เครื่องเล่น แอมป์ สาย หูฟัง ตัวเลขต่างๆไม่ได้ช่วยอะไรมากเลยครับ
ดีที่สุดคือ เดินไปลองฟังเองที่ร้านเฮีย ว่าชอบเสียงหรือไม่ฮะ ^^
หรืออ่านรีวิวจากเพื่อนๆ พี่ๆในบอร์ด

ยกตัวอย่าง
อิมพิแดนซ์ หรือ ความต้านทานของหูฟังที่มีค่าน้อยๆ ไม่ได้ขับง่ายเสมอไป
มี บางรุ่นมันก็ขับยากนะฮะ ต่องเร่งโวลุ่มเยอะอยู่ เช่น tenore เป็นต้น

เป็นสเป็คคร่าวๆ ที่เอาไว้ดูพวก feature ต่างๆของเครื่องครับ
ทั้งในเรื่องของกำลังขับ และอื่นๆ
ซึ่งต้องอาศัยเปรียบเทียบเครื่องเล่นที่สนใจกับตัวอื่นหลายๆตัวดูครับ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเบื้องต้นครับ

ผมไม่เข้าใจเรื่องค่าความต้านทานของหูฟังกับกำลังขับของเพลเยอร์
ตัวอย่างเช่น
หูฟัง Impedance @ 1kHz: 150 Ohms
เพลเยอร์ Max output: 50mW(1.35V @36 Ohm)
ถ้าเอาเพลเยอร์ตัวนี้ใช้กับหูฟังตัวนี้ มันจะสามารถขับออกมาได้หมดมั้ยครับ

เรื่องพวกนี้เราได้เรียนกันแล้ว ใน วิชา วิทยาศาสตร์ ตั้งแต่ชั้น ม.1-ม.6ครับ เช่นการเอากระป๋องมาจองรูแล้วเอาเชือกร้อย ทั้งสองข้างแล้วดึงให้ตึงพูดเข้าไปในกระป๋อง อีกข้างหนึ่งก็จะได้ยินเสียงของเรา หรือการเอามะนาวมาจองรู ต่อกันแล้วเอาสายไฟใส่เข้าไป เอาปลายไปติดกับหลิดไฟสีต่างก็ทำให้มีไฟขึ้น ที่เราต้องจัดกลุ่มทำส่งนั้นละครับ เป็นเบื้องต้องของการนำมาประยุคใช้กับการหูฟังสายลำโพง ถ้าเรียนในระดับม4-6 ก็จะเป็นเรียนคำนวนสายทองเหลือง ทองแดง เงิน อะไรนำไฟได้ดีกว่ากัน สายที่มีหน้าตัดเท่านี้จะมีค่าความต้านทานเท่านี้ แล้วพอมาเรียนในระดับมหาลัยก็จะแยกสาขาออกไปชัดเจน

เช่น เรียนสาขาเกี๋ยวกับทำซ่อมพวกเครื่องไฟฟ้า เครื่องเสียง ก็จะต้องรู้เกี่ยวกับแปลงกระไฟมาเป็นคลื่นเสียง และนำเสียงออกลำโพง ไก็จะมีหลายแบบ แบบไดอะเฟรม เป็นหลักที่ใช้กัน หรือหม้อแปลงที่มีสายไฟทองเหลืองพันๆๆกันหลายรอบ เค้าไม่ได้พันกันมั่วนะ เค้าต้องมีสูตรการคำนวนมาเป็นมาตราฐาน

แต่สายอาชีพ จะมีคำที่ใช้เรียกหรือสัญญาลักษณ์ เฉพาะที่รู้กันเฉพาะสายอาชีพนั้น เช่น สัญญาลักษณ์ โอมม์ (ที่เป็นรูปคล้ายหัวกระโหลก) amp. หรือแอมแปร เป็นต้นพวกนี้เค้าจะรู้กันเฉพาะในกลุ่มที่เรียนมาทางนี้

หรือวงการแพทย์ ศัพท์เยอะเลย เช่น cc.ทิว.สลิ้ง. เข็มเบอร์ 21,22,24, เซ็บทำแผล,เซ็บผ่าตัดโรคต่าง,เซ็บทำคลอด, ยาที่หมอสั่งก็ใช้อักษรย่อที่รู้กันเฉพาะ หมอและกลุ่มคนจ่ายยา คนต่างหน้าการงานจะดูไม่รู้ครับ

ถ้าสนใจจริงๆ ตามศูนย์หนังสือตามมหาลัยต่างจะมีหนังสือประเภทนี้ขายอยู่ เช่น ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ร้านหนังสือธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ เป็นต้น มีทุกๆสาขาวิชา เรียกว่าหนังสือศัพท์เฉพาะ.....ฯ กลุ่มวิชานั้นๆครับ

คือถ้าจะให้มาอธิบายให้คนที่ไม่ได้เรียนทางนั้นมาเข้า อธิบายสามชาติก็ไม่จบ เพราะมีคำถามต่อๆๆๆๆๆๆไปเรื่อยครับ

ก็จริงนะครับอย่างที่คุณ @yamano ว่า ศัพท์บางเรื่องเรียนกันเป็นหลักสูตรได้เลย

ช่วยตอบบางเรื่องนะ ตาม คห.3

หูฟัง Impedance @ 1kHz: 150 Ohms : Impedance ก็คือค่าความต้านทานของหูฟังครับ

ค่ามันจะเปลี่ยนไปตามความถี่ อย่างที่ระบุคือที่ความถี่ 1 kHz Impedance ของหูฟังขณะั้นมันมีค่า 150 โอห์ม

เพลเยอร์ Max output: 50mW(1.35V @36 Ohm) : เป็นค่าความสามารถที่เครื่องจะจ่ายพลังงานออกมาครับ

ความสามารถในการจ่ายพลังงานของเพลเยอร์มันไม่คงที่ หลักๆ จะอยู่ที่การจ่ายกระแสครับ แต่เวลาบอกมักบอกรวมๆ

นอกจากนี้ยังขึ้นกับค่า Impedance ของหูฟัง แล้วก็ความถี่เสียงที่ขับอีกด้วย ซับซ้อนไปหมด

ปล. จาก data ทั้งสองตัวยังเอามาเทียบกันไม่ได้ครับ เพราะมันเป็นค่าคนละหน่วย

ส่วนใหญ่หลักๆ ดูกำลังขับของหูฟัง กับ เพลเยอร์ ก่อนครับ คือให้ดูว่า

หูฟัง รับพลังงานสูงสุดได้กี่วัตต์ เช่นถ้ารับได้ 40 mW

จากนั้นมาดูเพลเยอร์ว่าจ่ายพลังงานได้กี่วัตต์ โดยทั่วไปควรจะสูงกว่ากันเล็กน้อย

เพราะถ้าสูงกว่ามาก อาจทำให้หูฟังเสียหายเวลาเผลอเร่งโวลลุมแรงไป

ส่วนที่ไม่แนะนำให้วัตต์ต่ำกว่า เพราะอาจขับหูฟังได้ไม่หมด

หลังจากนั้นต้องลองฟังว่ามันแมทกันป่าว เพราะตารางสเปคมันมายา แอมป์บางตัว

คุยว่าดี ตอบสนองคงที่ตลอดย่านความถี่ และ ตลอดค่า Impedance พอฟังจริงอยากเขวี้ยงทิ้งก็เป็นได้