปที่ทำ Mastering ระดับ Quad DSD นี่น้อยมากๆๆ
ยกเว้นว่าจะถอดไฟล์จากเทปรีลมาครับ ซึ่งก็ต้องลุ้นว่าต่อไปจะนิยมกันหรือไม่จ้าา ^^